บทที่ 17 : การแสวงหาความรู้
บทที่ 17 : การแสวงหาความรู้
เช้าวันรุ่งขึ้นมาถึงอย่างรวดเร็ว
ลู่หยวนตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
เขาหยิบแปรงสีฟันไม้ที่เขาสร้างขึ้นมาเองเมื่อหลายเดือนก่อนขึ้นมา จุ่มมันลงในเกลือหยาบ และเริ่มแปรงฟัน
ความจริงที่ว่าเขาได้เดินทางไปสู่ยุคโบราณนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามองว่าชีวิตของเขานั้นเป็นอมตะและไม่มีจุดสิ้นสุด ดังนั้นเขาจึงเริ่มค่อยๆ ปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของเขาในการเดินทางอันยาวนานนี้
แปรงที่เขาใช้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ด้วยขนหมาป่าอันเป็นเอกลักษณ์ของภูเขา ไม้ที่มีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง พร้อมด้วยภูมิปัญญาและงานฝีมือเล็กๆ น้อยๆ เขาจึงประดิษฐ์แปรงสีฟันแบบโฮมเมดขึ้นมาเองได้
หลังจากล้างหน้าให้รู้สึกสดชื่นขึ้นแล้ว ลู่หยวนก็เริ่มฝึกร่างกายต่อไป
เมื่อมองผ่านธรรมชาติที่เต็มไปด้วยอันตรายแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าเพื่อที่จะมีชีวิตรอด เขาก็จำเป็นจะต้องพัฒนาร่างกายของเขาให้แข็งแรง
ด้วยเหตุนี้เอง กิจวัตรประจำวันของเขาจึงเริ่มต้นด้วยการวอร์มร่างกายด้วยการออกกำลังกายแบบเบสิคๆ จากนั้นก็ตามมาด้วยการวิดพื้น สควอช จ็อกกิ้ง ซิทอัพและอื่นๆ
เขาพัฒนาร่างกายและจัดสรรตารางการออกกำลังกายอย่างเป็นระบบและแม้กระทั่งตั้งชื่อให้มันว่า “วิธีออกกำลังกายของลู่”
เขาได้ฝึกหนักแบบนี้มาตั้งแต่ครึ่งปีก่อนแล้ว และผลลัพธ์ก็ออกมาชัดเจน
เขาไม่เพียงแต่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งของเขายังเพิ่มขึ้นมามากอีกด้วย
ก่อนที่คุณจะเชี่ยวชาญการยิงธนู คุณก็ต้องควบคุมจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายให้ได้ก่อน
สาเหตุที่ทักษะยิงธนูของลู่หยวนมีความก้าวหน้าอย่างมากในเวลาอันสั้นส่วนใหญ่ก็เนื่องมาจากจุดศูนย์ถ่วงของเขาที่แข็งแรง
หลังจากออกกำลังกายอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
หลังจากตักน้ำขึ้นมาจากบ่อแล้ว ลู่หยวนก็อาบน้ำเพื่อล้างเหงื่อ
หลังจากเทน้ำหลายขันลงบนตัวเขา ความร้อนก็หายไปพร้อมกับกลิ่นเหงื่อ
เขาชอบความรู้สึกสดชื่นหลังจากออกกำลังกายหรือทำงานมาเหนื่อยๆ มากที่สุดแล้ว
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ โจ๊กที่เขาปรุงไว้ก็พร้อมแล้ว
สิ่งที่เขาต้องการคือน้ำ ข้าว เนื้อ ผัก เกลือ หม้อและเตา หลังจากเดินทางมาสู่โลกนี้แล้ว ลู่หยวนก็เริ่มหลงใหลในวิธีการปรุงอาหารที่ง่ายและสะดวกเช่นนี้
ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็มีเพียงการโยนทุกอย่างลงในหม้อพร้อมๆ กันแล้วรอจนมันสุก แค่นี้เขาก็ได้โจ๊กอันโอชะแล้ว!
