ตอนที่ 25 ต้นเหตุของเรื่องราว
ตอนที่ 25 ต้นเหตุของเรื่องราว
ยามค่ำ ณ เมืองหยงเหอ
ทั้งาสมคนได้มาถึงที่ตั้งของแก๊งต้าเหอ
ทันทีที่พวกเขาไปถึงประตู ทั้งสามคนก็ถูกยามสองคนหยุดเอาไว้
หลี่หมิงหยวนหยิบตราประจำตัวของเขาออกมา
“พาเราไปพบหัวหน้าจ้าว”
โทเค็นของกองเจิ่นหวู่ยังคงมีประโยชน์มากในเวลาเช่นนี้
หลังจากที่หลี่หมิงหยวนหยิบตราประจำตัวออกมา ทัศนคติของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที
“ใต้เท้าทั้งสาม โปรดรอสักครู่ ข้าขอไปแจ้งให้พ่อบ้านทราบก่อน”
ยามคนหนึ่งรีบเร่งเข้าไปเพื่อรายงาน
ไม่นานก็มีชายคนหนึ่งเดินออกไป
“ใต้เท้า โปรดตามข้ามา”
พ่อบ้านของแก๊งต้าเหอนำทั้งสามคนเข้าไปข้างใน
ขณะที่ทั้งสามเดินเข้าไป เย่เจียงสังเกตเห็นว่าอารมณ์ของซูหยางผันผวนเล็กน้อย และถามอย่างเป็นกังวล "มีอะไรผิดปกติงั้นรึ"
“ไม่มีอะไร” ซูหยางส่ายหัว แต่ภายในจิตใจเขาไม่สงบ
เหตุผลก็คือพ่อบ้านที่นำทางมีบางสิ่งอยู่เหนือหัวซึ่งมีเพียงเขาเท่านั้นที่มองเห็น
[ บาป : ระดับ 12 ]
มันหมายความว่าอะไร?
บาประดับ 12 แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามชายคนนี้ไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน
เจ้ารู้ไหมว่าในเมืองผิงซาน หลี่หมิง และหลี่อี้เซียง ผู้ซึ่งทำสิ่งชั่วร้ายมากมายไม่มีสิ่งนี้อยู่เหนือหัวด้วยซ้ำ
แต่มันปรากฏกับคนๆ นี้
มันเป็นระดับ 12 โดยตรง
ซูหยางไม่รู้ว่าระดับ 12 นี้แสดงถึงระดับความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายหรือไม่ หรือว่ามันหมายถึงอย่างอื่น
แท้จริงแล้วมีความเป็นไปได้สองประการ
ความชั่วร้ายที่คนๆ นี้ทำไปถึงระดับ 12 หรือความแข็งแกร่งของคนๆ นี้ถึงระดับ 12
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกรอบนี้ปรากฏเหนือศีรษะของอีกฝ่าย ซูหยางต้องทำอะไร?
