บทที่ 15 : ใครอยากจะอยู่ก็อยู่ แต่ฉันไม่อยู่แล้ว!
บทที่ 15 : ใครอยากจะอยู่ก็อยู่ แต่ฉันไม่อยู่แล้ว!
เปรี้ยง! บู้มม!
เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วภูเขา จากนั้นก็ตามมาด้วยห่าฝนที่ตกหนัก
ฝนในฤดูหนาวปนกับหิมะอันหนาวเหน็บได้ตกลงมาปกคลุมภูเขาอย่างไร้ความปราณี
พืชสั่นไหว สัตว์สั่นเทา
สิ่งมีชีวิตทั้งปวงบนภูเขาต่างสั่นสะท้านเพราะสภาพอากาศอันเลวร้าย
ภายในถ้ำที่ปิดสนิท ลู่หยวนกำลังนั่งอยู่หน้ากองไฟโดยย่างเนื้อกระต่ายที่เหลือจากเมื่อวานในขณะที่อ่านหนังสือที่เขาเพิ่งได้มาในวันนี้
“หน้าต่างๆ มีแผนภาพร่างกายมนุษย์พร้อมข้อความเขียนอยู่ข้างๆ ซึ่งมันก็ดูเหมือนกับคำอธิบายประกอบ มันมีเส้นลากอยู่ภายในแผนภาพร่างกายซึ่งสอดคล้องกับจุดฝังเข็มต่างๆ”
ลู่หยวนพลิกดูหนังสือทีละหน้าและตัดสินหลังจากอ่านเนื้อหาภายในเสร็จ “นี่อาจเป็นคัมภีร์วรยุทธ์!”
แม้ว่าเขาจะคาดเดาได้แล้วว่าหนังสือเล่มนี้คืออะไร แต่เขาก็ยังมิอาจมั่นใจได้
เหตุผลนั้นง่ายมาก
“ฉันยังอ่านหนังสือไม่ออก...”
ด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นบนใบหน้า ลู่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
ภาษาของโลกนี้คล้ายกับตัวอักษรจีนในชีวิตก่อนของเขา แต่ความหมายและการออกเสียงของพวกมันแต่ละคำก็แตกต่างกันออกไป
เมื่อเผชิญหน้ากับภาษาที่เขาไม่คุ้นเคยเช่นนี้ ลู่หยวนก็ทำอะไรไม่ถูก
ต้องขอบคุณชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา การดูละครโทรทัศน์และอ่านนิยายเกี่ยวกับวรยุทธ์ มันจึทำให้เขาเข้าใจพื้นฐานการฝึกวรยุทธ์บางส่วน
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงรู้ดีว่าการฝึกวรยุทธ์ไม่ใช่เรื่องง่าย และในบางแง่ มันก็อาจยากกว่าการเรียนวิชาการด้วยซ้ำ
เพราะสำหรับนักวิชาการแล้ว คุณก็เพียงแค่ต้องมีความรู้และมีความเข้าใจในมันให้ได้ก็เท่านั้น
แต่สำหรับการฝึกวรยุทธ์นั้นก็แตกต่างออกไป
การฝึกวรยุทธ์ต้องใช้ร่างกายที่แข็งแกร่งและต้องใช้การฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมันก็เป็นงานที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว หากคุณต้องการจะเรียนรู้วรยุทธ์ คุณก็ยังต้องมีความรู้อีกด้วย สิ่งนี้เห็นได้ชัดจากภาพประกอบและข้อความที่เขียนอยู่บนหนังสือ
ด้วยเหตุนี้เอง การรู้หนังสือจึงเป็นอุปสรรคแรกที่ผู้ฝึกยุทธ์จำเป็นจะต้องเอาชนะให้ได้
แต่แค่นั้นเพียงอย่างเดียวก็ยังไม่เพียงพอ
ในระหว่างการฝึกวรยุทธ์ เพื่อช่วยฝึกฝนและบำรุงร่างกาย มันยังจำเป็นต้องใช้สมุนไพรบางชนิด เพราะท้ายที่สุดแล้ว การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องก็ย่อมนำมาซึ่งอาการบาดเจ็บไม่มากก็น้อย
ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการฝึกฝนหรือการรักษา ผู้ฝึกยุทธ์จึงจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับความรู้ทางการแพทย์
และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงเรื่องพื้นฐานเท่านั้น
ตามตรรกะของการฝึกวรยุทธ์ เมื่อวรยุทธ์พัฒนาไปจนถึงขั้นที่ลึกซึ้งแล้ว มันก็จะมีเรื่องของสถาพจิตใจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ด้วยเหตุนี้เอง เพื่อที่จะทะลวงผ่านขอบเขตและก้าวหน้า ผู้ฝึกยุทธ์จึงจำเป็นจะต้องมองหาการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณด้วย
เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างแท้จริงจึงมักจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอภิปรัชญา ผู้แตกฉานในลัทธิขงจื๊อ พุทธศาสนาและลัทธิเต๋า และถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์ผู้รู้แจ้ง
“แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าตรรกะการฝึกวรยุทธ์จากในนิยายจะสามารถนำมาใช้กับสถานการณ์ในปัจจุบันได้ไหม แต่หากฉันต้องการจะเรียนรู้คัมภีร์วรยุทธ์ที่ฉันได้มาจากหม่าจื่อชิง สิ่งแรกที่ฉันจะต้องทำให้ได้เลยก็คือการอ่านหนังสือให้ออก...”