ชีวิตของนายพรานบนภูเขานั้นเรียบง่ายและน่าเบื่อ
แม้ว่าตอนนี้เขาจะอาศัยอยู่ในเมืองแล้ว แต่มันก็ยังต้องใช้เวลาในการปรับตัว
นิสัยของเขาในอดีตยังคงมีอิทธิพลต่อเขาในปัจจุบัน และเขาก็ยังคงเตรียมอาหารง่ายๆ และตรงไปตรงมาเหล่านี้ต่อไป
“ตอนนี้ฉันมีบ้าน มีตัวตนและมีแม้แต่เงินแล้ว ทุกอย่างล้วนพร้อมแล้ว และมันก็ถึงเวลาเรียนรู้การอ่านแล้ว”
ลู่หยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ในลานบ้านและครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ขณะที่เขากินโจ๊กและจิบชาของเขา
เขาได้คิดเรื่องนี้แล้วในขณะที่ซื้อบ้านของเขาเมื่อวันก่อน
วันนี้เขาสามารถเริ่มปฎิบัติตามแผนที่วางเอาไว้ได้เลย
…
เมืองไม่ได้ใหญ่นัก มันมีถนนสายหลักเพียงเส้นเดียวเท่านั้น
บ้านของลู่หยวนตั้งอยู่บนฝั่งภูเขาทางด้านตะวันออกของถนน เพื่อนบ้านใหม่ของเขาคือครอบครัวเกษตรกรรมที่อาศัยการปลูกต้นพลัมบนภูเขาเพื่อหาเลี้ยงชีพ
ขณะที่เขาเดินทางต่อไปในเมือง มันก็มีตรอกซอกซอยสี่ตรอกในถนนเส้นตะวันออก แต่ละตรอกมีประมาณยี่สิบครัวเรือน
หลังจากแวะซื้อข้าวของบนถนนสักเล็กน้อยแล้ว ลู่หยวนก็เดินทางต่อ
ชั่วครู่ต่อมา เขาก็มาถึงที่ตั้งของซอยที่ 3 ของถนนทิศตะวันออกอย่างรวดเร็ว
ด้านนอกลานเล็กๆ ที่ประตูปิดอยู่ ลู่หยวนเคาะประตูบ้านแล้วร้องออกมา
“ท่านซุน ท่านอยู่ที่บ้านรึเปล่า?”
เมื่อพิจารณาว่าเขาจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการอ่าน เขาจึงต้องไปหาครูแน่อยู่แล้ว
ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้คือบัณฑิตนามซุนซือเหวิน
เขาได้ถามเจ้าของโรงเตี๊ยมเมื่อวันก่อนแล้ว และพบว่าบัณฑิตคนนี้ยากจนที่สุดในเมืองแล้ว และเขาก็ยังมีทักษะที่ค่อนข้างด้อยกว่าบัณฑิคนอื่นๆ ด้วย
แม้จะเรียนมานานกว่าสิบปี แต่เขาก็ยังไม่ได้รับใบรับรองบัณฑิตเลย
และเนื่องจากไม่มีวุฒิและไม่มีทักษะ ซุนซือเหวินจึงไม่ร่ำรวยโดยธรรมชาติ
งานปกติของเขาจำกัดอยู่เพียงการเขียนจดหมายถึงชาวเมืองและการแต่งโคลงกลอนในช่วงเทศกาลเพื่อหาเลี้ยงชีพเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง เงินที่ซุนซือเหวินได้รับมานั้นจึงแทบจะไม่พอต่อการสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของเขาเลยด้วยซ้ำ
ในตอนนี้ เขาก็ถูกบังคับให้ขายทรัพย์สินของบรรพบุรุษของเขาออกไปเพื่อความอยู่รอด
สำหรับงานสอน?
ใครจะโง่ปล่อยให้ลูกๆ ของพวกเขาไปเรียนกับผู้ชายที่ไม่ผ่านการสอบบัณฑิตกัน? นั่นจะไม่เป็นหายนะสำหรับพวกเขาหรอ?
