บทที่ 18 : ราคาของความรู้
บทที่ 18 : ราคาของความรู้
“ใช่แล้วท่านซุน ข้าอยากเรียนการอ่านกับท่าน”
เมื่อเห็นครูที่เขาเลือกดูงุนงงเล็กน้อย ลู่หยวนก็คิดกับตัวเองว่า เช่นเดียวกับข่าวลือ ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะมีสติปัญญาช้าเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าเขาต้องการแค่เรียนวิธีการอ่านเขียนเท่านั้น ตราบใดที่อีกฝ่ายสามารถสอนให้เขาอ่านออกได้ มันก็ไม่สำคัญว่าอีกฝ่ายจะฉลาดหรือไม่
“โอ้โอ้”
เมื่อซุนซือเหวินรู้สึกตัวและตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างล้นหลาม เขาก้าวถอยหลังไปอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “กรุณาเข้ามาก่อนนายน้อยลู่ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสำหรับการสนทนา เรามาคุยกันข้างในกันเถอะ”
ลู่หยวนเดินตามเขาเข้าไปและมองไปรอบๆ
เช่นเดียวกับในข่าวลือ บ้านของซุนซือเหวินค่อนข้างยากจนจริงๆ
ในลานบ้านอันกว้างขวาง นอกจากต้นพลัมที่ปลูกเอาไว้แล้ว มันก็ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว
บนผนังบ้านทั้งสองด้าน กำแพงดินโคลนมีรอยลอกและรอยเจาะขนาดใหญ่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้รับการดูแลรักษามาเป็นเวลานานแล้ว
เมื่อเข้าไปในห้องรับแขก มีเก้าอี้ไม้ไผ่สองตัวตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของห้อง ในขณะที่โต๊ะไม้ไผ่วางอยู่ตรงกลาง โดยมีถ้วยไม้ไผ่สองใบวางอยู่ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว
พื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้กลับมีเฟอร์นิเจอร์เพียงไม่กี่ชิ้น เห็นได้ชัดว่ามันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้
เมื่อนึกถึงข่าวลือในเมือง ลู่หยวนมีความคิดคร่าวๆ 'ด้วยบ้านที่ว่างเปล่าและรกร้างแห่งนี้ ดูเหมือนว่าบัณฑิตคนนี้จะยากจนจริงๆ'
“เชิญนั่งก่อนนายน้อยลู่ เดี๋ยวข้าจะไปเอาน้ำมาให้ท่าน…”
ซุนซือเหวินพาลู่หยวนไปที่เก้าอี้ไม้ไผ่ และกำลังจะเตรียมชาหลังจากปล่อยให้เขานั่งลง
แต่เมื่อคิดได้ว่าเขาไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน ซุนซือเหวินถึงค่อยมาตระหนักได้ว่าเขาไม่มีชาเหลือแล้ว
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงตักน้ำจากลานบ้านมาเสิร์ฟให้แขก หลังจากนั่งลงแล้ว เขาก็พูดด้วยความเขินอายเล็กน้อยว่า “ข้าเกรงว่าบ้านของข้าจะยากจนเกินกว่าจะนำชาดีๆ ออกมาให้ท่านได้ ดังนั้นข้าเลยเสิร์ฟท่านได้แต่น้ำสะอาดเท่านั้น”
“ไม่เป็นไรเลย” ลู่หยวนไม่ได้สนใจและส่ายหัว “การมาเยี่ยมอย่างกะทันหันของข้าต่างหากที่รบกวนท่าน”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่โกรธ ซุนซือเหวินก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นเขาก็นึกถึงสิ่งที่พูดไปก่อนหน้านี้และถามอย่างระมัดระวังว่า “เมื่อกี้นายน้อยลู่บอกว่าต้องการจะเรียนรู้จากข้าใช่ไหม? นั่นเป็นเรื่องจริงหรอ?”
