บทที่ 166 นางสนมเยว่
ครั้นเหลียงอี้ได้ยินคำพูดของฉินชิงก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย ตัวเขายังผอมไปอีกหรือ ดังนั้นจึงเรียกจางเต๋อจงมา
“เจ้าคิดว่าเจิ้นผอมหรือไม่?”
“ฝ่าบาท เหตุใดท่านถึงถามเช่นนี้?”
จางเต๋อจงกำลังหิวจนตาลาย วันนี้เขายังไม่ได้กินอาหารค่ำ เวลานี้สมองของเขาจึงตอบสนองช้าอยู่บ้าง คำถามที่เหลียงอี้ถามทำให้จางเต๋อจงงุนงงไปชั่วขณะ
“เจิ้นถามเจ้า เจ้าก็ตอบเจิ้นมา อย่าถามมาก”
“ในสายตาของกระหม่อม ฮ่องเต้ไม่ผอมแน่นอน แต่ถ้าฮ่องเต้อ้วนขึ้นอีกสักเล็กน้อยก็จะถือว่าเป็นโชคพ่ะย่ะค่ะ”
เหลียงอี้ได้ยินคำตอบเช่นนั้นก็คิดในใจว่า ตอบเช่นนี้ไม่เท่ากับคิดว่าเขาผอมไปหรือ?
เมื่อนึกถึงคำแนะนำที่หมอหลวงบอกให้ตนกินให้มากขึ้นเมื่อครั้งมาตรวจชีพจรให้ อีกทั้งยังให้ยาเจริญอาหาร ยาเสริมสร้างความแข็งแรง และยาปกป้องกระเพาะอาหารต่างๆ เหลียงอี้ก็รู้สึกว่าการกินทั้งหมดพร้อมกันนี้ค่อนข้างลำบาก จึงไม่กิน
แน่นอนว่าเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือเหลียงอี้รู้ว่าการที่เขาไม่อยากกินไม่ใช่ปัญหาทางร่างกาย แต่เป็นเพราะเขาเองที่ไม่อยากกิน เมื่อเห็นอาหารแล้วเขาเพียงไม่อยากจะกินมันเท่านั้น
กระทั่งกินไปได้พอสมควรแล้วก็ไม่ได้มีความรู้สึกหิวขนาดนั้น ถ้ากินอีกหนึ่งคำ เหลียงอี้ก็รู้สึกว่าตนสามารถอ้วกออกมาได้
ดังนั้นในสายตาของชิงเอ๋อร์ ตนผอมมากมาตลอดเลยอย่างนั้นหรือ? เหลียงอี้สงสัยมาก
“เจิ้นผอมมากจริงๆ หรือ?”
เหลียงอี้หันไปมองฉินชิง
ฉินชิงอึดอัดเพราะการจ้องมองของเหลียงอี้จึงรีบพูดว่า
“ที่จริงก็ไม่ได้ผอมมากขนาดนั้นเพคะ คราวก่อนเพราะหม่อมฉันนั่งเกี้ยวกลับไปที่ตำหนักรับรองกับท่าน ตอนนั้นหม่อมฉันรู้สึกว่าถ้าแขนของท่านใหญ่ขึ้นและหนาขึ้นอีกนิดก็น่าจะหนุนได้สบายกว่า เลยอยากจะบำรุงท่านให้อ้วนเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้ว ลงโทษหม่อมฉันได้เลยเพคะ”
“เอาละ เจิ้นยังไม่ได้บอกว่าเจ้าผิดเลย เจ้าจะยอมรับผิดเรื่องอะไร? หรือเพราะเรื่องนี้” เหลียงอี้มองฉินชิงที่ก้มหน้าราวกับนกกระจอกเทศที่อยากเอาหัวมุดลงไปในทราย ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด
“เพคะ”
“เอาละ คราวหน้าตอนเจิ้นไปสนามฝึกซ้อมจะฝึกที่แขนเป็นพิเศษแล้วกัน ปกติฝึกขาและเท้า คิดไม่ถึงว่าจะถูกเจ้าดูถูกเสียได้”
“คราวหน้าหากฝ่าบาทไป พาหม่อมฉันไปด้วยได้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันอยากไป?”