ครั้งสุดท้ายที่หลี่หมิงถูกกำจัดเป็นเพราะภารกิจได้ระบุเอาไว้
ข้อมูลไม่ชัดเจนตอนนี้รู้แค่ว่าคนๆ นี้ไม่ใช่คนดี
ซูหยางสงบลง และทำในสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
คนๆ นี้จะต้องถูกจัดการในภายหลัง
หลังจากเดินไปได้สักพักก็มาถึงห้องโถงใหญ่
“ท่านทั้งสามโปรดรอที่นี่สักครู่” พ่อบ้านคนนั้นพูดแล้วจากไป
ซูหยางให้ความสนใจคนๆ นี้เป็นอย่างมาก อีกฝ่ายมีใบหน้าที่ใจดี และคำพูดที่สุภาพ เขาดูไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ และสัตว์เลย
ความประทับใจแรกที่ได้รับคือ เขาดูเป็นคนซื่อสัตย์
มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาป
แต่ตอนนี้ซูหยางไม่ได้ตัดสินผู้คนจากรูปลักษณ์ภายนอก
เกิดอะไรขึ้นกันแ่น เขาจะได้รู้ในภายหลัง
จ้าวต้าเหอเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วจากด้านนอก และพ่อบ้านคนเดิมก็ติดตามเขามาอย่างเชื่อฟัง
“พวกเจ้าทั้งสามต้องการอะไร?” หลังจากที่จ้าวต้าเหอเข้ามา เขาก็พูดก่อนโดยตรง และไม่ได้ให้ความเคารพทั้งสามคนมากนัก
พวกเจ้าไม่รู้หรือว่านี่คือถิ่นของข้า
“เรามาที่นี่เพื่อถามเจ้าเกี่ยวกับคดีปล้นภูเขาเถี่ยหวน” ซูหยางพูดก่อน
“พวกเจ้าเคยถามเรื่องนี้ก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เหรอ? ข้าได้พูดทุกอย่างที่ต้องพูดไปแล้ว ข้ายังไม่ให้ร่วมมือพออีกหรือ?” จ้าวต้าเหอเริ่มหมดความอดทนเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ถ้าผู้บัญชากองเจิ่นหวู่ของเมืองหยงเหอมา เขาคงจะยังตกตะลึงอยู่
แต่สามคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือใคร?
เมื่อเขาเข้ามา จ้าวต้าเหอก็มองไปที่พวกเขาทั้งสามคน ยกเว้นหลี่หมิงหยวนที่ดูคุ้นเคย อีกสองคนเขาไม่คุ้นหน้าเลย
แต่ก็ช่างเถอะ เขาไม่สนใจอยู่แล้ว
ตัวละครตัวเล็กๆ ที่เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำกล้าตั้งคำถามเขาภายใต้ชื่อของกองเจินหวู่งั้นเหรอ?
"จริงเหรอ?" ซูหยางพูดอย่างใจเย็น "เกรงว่าเจ้าจะอธิบายบางอย่างไม่ชัดเจน"
“ข้าได้ยินมาว่านายน้อยคนที่สามของแก๊งต้าเหอเกิดมาเป็นอัมพาต ข้าสงสัยว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง?”
“เราไปพบเขาได้ไหม?”
ใบหน้าของจ้าวต้าเหอมืดลงและเขาพูดอย่างเย็นชา "เขาไม่สะดวกที่จะให้พบ"
“มันไม่สะดวก หรือให้พบไม่ได้กันแน่” ซูหยางตอบโดยปฏิเสธที่จะยอมแพ้
กลิ่นดินปืนอบอวลไปในอากาศทันที
แค่ประกายไฟเล็กน้อยก็จะทำให้ระเบิดได้
“เจ้าหนู อย่าคิดว่าเจ้าสามารถทำอะไรก็ได้เพียงแค่ใช้สถานะของกองเจิ้นหวู่” จ้าวต้าเหอ
พูดอย่างไม่พอใจ
"ออกไปซะ!"