ภายใต้แสงสว่างจากกองไฟ ลู่หยวนจ้องมองหนังสือในมือของเขาและจมปลักอยู่กับความคิด
แม้ว่าความจริงที่เขาอ่านหนังสือไม่ออกจะโหดร้าย แต่กระนั้นเขาก็ยังแอบตั้งปณิธานที่จะหาโอกาสเรียนรู้การอ่านการเขียนในสักวันหนึ่ง
ถึงอย่างนั้น เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านการเงิน มันจึงกลายมาเป็นเพียงแผนระยะยาวเท่านั้น โดยต้องรอเงื่อนไขที่เหมาะสมในการดำเนินการ
อย่างไรก็ดี ตอนนี้เขาก็มีคัมภีร์วรยุทธ์แล้ว ดังนั้นแผนเดิมจึงได้รับการเปลี่ยนแปลง
“ในฐานะคนธรรมดา แม้ว่าฉันจะฝึกยิงธนูและฝึกฟันดาบจนถึงขั้นเชี่ยวชาญแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่สามารถเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ตัวจริงได้อยู่ดี”
“และแม้ว่าอายุขัยของฉันจะไม่มีที่สิ้นสุด แต่ฉันก็ยังสามารถตายได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังภายนอกที่ร้ายแรง”
“แต่ตอนนี้ฉันก็มีคัมภีร์วรยุทธ์แล้ว มันเป็นโอกาสที่ดีที่จะชดเชยความแข็งแกร่งของฉันที่ขาดไป และเมื่อฉันเชี่ยวชาญคัมภีร์ลับนี้แล้ว บางทีชีวิตของฉันก็อาจจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้!”
ลู่หยวนอยู่บนภูเขามาครึ่งปีแล้ว และมันก็ไม่ใช่เพราะเขารักชีวิตแบบชนบท แต่เป็นเพราะเขาไม่มีทางเลือก
โลกภายนอกนั้นอันตรายเกินไป
ไม่เพียงแต่จะมีแก๊งหมาป่าทมิฬเท่านั้น แต่มันยังมีแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐจอมละโมภและผู้ฝึกยุทธ์ตกอับคิดสั้นแบบหม่าจื่อชิงด้วย
ลำพังแค่หนึ่งในสามสิ่งนี้ก็เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของเขามากแล้ว และไม่ต้องพูดถึงการพบเจอทั้งสามในคราวเดียวกันเลย
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามเหล่านี้ แม้ว่าลู่หยวนจะรู้ว่าความน่าจะเป็นที่เขาจะกลายมาเป็นศัตรูกับคนเหล่านี้จะมีต่ำมาก แต่เขาก็ยังคงต้องระมัดระวังเอาไว้ให้ดี
ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าเสมอ!
เขามีชีวิตเป็นนิรันดร์และยังมีความหวังอันใหญ่รอเขาอยู่ข้างหน้า ฉะนั้นแล้วเขาจึงไม่สามารถยอมเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอันตรายได้ แม้จะแค่เพียงเล็กน้อยก็ตาม
“ในตอนนี้ แม้แต่บนภูเขาก็ยังไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว”
ลู่หยวนเพิ่มท่อนไม้ลงในกองไฟและเริ่มไตร่ตรองสถานการณ์ในปัจจุบันของเขา “แม้ว่าฉันจะกำจัดศพของหม่าจื่อชิงไปได้แล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าแก๊งหมาป่าทมิฬจะตรวจค้นภูเขาลูกนี้ไปอีกนานแค่ไหน?”
