บทที่ 37 : วิชากระบี่เจ็ดสังหาร
บทที่ 37 : วิชากระบี่เจ็ดสังหาร
ปัง!
ในขณะนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งรีบเปิดประตูแล้วรีบวิ่งเข้าไป
“เจ้ารีบอะไรขนาดนั้น? ไม่มีสมบัติผู้ดีเอาซะเลย!” ไป๋ห่าวซวนกล่าวอย่างไม่พอใจ แล้วเขาก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ชายหนุ่มหายใจเข้าออกและจัดระเบียบความคิดของเขาอย่างใจเย็นก่อนจะตอบว่า “พี่ใหญ่ไป๋ ลู่หยุนขึ้นไปถึงชั้นที่หกของหอคอยหมื่นปรากฏการณ์แล้วและสังหารสัตว์อสูรไปได้ 8 ตัว!”
“ชั้นหก?” ไป๋ห่าวซวนอดไม่ได้ที่จะมองดูบุคคลนั้นอย่างสงสัย และพูดอย่างเหยียดหยามว่า “มันก็แค่ชั้นหก ไม่เห็นมีอะไรมากไปกว่านั้นเลย”
ในความเห็นของเขา แม้ว่าลู่หยุนจะสังหารสัตว์อสูรบนชั้นหกลงไปได้ 8 ตัว แต่มันก็ยังไม่ดีเท่ากับความสำเร็จของหม่าหยุนเฟย
แม้ว่าหม่าหยุนเฟยจะฆ่าสัตว์อสูรไปได้เพียงเจ็ดตัว แต่สถิติของเขาก็ได้ถูกบันทึกเอาไว้เมื่อสิบวันก่อน
ด้วยพรสวรรค์ของหม่าหยุนเฟย ถ้าเขาเข้าไปในหอคอยหมื่นปรากฏการณ์อีกครั้งในวันนี้ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถผ่านชั้นที่หกได้ แต่อย่างน้อยๆ การฆ่าสัตว์อสูร 8 ถึง 9 ตัวก็น่าจะไม่ยากสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว
“แน่นอนว่าลู่หยุนยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับพี่ใหญ่ไป๋ได้ อย่างไรก็ตาม ในบรรดาศิษย์ใหม่จำนวนมาก เขาก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีศักยภาพที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน มันอาจจะคุ้มค่าที่จะพิจารณาดึงเขามาอยู่เคียงข้างเรา” ชายหนุ่มอธิบาย
“ไม่จำเป็นเลย คนเก่งเช่นนี้ล้วนมีความภาคภูมิใจและความเย่อหยิ่งสูง เขาจะไม่ยอมจำนนต่อผู้อื่นแน่ ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับเรื่องนั้นเลย”
ไป๋ห่าวซวนหยุดชั่วครู่และพูดต่อ “แต่คำเตือนของเจ้าก็ไม่เลวเช่นกัน ลู่หยุนเป็นคนที่ควรค่าแก่การจับตามองจริงๆ อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปคิดเรื่องเอาชนะเขา”
“สิ่งที่เจ้าต้องมุ่งเน้นในตอนนี้คือศิษย์ที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิดระดับ 3ดาวขั้นสูงหรือระดับ 4 ดาวขั้นกลาง พวกเขาอยู่ในระดับกลางๆ ของสถาบันศึกษาวรยุทธ์ ดังนั้นมันจึงค่อนข้างง่ายกว่าที่จะดึงตัวพวกเขาเข้ามา”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของชายหนุ่มก็สว่างขึ้น และเขาก็พูดอย่างชื่นชมว่า “พี่ใหญ่ไป๋เป็นคนฉลาดจริงๆ”
ไป๋ห่าวซวนโบกมือโดยไม่สนใจคำเยินยอและกล่าวว่า “เอาล่ะ เจ้าออกไปได้แล้ว”
...
ไม่นานหลังจากนั้น ลู่หยุนและต้วนชิงก็ได้มาถึงศาลาวิชายุทธ์
ศาลาวิชายุทธ์เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของสถาบันศึกษาวรยุทธ์ มันเป็นสถานที่ที่มีผู้อาวุโสคอยดูแลตลอดทั้งปี
“ศิษย์ใหม่งั้นรึ?”
ในศาลาวิชายุทธ์ ผู้อาวุโสในชุดขาวมองไปที่เครื่องแบบลูกศิษย์ของลู่หยุนและพูดอย่างเฉยเมยว่า “ส่งตราประจำตัวมา!”