ฉินชิงก็อยากหาสถานที่ออกกำลังกายดีๆ คราวก่อนที่แข่งม้านางก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของนางยังต้องออกกำลังกาย ถ้าหยุดออกแล้วผลลัพธ์จะลดลงอย่างมาก
ตำหนักจงชุ่ยเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก ไม่เหมาะกับการออกกำลังกาย และไม่มีอุปกรณ์ในการออกกำลังกาย อย่างไรก็ไม่สะดวก
หากตนได้ไปที่สนามฝึกก็คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย
“ใช่ว่าจะไปไม่ได้ สนามฝึกแห่งนั้นวันปกติก็มีคนอยู่ไม่กี่คน”
“เช่นนั้นฝ่าบาทพาหม่อมฉันไปด้วยเถอะ ได้ไหมเพคะ”
ฉินชิงจับแขนเสื้อของเหลียงอี้ กะพริบตาปริบๆ มองเหลียงอี้ นางรู้ว่าการทำเช่นนี้มีโอกาสสำเร็จมาก หลายครั้งที่นางขอร้องเขาเช่นนี้แล้วเขาก็เห็นด้วย เรียกได้ว่าเป็นท่าสำหรับขอร้องโดยเฉพาะ
อย่างที่คาดไว้ เมื่อเหลียงอี้เห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็ยอมจำนน
“ได้ๆๆ เจิ้นตกลงแล้ว”
“ฝ่าบาทดีที่สุด ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”
“กลัวเจ้าแล้วจริงๆ”
“ฮี่ๆ”
“แต่แผนการที่จะบำรุงเจิ้นให้อ้วนอะไรนั่นไม่ต้องพูดถึงแล้ว”
“เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันรับรองว่าจะไม่เอ่ยถึงอีก”
แม้ว่าฉินชิงจะเสียใจที่แผนการบำรุงให้อ้วนของตนล้มเหลว แต่เมื่อคิดว่าจะได้ไปที่สนามฝึกซ้อมก็ไม่รู้สึกเสียใจแล้ว นางตั้งตารอมาก
“ฝ่าบาท สนามฝึกซ้อมที่ท่านว่ามาอยู่ที่ไหนเพคะ?”
“เอาอย่างนี้เถอะ รออีกสองสามวัน เจิ้นว่างแล้วจะพาเจ้าไป”
“เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันจะรอนะเพคะ”
ฉินชิงตั้งตารอที่จะไปสนามฝึกมาก ถึงอย่างไรก็คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นการรำดาบหรือเล่นหอกก็ล้วนฝึกที่สนามฝึกซ้อมทั้งหมด จริงๆ แล้วมันก็คือสนามเด็กเล่นสมัยโบราณ
เมื่อนึกว่าอีกไม่กี่วันก็จะได้แสดงหมัดและทักษะการเตะของตน ฉินชิงก็ตื่นเต้นมาก
วันรุ่งขึ้นฉินชิงก็ไปตำหนักคุนหนิงตามเวลาที่นัดไว้
ฉินชิงที่นั่งอยู่บนเกี้ยวเกือบหลับไปแล้ว ต้องให้หยินผิงเตือนถึงได้ไม่หลับจนตกลงจากเกี้ยว
“เหนียงเหนียง เหนียงเหนียง ตื่นเพคะ”
เมื่อได้ยินเสียงของหยินผิงฉินชิงก็ตื่นขึ้นมา แต่ก็ยังง่วงมากอยู่ นางหาวอยู่หลายครั้ง
ไม่รู้ว่าเหลียงอี้เป็นอะไร เมื่อคืนนี้ฝืนทำจนถึงเที่ยงคืน ปกติก็ไม่เป็นแบบนี้ แต่เมื่อวานเหลียงอี้ดูเหมือนอยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง ดังนั้นแม้ว่าฉินชิงจะขอความเมตตา เหลียงอี้ก็ไม่ยอมปล่อยฉินชิงไป