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ซูหยางก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
“มันยากงั้นเหรอที่จะให้ร่วมมือดีๆ?”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ควรแสดงความจริงใจเสียหน่อย”
เจตจำนงดาบอันน่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งขึ้นมาจากร่างของซูหยาง และมุ่งหน้าตรงไปหาจ้าวต้าเหอ
จ้าวต้าเหอตกตะลึง และหน้าซีด เขาหมุนเวียนพลังปราณอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องร่างกายของตน ในเวลาเดียวกัน เขาก็ฟาดฝ่ามือออกมา และควบแน่นพลังระเบิดการโจมตีไปยังเจตจำนงดาบจากอีกฟากของอากาศ
น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนฟองสบู่ต่อหน้าเจตจำนงดาบอันทรงพลังของซูหยาง
ฝ่ามือปราณปะทะกับเจตจำนงดาบ และถูกทำลายลงในทันที
เจตจำนงดาบที่พุ่งพล่านยังคงไม่ลสายไป โดยกดลงบนตัวจ้าวต้าเหอ
พลังปราณที่ปกป้องร่างกายของจ้าวต้าเหอก็ถูกทำลายลงเช่นกัน
ด้วยเสียงโครมคราม จ้าวต้าเหอถูกผลักลงไปที่พื้น และเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ก็แตกออกเป็นชิ้น ๆ และกลายเป็นกองเศษซาก
จ้าวต้าเหอซึ่งอยู่บนพื้น พยายามดิ้นรน และต้องการลุกขึ้น แต่เขาทำได้เพียงพยายามอย่างไรผลด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
เจตจำนงดาบที่น่าสะพรึงกลัวปราบปรามจ้าวต้าเหออย่างแน่นหนา ทำให้เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิด แผ่นกระเบื้องบนพื้นก็พังพลาย และจ้าวต้าเหอก็จมลึกลงไปในพื้นด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นสิ่งนี้เย่เจียงก็หดตัวลง และพูดกับตัวเองว่า ‘ข้าไม่ควรทำให้เขาขุ่นเคืองได้’
ดวงตาของหลี่หมิงหยวนเบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างยิ่ง
พ่อบ้านที่อยู่อีกด้านหนึ่งตกใจ และก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อวิงวอน "ใต้เท้า ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หัวหน้าของเรายั่วยุท่านงั้นรึ"
“หยุดอยู่ตรงนั้น ยังไม่ถึงตาเจ้า” ซูหยางเหลือบมองเขาเบาๆ
จากนั้นเขาก็จิบชาบนโต๊ะอย่างใจเย็น
สำหรับแรงกดดันของดาบนั้น ยังไม่ได้ถูกลบออก และยังคงกดจ้าวต้าเหออย่างแน่นหนา
พ่อบ้านหดคอเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาทำได้เพียงเป็นกังวลเกี่ยวกับจ้าวต้าเหอ เท่านั้น
สามนาทีผ่านไปเช่นนี้ และหลังจากที่ใบหน้าของจ้าวต้าเหอเปลี่ยนเป็นสีม่วงเท่านั้นที่ซูหยางถอนเจตจำนงดาบออกไป
ทันใดนั้น จ้าวต้าเหอก็ลุกขึ้นจากพื้น และหายใจอย่างรุนแรง
ข้างใต้เขามีหลุมหนึ่งที่เขาดันตัวออกมา
หลังจากฟื้นตัวได้เล็กน้อย จ้าวต้าเหอก็ขอโทษซูหยางทันที "ข้ามีตาหาแววไม่ทำให้ใต้เท้าขุ่นเคือง โปรดยกโทษให้ข้าด้วย!"
ความกลัว ความกลัวอย่างท่วมท้นปะทุขึ้น
ในเวลาเพียงสามนาที จ้าวต้าเหอได้ลิ้มรสความรู้สึกของชีวิตและความตาย
เขาไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกของการถูกกดทับเหมือนมดมาก่อน
ในเวลานี้ร่างกายของเขายังคงสั่นสะท้านอยู่