“หากพวกมันออกค้นหาอย่างละเอียดและบังเอิญพบที่นี่เข้าฉันจะทำยังไง?”
แม้ว่าการอาศัยอยู่ในถ้ำอันแสนห่างไกลนี้จะถูกซ่อนไว้อย่างดิบดี แต่เขาก็อยู่ที่นี่มาได้ระยะหนึ่งแล้ว และร่องรอยชีวิตของเขาจึงได้ถูกสลักไว้เบื้องหลังแล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง หากแก๊งหมาป่าทมิฬจ้างนายพรานที่คุ้นเคยกับภูเขาลูกนี้มาทำหน้าที่เป็นผู้นำทางให้ แม้แต่ถ้ำที่ถูกซ่อนไว้ของเขาก็ยังอาจถูกตรวจพบได้อยู่ดี
และเมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะถูกพวกมันค้นพบด้วยอย่างแน่นอน
“ตอนนี้ภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะตกหนัก และการล่าสัตว์ก็เป็นไปไม่ได้ มันเป็นโอกาสดีที่จะออกไปข้างนอกและมองหานักวิชาการเพื่อเรียนรู้การอ่านการเขียน” เขาคิดเกี่ยวกับมัน
ตอนนี้เขาได้รับคัมภีร์ลับมาแล้ว และมันก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องจากไปเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้
และด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงแต่มันจะช่วยให้เขาเรียนรู้การอ่านการเขียนได้เท่านั้น แต่มันจะยังช่วยให้เขาหลบเลี่ยงพายุลูกนี้ได้อีกด้วย
“นอกจากนี้ ปัญหาใหญ่สุดของฉันก็ยังได้รับการแก้ไขแล้วด้วยเช่นกัน”
ลู่หยวนหยิบถุงเงินใบใหญ่ออกมาจากหน้าอกของเขา เขาโยนมันลงอย่างสบายๆ และเงินที่อยู่ข้างในก็ส่งเสียงดังกริ๊กๆ ออกมาในขณะที่พวกมันชนกัน
นี่คือสินสงคราม.. สินน้ำใจที่เขาได้รับมาจากหม่าจื่อชิง
เขาได้ตรวจสอบมันก่อนหน้านี้แล้ว และพบว่ามันมีเงินจำนวนมากอยู่ข้างใน และจากการประมาณ มันก็มีมากถึงสามสิบตำลึง
ด้วยเงินจำนวนนี้บวกกับเงินที่เขามีตั้งแต่แรก ตอนนี้เขาก็มีเงินมากกว่าสี่สิบตำลึงแล้ว
ด้วยเงินมากมายเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงการเรียนเลย มันเพียงพอที่จะใช้ซื้อบ้านในมณฑลต้าหยูด้วยซ้ำ!
แล้วการพกเงินที่มากพอจะซื้อบ้านได้มันให้ความรู้สึกยังไง?
คำตอบคือ สดชื่น! มันรู้สึกดีมาก!
เมื่อมองไปรอบๆ ถ้ำที่มืดมนและอับชื้น ครั้งหนึ่งเขาก็เคยรู้สึกว่าทุกอย่างสามารถยอมรับได้ในตอนที่เขายังยากจน
แต่ตอนนี้เมื่อเขามีเงินแล้ว ลู่หยวนก็รู้สึกรำคาญพวกมันขึ้นมาโดยทันที เขาเริ่มรู้สึกทนไม่ได้ด้วยซ้ำที่จะต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีกครู่หนึ่ง
ดังนั้นแล้ว…
วันต่อมา ฟ้าร้องและห่าฝนข้างนอกได้เริ่มหยุดลงเล็กน้อยแล้ว
ด้วยโอกาสที่หายากเช่นนี้ ลู่หยวนจึงมัดประตูไม้ของถ้ำของเขาเอาไว้แน่นและปิดผนึกมันด้วยเถาวัลย์อย่างระมัดระวัง
ในที่สุด หลังจากมองดูบ้านที่เขาเคยอาศัยอยู่มาครึ่งปีเป็นครั้งสุดท้าย เขาก็หันกลับไปและเดินลงไปตามทางโดยไม่ลังเล
คราวนี้ นายน้อยลู่กำลังออกเดินทางเพื่อไปเรียนรู้ความรู้ใหม่ๆ แล้ว!
ส่วนถ้ำซอมซ่อนี้..
ใครอยากจะอยู่ก็อยู่ แต่เขาไม่อยู่แล้ว!