ครอบครัวของเขาต้องดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ใช่ช่วงเทศกาล ดังนั้นมันจึงไม่มีใครจ้างเขาให้เขียนโคลงกลอน และการเขียนจดหมายให้ผู้อื่นนั้นก็ยิ่งยากกว่า มันมีโอกาสที่งานจะเข้ามาเพียงครั้งเดียวในทุกๆ สิบวันหรือหนึ่งเดือน
เมื่อเห็นว่าไม่มีรายได้อีกแล้ว เขาจึงวางแผนที่จะเอาทรัพย์สินของครอบครัวบางส่วนไปแลกเปลี่ยนเป็นเงิน
แต่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้เอง จู่ๆ ก็มีคนปรากฎตัวขึ้นและบอกว่าอยากจะเรียนกับเขา นี่เป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานลงมาให้อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับข่าวลือในเมืองที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา ซุนซือเหวินก็เคยได้ยินมาเรื่องสองเรื่องเช่นกัน ด้วยเหตุนี่เอง เขาจึงรู้ว่ามันไม่มีคำพูดดีๆ เกี่ยวกับเขามากนัก
ดังคำกล่าวที่ว่า บุคคลย่อมรู้กิจการของตนดีที่สุด เขากังวลมากว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบเขาและจะพลาดโอกาสสร้างรายได้ไป
แม้ว่าสุภาพบุรุษจะไม่ควรลุ่มหลงในเงินตรา แต่สภาพเขาในตอนนี้ก็ต้องการเงินเพื่อประทังชีวิต ดังนั้นความคิดเหล่านั้นจึงต้องละทิ้งเอาไว้ก่อน
“แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องจริง”
เมื่อเห็นท่าทางประหม่าของอีกฝ่าย ลู่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะพบว่ามันน่าขบขันและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ซุนซือเหวินก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นแต่ก็ยังลังเลอยู่ “แต่ข้ายังไม่ได้รับใบรับรองบัณฑิตด้วยซ้ำ และข้าก็ไม่ได้เชี่ยวชาญวิชาการใดๆ ด้วย ดังนั้นข้าจึงเกรงว่าข้าอาจจะขัดขวางความก้าวหน้าของท่านเอาได้ถ้าข้าสอนท่าน”
แม้ว่าเขาจะต้องการหาเงิน แต่ซุนซือเหวินก็ยังมีความซื่อสัตย์อยู่บ้าง
เขารู้ว่าเขามีความรู้อยู่บ้าง แต่กระนั้นมันก็ยังห่างไกลจากคุณสมบัติที่จะเอาไปสอนผู้อื่นได้ มิฉะนั้นแล้วเขาก็คงจะไม่ต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งใบรับรอง
เขากังวลว่าคำสอนของเขาจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดได้ ซึ่งนั่นก็จะเป็นบาปมหันต์และติดตัวเขาไปตลอดชีวิต
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงต้องเตือนอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
“นั่นไม่สำคัญ”
ลู่หยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับความกังวลของอีกฝ่าย เขารู้สึกว่าเขาได้พบคนที่ใช่แล้ว หลังจากพิจารณาปัญหานี้แล้ว เขาก็ระบุความตั้งใจของเขาว่า “ข้าไม่ได้วางแผนที่จะสอบเป็นบัณฑิต”
“ข้าแค่อยากรู้หนังสือและการอ่านเขียนก็เท่านั้น”
“ส่วนเรื่องค่าเล่าเรียน…”
ลู่หยวนมองไปรอบๆ และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ถ้าท่านสอนข้าหนึ่งคำ ข้าจะจ่ายท่านหนึ่งเหรียญ และยิ่งท่านสอนมาก ข้าก็จะยิ่งจ่ายมากด้วยเช่นกัน ท่านคิดว่าแบบนั้นดีไหม?”