เขารู้ดีว่าถ้าไม่ทำให้ชายตรงหน้าพอใจ เขาจะอยู่ได้อีกไม่นาน
ในโลกนี้ ผู้แข็งแกร่งได้รับการเคารพ การเข้าสู่ยุทธภพ และเริ่มต้นเส้นทางแห่งการบ่มเพาะนั้นหมายถึงการเสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น
มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับซูหยางที่จะฆ่าเขา
“บอกข้ามาว่าเจ้ารู้อะไรบ้าง” ซูหยางพูดอย่างใจเย็น
ในเวลานี้ จ้าวต้าเหอไม่เย่อหยิ่งเหมือนแต่ก่อน และเชื่อฟังเป็ยอย่างดี
“อีกฝ่ายมาหาข้าด้วยตัวเอง โดยบอกว่าเขามียากู่เซิงอยู่ซึ่งสามารถช่วยให้ลูกชายที่เป็นอัมพาตของข้าใช้ชีวิตได้ตามปกติ”
“ผู้ชายคนนั้นชื่อ ไห่หวู่หยา เขาเชี่ยวชาญทักษะหุ่นเชิด และใช้ยากู่เซิงแลกแร่ซวนหวงก้อนหนึ่งไปจากข้า”
“เมื่อแร่ซวนหวงได้ดูดซับเหล็กดำ มันจะสร้างหมอกซวนหวงซึ่งเป็นวัสดุชั้นยอดในการสร้างหุ่นเชิด”
“หากมีเพียงพอ ด้วยทักษะของผู้ชายคนนั้น น่าจะสามารถสร้างหุ่นเชิดระดับ 4 ได้”
“ข้าไม่อยากจะบอกในตอนแรกเพราะเขาช่วยลูกชายของข้า และทำให้ลูกชายของข้าใช้ชีวิตตามปกติได้ ข้าจ้าวต้าเหอไม่ใช่คนเนรคุณ”
“ประการที่สอง เพราะผู้ชายคนนี้ก็เป็นคนที่น่าสงสารเช่นกัน”
เมื่อเขาพูดสิ่งนี้ จ้าวต้าเหอก็หยุดชั่วคราวแล้วกล่าวว่า
“สิบปีที่แล้ว ไห่หวู่หยา ถือเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ในจังหวัดเทียนเฟิงของเรา น่าเสียดายที่เขาตกหลุมรักศิษย์หญิงของสำนักดาบหลิวเย่ ขณะฝึกฝนในยุทธภพ”
“สำนักดาบหลิวเย่ฝึกฝนวิชาดาบไร้หทัย ศิษย์ภายในสำนักจะต้องไร้อารมณ์”
“หลังจากถูกค้นพบโดยสำนัก พวกเขาจะถูกกวาดล้างออกไป และจะมีการออกคำสั่งฆ่าโดยตรง”
“ไห่หวู่หยาได้ปกป้องกู่เสวี่ย และต้องการออกจากจังหวัดเทียนเฟิง แต่น่าเสียดายที่เขาถูก คนของสำนักดาบหลิวเย่ไล่ตามทัน”
“อีกฝ่ายกล่าวว่าตราบใดที่ไห่หวู่หยากระโดดลงจากหน้าผา เขาจะปล่อยกู่เสวี่ยไป ไห่หวู่หยาที่ต้องการให้คนรักของเขามีชีวิตอยู่จึงเลือกที่จะกระโดดลงจากหน้าผา”
“แต่เมื่อเขากระโดดลงไป เขาทำได้เพียงเฝ้าดูกู่เสวี่ยถูกแทงทะลุหัวใจด้วยดาบ”
“เหตุการณ์นี้ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ในจังหวัดเทียนเฟิงในเวลานั้น”
“แต่เดิมทุกคนคิดว่า ไห่หวู่หยาตายแล้ว”
“ข้าก็ไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่”
“แต่คราวนี้เขาก็ตั้งใจที่จะตายเช่นกัน”
“ถ้าเจ้าต้องการค้นหาเขาให้ไปที่สำนักดาบหลิวเย่”
ในตอนแรก จ้าวต้าเหอไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกมาเพราะบุญคุณ
ตอนนี้ เขาไม่อยากตาย และนอกจากนี้ ไห่หวู่หยามีความตั้งใจที่จะตายอยู่แล้ว ดังนั้นหากเขาพูดออกไปก็ไม่สำคัญอะไร
ตามแผนของผู้ชายคนนั้น ตอนนี้มันเกือบจะประสบความสำเร็จแล้ว
อันที่จริงมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้พูด
เขามีมิตรภาพอันลึกซึ้งกับไห่หวู่หยา และเมื่อไห่หวู่หยามาหาเขา เขาก็ตกลงที่จะช่วยโดยไม่ลังเลใจ
แม้กระทั่งการมอบแร่ซวนหวงให้โดยตรง
แต่ไห่หวู่หยาไม่ต้องการ
เขากล่าวว่า “ในฐานะคนที่กำลังจะตาย ข้าไม่สามารถเป็นหนี้ที่ไม่สามารถชำระคืนได้ ดังนั้นโปรดให้ข้าได้ช่วยเหลือพี่จ้าวด้วย…”