อย่างไรก็ตาม เช้านี้ฮองเฮานัดหมายสนมเยว่ไว้ นี่จึงเป็นครั้งแรกหลังกลับมาจากตำหนักรับรองที่ฉินชิงตื่นแต่เช้า
ฉินชิงไม่ได้ตื่นเช้ามาหลายวันแล้วก็จริง แต่เมื่อคืนฉินชิงยังไม่ได้นอนเลย นี่นอนไปได้ไม่กี่ชั่วยามก็ถูกปลุกแล้ว แน่นอนว่าต้องง่วงมาก
แม้แต่ลมหนาวในตอนเช้าก็ไม่สามารถหยุดความง่วงของฉินชิงได้ นั่งอยู่บนเกี้ยวก็เกือบจะหลับไปแล้ว
หยินผิงเห็นว่าฉินชิงหาวไม่หยุด นั่งอยู่บนเกี้ยวเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็กลัวว่านางจะตกลงมาจากเกี้ยว หยินผิงก็รู้สึกว่าตนต้องเตรียมพร้อมรับฉินชิงที่จะตกลงมาจากเกี้ยวตลอดเวลา
แต่ยังดี เมื่อฉินชิงถึงตำหนักคุนหนิงแล้วก็ดูจะสดชื่นขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อฉินชิงเดินเข้าไปในตำหนักอย่างช้าๆ ก็พบว่าสนมเยว่มาถึงแล้ว กำลังนั่งจิบชาอยู่ด้านข้าง เหมือนจะดูสดชื่นมากกว่าฉินชิง แต่ฮองเฮายังไม่มา
ฉินชิงคิดว่าคนที่ควรจะถูกวางยาก่อนหน้านี้คือตนไม่ใช่สนมเยว่ และตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าพิษของสนมเยว่ได้ถูกล้างออกไปหมดแล้ว
สนมเยว่เห็นฉินชิงเดินเข้ามาจากด้านนอก ก็เดาไม่ได้ว่าทำไมฉินชิงถึงมาที่นี่
เมื่อวานสนมเยว่ได้รับคำสั่งจากฮองเฮา นางก็งงอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมฮองเฮาถึงได้เรียกนางมาเข้าเฝ้า นางอยู่ในตำหนักของตัวเองก็มีชีวิตที่อบอุ่นสุขสบายดีแล้ว
นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดฮองเฮาถึงเรียกนางมาเข้าเฝ้าอย่างกะทันหัน แต่เพื่อความปลอดภัย วันนี้สนมเยว่จึงมาเช้ามาก
“ชูเจาอี้ เรื่องคราวก่อนต้องขอบคุณท่านมาก อาการป่วยของข้าดีขึ้นมากแล้ว”
“ดีแล้ว คำขอบคุณน่ะไม่จำเป็นหรอก”
“ชูเจาอี้ก็ได้รับคำเชิญจากฮองเฮาเช่นกันหรือ?”
“ถือว่าใช่แล้วกัน” ฉินชิงคิดว่าเมื่อถึงตอนนั้นฮองเฮาถามอย่างไรก็เพียงตอบไปเช่นนั้น
“เช่นนั้นชูเจาอี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าวันนี้ฮองเฮาเรียกพวกเรามาทำไม? ฮองเฮาไม่ตรัส หม่อมฉันรู้สึกใจหวิวๆ”
“ข้าเองก็รู้มาเล็กน้อย อาจเป็นเพราะฮองเฮาอยากจะถามบางอย่างจากเจ้า เกี่ยวกับเรื่องที่ข้าเคยถามเจ้าในตอนแรก แต่ต้องพูดให้ละเอียด ยิ่งละเอียดเท่าไรก็ยิ่งดี”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าของสนมเยว่ก็เปลี่ยนไป
“เหตุใดฮองเฮาถึงรู้ หรือว่าท่านเป็นคนบอกฮองเฮาหรือ?”
“ใช่” เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ฉินชิงจึงตอบไปตรงๆ