เขาได้พิจารณาเรื่องค่าเล่าเรียนของเขามาโดยละเอียดแล้ว
ตามความรู้จากชาติที่แล้ว คำพื้นฐานที่คนใช้กันโดยทั่วไปแล้วก็มีอยู่ประมาณ 3,000 คำ
เมื่อเชี่ยวชาญจนถึงจำนวนนี้แล้ว ข้อความส่วนใหญ่ก็จะสามารถทำความเข้าใจเองได้โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ และการสื่อสารด้วยลายลักษณ์อักษรก็จะราบรื่นขึ้นเมื่อถึงตอนนั้น
ด้วยเหตุนี้เอง จากการอนุมานของเขา เขาก็จำเป็นต้องทำความเข้าใจคำศัพย์ประมาณ 3,000 คำเท่านั้น และนั่นก็เพียงพอแล้ว
สำหรับคำศัพย์ที่ยากๆ และพบไม่บ่อย เขาก็สามารถค่อยๆ เรียนรู้มันในอนาคตเอาเองได้
และเมื่อเขาอ่านออกเขียนได้แล้ว เขาก็จะเริ่มฝึกวิชายุทธ์โดยทันที
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากลู่หยวนไม่แน่ใจว่าคัมภีร์ลับที่เขาได้รับมานั้นจะต้องใช้สมุนไพรเพื่อช่วยในการฝึกฝนรึเปล่า
ดังนั้นเขาจึงต้องวางแผนประหยัดเงินเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
เขาได้ลองคำนวณดูแล้วและพบว่าคัมภีร์ลับมีคำศัพย์ทั้งหมด 20,000 คำ และหลังจากหักคำซ้ำแล้ว มันก็มีคำศัพย์ที่แตกต่างกันมากกว่า 2,000 ตัว
หากเขาสามารถเรียนรู้คำศัพย์เหล่านี้ได้มากกว่า 2,000 ตัว การทำความเข้าใจคัมภีร์ลับก็คงจะเป็นเรื่องง่าย
ด้วยราคาหนึ่งเหรียญต่อคำ คำศัพย์ 3,000 คำจึงจะมีราคาเพียงสามตำลึงเงินกว่าๆ เท่านั้น
หลังจากหักค่าเล่าเรียนแล้ว ลู่หยวนก็จะยังคงมีเงินออมเหลืออยู่อีกยี่สิบตำลึง
' นี่น่าจะเพียงพอแล้วที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการฝึกวรยุทธ์' เขาคิดและหันไปมองที่ซุนซือเหวิน
แผนนี้ขึ้นอยู่กับการเรียนและจำคำศัพย์เท่านั้น
แต่การที่เขาจะเรียนอย่างที่ตั้งใจได้หรือไม่นั้น ทั้งหมดนี้ก็ล้วนขึ้นอยู่กับว่าบัณฑิตคนนี้เต็มใจที่จะสอนเขาหรือไม่
“หนึ่งเหรียญต่อคำ…”
เมื่อได้ยินข้อเสนอของลู่หยวน ซุนซือเหวินก็ผงะไปเล็กน้อยเช่นกัน เขารู้สึกว่าการสอนนี้มันแหวกแนวไปเล็กน้อยและขัดต่อกฎเกณฑ์ และในตอนแรก เขาก็ค่อนข้างไม่เห็นด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงความจริงที่ว่าเขาจะไม่มีเงินซื้อข้าวกินแล้ว เขาจึงตัดสินใจไม่ดูหมิ่นเงินน้อยและยอมทิ้งตรรกะทุกอย่างที่เขามี
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พยักหน้า “เอาล่ะ ข้าจะสอนท่านและคิดค่าสอนหนึ่งคำต่อหนึ่งเหรียญ”
อย่างไรก็ตาม หลังจากพูดจบ เขาก็กล่าวเสริมว่า “และเนื่องจากข้าสอนเพียงแค่คำศัพย์เท่านั้น ดังนั้นเราจึงจะไม่มีความสัมพันธ์แบบศิษย์อาจารย์กัน และเราก็ไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติตามมารยาทระหว่างศิษย์อาจารย์ด้วย”
การมีชีวิตย่อมมีชัยเหนืออุดมการณ์