บทที่ 20: ย้ายข้าวของ ฝ่ามือเมฆา
บทที่ 20: ย้ายข้าวของ ฝ่ามือเมฆา
เพื่อคว้าช่วงเวลาสุดท้ายนี้ไว้ ลู่หยวนจึงวางแผนที่จะผลักดันตัวเองให้ล่าสัตว์ให้มากขึ้นเพื่อที่เขาจะได้หาเงินสำหรับการฝึกวรยุทธ์ของเขาได้มากขึ้น
“เวลาได้ผ่านไปหลายวันแล้ว พวกแก็งหมาป่าทมิฬจะลงไปจากภูเขารึยังนะ”
ที่ตีนเขา เมื่อมองดูภูมิประเทศที่ปกคลุมไปด้วยหิมะอันกว้างใหญ่ เขาก็คิดกับตัวเองในขณะเดินเข้าไปในภูเขาอย่างมั่นใจ
…
ในวันต่อมา นอกจากการเรียนแล้ว ลู่หยวนก็ยังขึ้นไปบนภูเขาทุกวันเพื่อล่าสัตว์
ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้ข้ามภูเขาเป็นครั้งคราวเพื่อกลับไปยังที่อยู่อาศัยเดิมของเขา เพื่อยืนยันว่าแก๊งหมาป่าทมิฬได้ออกไปแล้วหรือไม่ และเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาด้วยเช่นกัน
แก๊งหมาป่าทมิฬดูเหมือนจะตั้งใจอย่างยิ่งที่จะตามหานักดาบหม่าจื่อชิงให้ได้ ราวกับว่าพวกเขาจะไม่ยอมปล่อยมือจนกว่าจะพบเขา
แม้แต่ตอนนี้เมื่อหิมะตกหนักทั้งภูเขาแล้ว พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ด้วยการนำของนายพรานภูเขา พวกเขาจึงเดินทางข้ามภูมิประเทศอันขรุขระเพื่อค้นหาร่องรอยของศัตรูต่อไปอย่างสิ้นหวัง
ภูเขาต้าหยูนั้นกว้างใหญ่ มันทอดยาวและกินพื้นที่คาบเกี่ยวหลายมณฑล ดังนั้นแม้ว่าแก๊งหมาป่าทมิฬจะระดมสมาชิกทุกคนที่พวกเขามีออกมาตามหาหม่าจื่อชิง แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถค้นภูเขาจนทั่วได้
และยิ่งด้วยคนกลุ่มเล็กๆ เช่นนี้ การจะหาชายคนเดียวท่ามกลางภูเขาอันไร้ขอบเขตเหล่านี้จะเป็นไปได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น นายพรานที่ถูกแก๊งหมาป่าทมิฬจับตัวมาก็ยังค่อนข้างโชคร้ายเช่นกัน พวกเขาต้องออกเดินทางไปมาบนภูเขาในช่วงฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ และในขณะเดียวกัน เขาก็ยังถูกสมาชิกแก๊งดุด่าและทุบตี นายพรานบางคนถึงขั้นเสียชีวิต ชะตากรรมของพวกเขานั้นเลวร้ายเกินบรรยาย
โชคดีที่คืนวันอันยากลำบากของพวกเขาคงอยู่ได้ไม่นาน
ครึ่งเดือนต่อมา ระหว่างภารกิจสอดแนมตามปกติของลู่หยวน เขาก็ค้นพบว่าแก๊งหมาป่าทมิฬได้หายออกไปจากภูเขาแล้ว
หลังจากค้นภูเขามานานกว่าสองสัปดาห์และไม่พบเจอเป้าหมาย ในที่สุดแก็งหมาป่าทมิฬก็จากไปอย่างไม่เต็มใจ
แม้ว่าเขาจะสังเกตเห็นการจากไปของพวกเขาแล้ว แต่ลู่หยวนก็ยังไม่ลดความระมัดระวังลง
เมื่อพิจารณาถึงธรรมชาติอันโหดร้าย ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะวางกับดักเอาไว้หรือไม่?