ผู้มาใหม่ในศาลาวิชายุทธ์จำเป็นจะต้องลงทะเบียนข้อมูลของพวกเขาก่อน ซึ่งต้วนชิงก็ได้บอกลู่หยุนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในระหว่างทางไปที่นั่นแล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง ลู่หยุนจึงหยิบตราประจำตัวของเขาออกมาโดยทันที
หลังจากได้รับตราของลู่หยุนแล้ว ผู้อาวุโสก็รีบคืนมันโดยไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับมัน
ผู้อาวุโสมองไปที่ลู่หยุนและพูดอย่างเฉยเมยว่า “ในขณะนี้เจ้ายังอยู่แค่ขอบเขตเส้นลมปราณขั้นกลางเท่านั้น ดังนั้นเจ้าจึงเข้าไปได้เพียงชั้นหนึ่งของศาลาวิชายุทธ์เท่านั้น”
ลู่หยุนพยักหน้า “ศิษย์เข้าใจแล้ว”
ศิษย์ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตปราณแท้จะสามารถเข้าไปในชั้นหนึ่งของศาลาวิชายุทธ์ได้เท่านั้น
ที่ชั้นหนึ่งมีวรยุทธ์ขั้นสองและขั้นหนึ่งมากมาย ซึ่งมันก็เหมาะสำหรับศิษย์ขอบเขตยุทธ์หรือขอบเขตเส้นลมปราณ
ขณะเดียวกัน ชั้นสองก็มีวรยุทธ์ชั้นยอดมากมาย
สำหรับชั้นสาม มันก็ไม่มีคัมภีร์วรยุทธ์อีกต่อไป แต่มันมีเคล็ดวิชาการฝึกตนแทน
เคล็ดวิชาการฝึกตนอยู่ในระดับที่สูงกว่าวิชายุทธ์ และมันก็สามารถหาพบได้เฉพาะในสถานที่อย่างสถาบันศึกษาวรยุทธ์เท่านั้น
“เอาล่ะ เจ้าสามารถเข้าไปได้แล้ว!”
เมื่อได้รับอนุญาตจากชายชรา ลู่หยุนและต้วนชิงก็เข้าไปในศาลาวิชายุทธ์
“น้องลู่ เจ้าสังหารสัตว์อสูรขั้นสองขั้นปลายบนชั้นหกลงได้ 8 ตัว ดังนั้นข้าจึงเดาว่าอย่างน้อยๆ เจ้าก็จะต้องอยู่ในขอบเขตเส้นลมปราณขั้นปลายแน่ อย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่ได้คิดเลยว่าเจ้าจะอยู่ในขั้นกลางเท่านั้น” ต้วนชิงพูดติดตลก
“ข้าก็แค่โชคดีนิดหน่อย!” ลู่หยุนยิ้มเล็กน้อย
รากฐานของลู่หยุนมีเสถียรภาพมาก ดังนั้นเขาจึงสามารถปกปิดออร่าของเขาได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับต้วนชิงและคนอื่นๆ ที่จะมองขอบเขตที่แท้จริงของเขาไม่ออก
ต้วนชิงถอนหายใจในใจ เมื่อพิจารณาว่ามันเป็นเพราะโชคแล้ว งั้นเขาก็คงจะโชคไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
เนื่องจากเป้าหมายของลู่หยุนคือชั้นหนึ่งของศาลาวิชายุทธ์ และต้วนชิงตั้งใจที่จะไปที่ชั้นสอง ดังนั้นทั้งสองจึงพูดคุยกันสักพักก่อนที่จะแยกทางกันไป
เมื่อเข้าสู่ชั้นหนึ่งของศาลาวิชายุทธ์ มันก็มีคนไม่มากนัก ลู่หยุนเห็นศิษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ทำให้เขางงงวย
ตามเหตุและผลแล้ว สถานที่อย่างศาลาวิชายุทธ์ก็ควรจะดึงดูดเหล่าศิษย์ให้เข้ามาได้มากพอๆ กับหอคอยหมื่นปรากฎการณ์สิ?
อย่างไรก็ตาม ความจริงกลับตรงกันข้าม หอคอยหมื่นปรากฏการณ์นั้นกลับพลุกพล่านไปด้วยผู้คนในขณะที่ศาลาวิชายุทธ์มีผู้เยี่ยมชมน้อยมาก
“เป็นไปได้ไหมที่ศิษย์คนอื่นๆ จะไม่ได้ขาดแคลนวรยุทธ์?”