หากลูกๆ ของพวกเขาเรียนรู้จากซุนซือเหวิน ไม่เพียงแต่พวกเขาอาจจะเรียนรู้ได้ไม่ดีเท่านั้น แต่พวกเขายังอาจได้รับผลกระทบติดเชื้อโง่และความโชคร้ายมาจากเขาอีกด้วย
ใช่แล้ว ในสายตาของพ่อแม่บางคน บางครั้งการศึกษาก็ดูเป็นเรื่องลึกลับซึ่งต้องอาศัยโชค
โดยสรุปแล้ว เนื่องจากข้อเสียหลายประการ บัณฑิตซุนซือเหวินจึงมีชีวิตที่น่าสังเวช อดอยากปากแห้งและอัตคัด
อย่างไรก็ตาม นี่ก็ยังหมายความว่าเขามีแนวโน้มที่จะเรียกเก็บค่าการสอนต่ำที่สุดด้วยเช่นกัน
ซึ่งแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว ลู่หยวนก็ไม่ได้มุ่งมั่นอยากจะเป็นบัณฑิตมากขนาดนั้น เขาเพียงแค่อยากจะอ่านออกเขียนได้ก็เท่านั้น
ส่วนความรู้อื่นๆ…
ในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาต้องผ่านการเรียนหนักมากว่าทศวรรษ ตั้งแต่โรงเรียนประถมจนถึงมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้เขาจึงพอแล้ว ตอนนี้เขาไม่ต้องการจะเรียนอย่างอื่นนอกจากการอ่านการเขียนเพิ่มอีกแล้ว
และด้วยเหตุนี้เอง บัณฑิตตกอับจึงเป็นอาจารย์ชั้นยอดสำหรับเขา ณ ปัจจุบัน
“ไม่มีอะไรจะดีไปกว่า 'ของถูก' แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในโลกไหน มันก็ล้วนน่าดึงดูดใจกันทั้งนั้น”
ขณะที่ลู่หยวนกำลังครุ่นคิด เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นหลังประตู จากนั้นก็ตามด้วยเสียงเปิดประตูดังเอี๊ยด ชายในวัยยี่สิบเปิดประตูออกมา
ชายคนนี้สวมชุดสีเขียวคล้ายบัณฑิต แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดูซีดจางจากการซักและมีรอยปะนั่นนี่ซึ่งทำให้เขาดูจนเล็กน้อย
' นี่จะต้องเป็นซุนซือเหวินแน่ๆ' ลู่หยวนเดา
ซุนซือเหวินมองคนแปลกหน้าตรงหน้าด้วยความสับสน เขาจำไม่ได้มาก่อนว่าเคยพบอีกฝ่ายที่ไหน ดังนั้นเขาจึงถามว่า “ข้าขอทราบได้ไหมว่าท่านเป็นใคร?”
“ข้าชื่อลู่หยวน ข้าเพิ่งย้ายเข้ามาในเมืองนี้เมื่อวาน”
ลู่หยวนโค้งคำนับเล็กน้อยแล้วแนะนำตัวเอง จากนั้นจึงเข้าสู่หัวข้อหลัก “ข้าได้ยินมาว่าท่านซุนมีความรู้ลึกล้ำและเป็นคนที่เรียนเก่งที่สุดในเมือง ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อขอเรียนรู้จากท่าน”
เมื่อพูดเช่นนั้น เขาก็มอบกล่องของขวัญที่เขาเตรียมมาให้กับอีกฝ่าย
ในโลกนี้ นอกเหนือจากการจ่ายค่าเล่าเรียนแล้ว เรายังต้องมอบผลไม้และเนื้อแปรรูปให้กับอาจารย์เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ด้วย
ว่ากันว่าประเพณีนี้มีต้นกำเนิดมาจากครูผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง
เดิมที เมื่อปราชญ์สอนศิษย์ของเขา เขาจะไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ที่ไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนได้ ดังนั้นศิษย์เหล่านั้นซึ่งมีฐานะยากจนจึงมักจะนำผลไม้ดองและเนื้อแปรรูปที่พวกเขาทำเองขึ้นมาไปถวายแก่อาจารย์ของตนเพื่อเป็นค่าเล่าเรียน
และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ธรรมเนียมการปฏิบัตินี้ก็ค่อยๆ กลายมาเป็นประเพณี และตอนนี้มันก็ได้พัฒนาจนกลายมาเป็นพิธีการ
“เรียนรู้จากข้าหรอ?”
เมื่อมองไปที่กล่องของขวัญตรงหน้าเขา จากนั้นก็มองไปที่ลู่หยวนผู้กำลังแสดงความคารพ หัวใจของซุนซือเหวินก็เต้นระรัว
มีคนกำลังขอเรียนจากเขา?
เขาจะสามารถเป็นครูสอนคนได้อย่างงั้นหรอ?
ความเหลือเชื่อปรากฎท่วมท้นจิตใจของซุนซือเหวิน มันทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้าง...