ด้วยเหตุนี้เอง ลู่หยวนผู้มีเวลาเหลือเท่าโลกทั้งใบและมีอายุขัยไม่จำกัด จึงไม่ได้รีบร้อน เขามุ่งความสนใจไปที่การล่าเหยื่อในขณะที่รออย่างอดทน
หลังจากผ่านไปอีกสิบวัน และได้รับการยืนยันแล้วว่าแก๊งหมาป่าทมิฬได้จากไปแล้วจริงๆ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจกลับไปที่ถ้ำของเขาซึ่งอยู่บนภูเขา
…
หมอกยามเช้ายังคงลอยค้างอยู่บนภูเขา และแม้ว่าดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าเหนือศีรษะ แต่เงาของต้นไม้หนาทึบก็ได้ปกคลุมม่านหมอกที่เกาะอยู่ระหว่างใบไม้เอาไว้
ริมลำธารถูกปกคลุมไปด้วยธารน้ำแข็ง
ท่ามกลางต้นไม้ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ลู่หยวนเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง เขาจ้องมองไปที่การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวเขาอย่างระมัดระวังเพื่อประเมินสถานการณ์
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะจากไปแล้วจริงๆ”
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็โผล่ออกมาจากต้นไม้และเดินไปหาลำธารใกล้ๆ
เมื่อไปถึงลำธาร เขาก็ตักน้ำใสขึ้นมาหนึ่งกำมือ เขาใช้มันถูใบหน้าอย่างแรงเพื่อชำระล้างความเหนื่อยล้า นี่คือความหนาวเย็นที่ชวนให้เขาหวนรำลึก
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ลู่หยวนก็มุ่งหน้าไปยังถ้ำของเขา
เมื่อคำนึงถึงประสบการณ์ก่อนหน้านี้ เขาจึงเข้าใกล้ทางเข้าถ้ำอย่างระมัดระวังอีกครั้ง เขาก้าวเท้าเข้าไปใกล้ทีละก้าวอย่างระมัดระวัง
เขาหยุดห่างจากเถาวัลย์ไปประมาณสิบก้าว
“มันดูเหมือนกับตอนที่ฉันจากไป และมันก็ไม่มีร่องรอยการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งนั้น”
หลังจากตรวจดูเถาวัลย์มาได้ระยะหนึ่งแล้ว ลู่หยวนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ดูเหมือนว่าในระหว่างที่เขาไม่อยู่ แก๊งหมาป่าทมิฬจะไม่ได้ค้นพบสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นที่อยู่อาศัยของเขาจึงยังคงปลอดภัย
“ไม่สิ อาจไม่ใช่เพราะว่ามันไม่ได้ถูกค้นพบ แต่อาจมีคนจงใจทำให้พวกเขาเข้าใจผิด” เขานึกถึงนายพรานที่ถูกบังคับให้ต้องนำทางพวกแก็งหมาป่าทมิฬในช่วงฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ
แน่นอนว่าภูเขาต้าหยู่อันกว้างใหญ่ไม่ได้มีเพียงลู่หยวนเท่านั้นที่เป็นนายพราน
ในความเป็นจริงแล้ว ในพื้นที่ภูเขาของมณฑลต้าหยู มันก็มีนายพรานหลายร้อยคนที่กระจัดกระจายไปทั่วภูเขา
นายพรานเหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์กันเป็นครั้งคราว และพวกเขาก็รู้ที่อยู่ของกันและกัน และยังรวมพลังกันเพื่อล่าสัตว์ร้ายในบางครั้งอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงไม่แปลกถ้าจะบอกว่าพวกเขามีความผูกพันกัน