เมื่อคลายความสงสัยของเขาแล้ว ลู่หยุนก็หายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปที่ชั้นหนังสือ
มีคัมภีร์วรยุทธ์มากมายวางอยู่ที่ชั้นหนึ่งของศาลาวิชายุทธ์ ซึ่งมันก็อัดแน่นอยู่บนชั้นหนังสือขนาดใหญ่
การค้นหาสิ่งที่ต้องการจากพวกมันทั้งหมดคงจะต้องใช้เวลาสักพัก
ลู่หยุนไม่ได้รีบร้อน ดังนั้นเขาจึงเริ่มเลือกทีละรายการ
หมัดคลื่นกระแทก, ฝ่ามือคลื่นสะพรึง, ลูกเตะเทพวายุ, กระบี่วายุคลั่ง, ก้าวไร้เงา, กระบี่ผีเสื้อดาวตก…
คัมภีร์วรยุทธ์ทุกประเภททำให้ลู่หยุนตื่นตาตื่นใจ
“ท้ายที่สุดแล้ว ศาลาวิชายุทธ์ก็ไม่มีการจำกัดเวลา ดังนั้นฉันอาจจะจดจำพวกมันเหล่านี้และเพิ่มเข้าไปในหน้าจอค่าคุณสมบัติก็ได้ ด้วยวิธีนี้ ฉันก็จะไม่จำเป็นต้องใช้คะแนนการมีส่วนร่วม!”
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ลู่หยุนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
หากความคิดนี้ได้ผล เขาก็จะได้กำไรมหาศาล
นอกจากนี้ เขาก็จะไม่ขาดแคลนวรยุทธ์หรือเคล็ดวิชาการฝึกตนอีกต่อไปในอนาคต
พรึ่บ!
ลู่หยุนหยิบคัมภีร์วรยุทธ์เล่มหนึ่งขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
กระบี่นทีพลิกเมฆา: กระบี่เปรียบดั่งเมฆขาวที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและเปรียบได้ดั่งสายฝนที่ตกหนัก มันเต็มไปด้วยความซับซ้อนและยากจะคาดเดา
นี่เป็นวรยุทธ์ขั้นหนึ่ง และความยากในการฝึกฝนก็อยู่ในระดับปานกลาง ด้วยความปรารถนาที่จะลองดู ลู่หยุนจึงเริ่มพลิกหน้าต่างๆ
“ห้ะ?” ลู่หยุนตกตะลึง เนื่องจากคัมภีร์วรยุทธ์นี้มีตราผนึกอยู่ มันจึงทำให้เขาไม่สามารถอ่านต่อได้
ด้วยความไม่เชื่อ เขาหยิบคัมภีร์วรยุทธ์อีกเล่มหนึ่งขึ้นมาและพยายามจะอ่านเนื้อหาด้านหลังโดยตรง
แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผลลัพธ์นั้นเหมือนเดิม..
เขาไม่สามารถอ่านต่อได้!
“น่าเสียดาย!”
ตอนนี้ ลู่หยุนก็เข้าใจแล้วว่าทำไมมันจึงไม่มีการจำกัดเวลาในศาลาวิชายุทธ์
คัมภีร์วรยุทธ์ในศาลาวิชายุทธ์ทำได้เพียงอ่านคำอธิบายพื้นฐานเท่านั้น และไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาภายในได้
จริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องปกติ หากพวกเขาสามารถอ่านคัมภีร์วรยุทธ์ในศาลาวิชายุทธ์ได้อย่างอิสระ แบบนั้นแล้วการแลกเปลี่ยนคะแนนการมีส่วนร่วมก็คงจะไม่มีความหมาย
หลังจากที่ความปรารถนาของเขาไม่สามารถบรรลุผลได้ดั่งใจต้องการ ในที่สุดลู่หยุนก็สงบลงและเริ่มเลือกคัมภีร์วรยุทธ์อย่างจริงจัง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
“ตามที่คาดไว้ ไม่เพียงแต่มันจะมีคัมภีร์วรยุทธ์มากมายเท่านั้น แต่มันยังมีความหลากหลายมากอีกด้วย การเลือกพวกมันเพียงอันเดียวเป็นการตัดสินใจที่ยากจริงๆ” ลู่หยุนถอนหายใจหลังจากพลิกดูคัมภีร์วรยุทธ์มากมาย
ท้ายที่สุดแล้ว ในปัจจุบันเขาก็มีคะแนนการมีส่วนร่วมเพียง 380 คะแนนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดให้กับตัวเอง
“ถ้าฉันมีคะแนนการมีส่วนร่วมมากกว่านี้ล่ะก็…”
ลู่หยุนรู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อยในใจ และในขณะเดียวกัน เขาก็โหยหาคะแนนการมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้น สายตาของลู่หยุนก็จ้องมองไปที่คัมภีร์วรยุทธ์เล่มหนึ่งบนชั้นหนังสือ
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาก็คือพื้นผิวปกและวัสดุของมันนั้นแตกต่างจากคัมภีร์วรยุทธ์เล่มอื่นๆ เล็กน้อย และหน้ากระดาษของมันก็ดูเหลืองและทำให้มันดูโบราณยิ่งขึ้น
ลู่หยุนเดินตรงไปข้างหน้าและหยิบคัมภีร์วรยุทธ์เล่มสีเหลืองขึ้นมา ข้อความบนปกของมันเขียนเอาไว้ว่า..
“วิชากระบี่เจ็ดสังหาร..”