เมื่อแก๊งหมาป่าดำเข้าไปในภูเขาเพื่อออกค้นหาหม่าจื่อชิง พวกเขาก็ต้องใช้นายพรานในท้องที่เป็นผู้นำทาง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพวกเขาถูกจับมาเป็นแรงงานโดยไม่มีเหตุผล ดังนั้นเหล่านายพรานจึงไม่พอใจโดยธรรมชาติ
ในช่วงเวลาดังกล่าว มันก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่ามีนายพรานสักกี่คนที่เต็มใจทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือแก๊งหมาป่าทมิฬ
ท้ายที่สุดแล้ว การค้นภูเขาของแก๊งหมาป่าทมิฬก็เป็นเพียงภารกิจชั่วคราว แต่นายพรานก็ยังต้องกระตือรือร้นเอาชีวิตรอดอยู่ในภูเขาไปตลอดชีวิต
ด้วยเหตุนี้เอง หากมีใครทำให้เพื่อนบ้านขุ่นเคืองเข้า พวกเขาก็อาจจะถูกล่าแทนสัตว์ป่าเอาได้ในสักวันหนึ่ง
“พวกแก๊งหมาป่าทมิฬนี่มันเลวจริงๆ ทั้งคนและหมาต่างก็มองพวกมันด้วยความดูถูก”
ลู่หยวนส่ายหัว เขาผลักเถาวัลย์ออกไปและก้าวเข้าไปในถ้ำของเขาเอง
ก่อนหน้านี้เขารีบจากไปอย่างเร่งรีบ ดังนั้นเขาจึงลืมของมีค่าไว้มากมาย นอกจากนี้ มันก็ยังมีกองหนังสัตว์ที่เขาล่ามาได้และยังไม่ได้เอาไปขายกองรวมกันอีกนับร้อยโล ซึ่งหากตีเป็นมูลค่าแล้วพวกมันก็น่าจะมีค่าประมาณห้าถึงหกตำลึง
ในตอนนี้ เขาได้เรียนรู้คำศัพท์สามพันคำมาจากซุนซือเหวินแล้ว และได้เข้าใจเนื้อหาภายในคัมภีร์ลับแล้ว
สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือใช้เวลาศึกษา ทำความเข้าใจความหมาย และในตอนนี้ เขาก็เกือบจะเริ่มฝึกฝนได้แล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง ในอีกไม่นาน ค่าใช้จ่ายจำนวนมากก็จะผุดขึ้นมาอีกครั้ง
การฝึกวรยุทธ์ก็เหมือนกับหลุมลึกที่ไร้ก้นบึ้ง
เขาบรรจุขนสัตว์และเนื้อตากแห้งจำนวนมากลงไปในตะกร้าไม้ไผ่และจัดเรียงพวกมันไว้อย่างประณีต ไม่นาน ตะกร้าเปล่าก็มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นห้าสิบหรือหกสิบกิโล
“ทั้งหมดก็เพื่อเงิน!”
ลู่หยวนแบกตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นไว้บนหลังแล้วเดินออกมาจากถ้ำ
ยังมีสิ่งของเหลืออยู่อีกมากมายอยู่ข้างในถ้ำ และเขาก็ไม่สามารถขนย้ายทั้งหมดได้ในคราวเดียว เขาอาจจะต้องทำมันอีกสองถึงสามครั้ง
…
สามวันต่อมา
ภายใต้พระอาทิตย์ตกดินสีแดงสลัว ลู่หยวนแบกตะกร้าใบใหญ่ไว้บนหลัง มีกระต่ายป่าอยู่ในมือ คันธนูอยู่บนหลัง และมีมีดสั้นคาดอยู่ที่เอว เขากำลังเดินไปตามเส้นทางบนภูเขาอย่างรวดเร็ว
เบื้องหน้าเขา เมืองเล็กๆ อันเงียบสงบได้ปกคลุมไปด้วยควันไฟ และเกษตรกรบางส่วนที่ทำงานในทุ่งนารอบเมืองก็ค่อยๆ จบงานประจำวันและเตรียมตัวกลับบ้าน
“พี่ลู่กลับมาแล้ว”
“หยวนน้อยล่าสัตว์มาได้อีกแล้วในวันนี้ เขาน่าทึ่งมากจริงๆ”
ที่ทั้งสองข้างทาง ชาวนาบางคนที่ยังคงยุ่งอยู่กับการทำนาเห็นลู่หยวนและทักทายเขาทีละคน
“ข้าแค่โชคดีก็เท่านั้น” ลู่หยวนตอบด้วยรอยยิ้ม “ไว้ว่างๆ พวกท่านก็มาที่บ้านของข้าเพื่อซื้อเนื้อกระต่ายได้เลย”
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ชาวเมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็ค่อยๆ ได้รับรู้ถึงการมาถึงของนายพรานภูเขา
เพื่อปักหลักในเมืองและผสมผสานเข้ากับชาวเมือง ลู่หยวนจึงจงใจผูกมิตรกับเพื่อนบ้าน และมอบสัตว์ที่เขาจับมาได้เป็นของขวัญเป็นครั้งคราว
ซึ่งหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ความสัมพันธ์ของเขากับผู้อยู่อาศัยบางคนก็ค่อยๆ สนิทสนมกันมากขึ้น
เมื่อมาถึงจุดนี้ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถพูดได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาดีมาก แต่พวกเขาก็เต็มใจที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แล้ว และแม้แต่เพื่อนบ้านบางคนก็ยังเสนอเหล้าทำเองหรือไข่ให้กับเขาเป็นการตอบแทน
อาจกล่าวได้ว่าในตอนนี้ ลู่หยวนก็ได้รวมเข้ากับเมืองหยางเหมยอย่างสมบูรณ์แล้ว
ลู่หยวนเดินผ่านทุ่งนาเข้าไปในเมืองและรีบกลับบ้านโดยเดินผ่านตรอกซอกซอย
หลังจากปิดประตูหน้าบ้านแล้ว ลู่หยวนก็วางคันธนูและลูกธนูลง เขาเดินไปที่ห้องครัวข้างๆ และจากนั้นก็ปลดตะกร้าสะพายหลังออกแล้ววางลงบนพื้น
เมื่อเปิดฝาตะกร้าออก มันก็เต็มไปด้วยเนื้อรมควัน
เขาหยิบเนื้อรมควันขึ้นมาสองสามแผ่นแล้วแขวนไว้บนชั้นวางไม้ที่เตรียมไว้ในห้องครัว จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “หลังจากใช้เวลาสามวัน ในที่สุดฉันก็สามารถขนของทั้งหมดออกมาจากถ้ำได้”
เขาถลกหนังและทำความสะอาดเนื้อกระต่ายที่เขาจับมาได้ในวันนี้ จากนั้นเขาก็นำมันไปปรุงอาหาร
เมื่อเห็นว่าอาหารเย็นนั้นต้องใช้เวลาอีกสักพัก ลู่หยวนจึงถือโอกาสตักน้ำมาจากบ่อน้ำเพื่ออาบน้ำ
หลังจากเช็ดเหงื่อและเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อผ้าที่สะอาดแล้ว ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง และค่ำคืนก็เงียบลง
เขาหยิบหนังสือออกมาจากที่ซ่อนและเริ่มพลิกหน้าหนังสือท่ามกลางแสงไฟ
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าหม่าจื่อชิงจะกำลังฝึกวรยุทธ์ฝ่ามือจริงๆ ตอนแรกฉันเห็นเขาถือดาบ ฉันเลยคิดว่าเขาเป็นนักดาบ แต่ที่แท้มันก็ปรากฎว่านั่นเป็นเพียงการปลอมตัว”
ลู่หยวนพลิกดูคัมภีร์วรยุทธ์ที่เขาได้รับมาจากหม่าจื่อเชิง ในตอนนี้ เขาก็สามารถจดจำคำศัพท์สามพันคำได้แล้ว และเขาก็สามารถเข้าใจเนื้อหาในคัมภีร์ได้แล้ว
หลังจากเข้าใจเนื้อหาแล้ว เขาก็ค้นพบว่าแท้จริงแล้วมันเป็นวรยุทธ์ฝ่ามือ
“ฝ่ามือเมฆา... เป็นชื่อที่ธรรมดาซะจริง”
เมื่อเปิดดูคัมภีร์ลับ เขาก็ได้แสดงความเห็นประชดประชันเล็กน้อยออกมา แต่กระนั้นหัวใจของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความสุข
วรยุทธ์!
เมื่อเขาฝึกวรยุทธ์ได้สำเร็จเมื่อไหร่ เขาจะสามารถเรียกตัวเองว่าจอมยุทธ์เลยได้ไหม?