บทที่ 34 ถึงหลิงหยวน
“ว้าว…ข้างนอกมีของสีดำบินอยู่เต็มไปหมดเลย นั่นมันอะไรกัน”
ซือซินซุ่ย ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปที่ข้างเรือ โน้มตัวออกไปมองทิวทัศน์ด้านนอก รู้สึกเหลือเชื่อ
ยิ่งใกล้หลิงหยวนมากเท่าไหร่ ทิวทัศน์ก็ยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้นเท่านั้น
เช่นเดียวกับเกราะป้องกันของเรือรบที่มีสิ่งแปลกประหลาดสีดำคล้ายกระแสลมบินว่อนไปมาอยู่ด้านนอก และยังสามารถได้ยินเสียงกรีดร้องราวกับผีสางร้องไห้
ด้วยวัยที่ยังน้อยและประสบการณ์ที่ตื้นเขินของเธอ เมื่อได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมายก็ล้วนรู้สึกแปลกใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาได้ยากยิ่ง
“สายลมสีดำที่เป็นของแข็งเหล่านี้เป็นสายลมที่พัดออกมาจากหลิงหยวนอันตรายมาก และยังเป็นเหตุผลที่ขั้นต่ำสุดในการล่าสมบัติที่หลิงหยวนต้องเป็นระดับมังกรแห่งกฎ ถ้าหากไม่มีการป้องกันใด ๆ เลย โดนสายลมสีดำพวกนั้นพัดเข้าไปหน่อย เบาที่สุดก็ถลอกปอกเปิก หนักที่สุดก็ตายคาที่”
หลินจิ่งเหวิน ที่กำลังหลับตาทำสมาธิ คาดการณ์ล่วงหน้า วางแผนการต่อสู้และสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ เมื่อได้ยินเสียงก็ลืมตาขึ้นมองแล้วอธิบายให้เธอฟัง
“พี่สาวรอง บนพื้นมีวงกลมส่องแสงเต็มไปหมด นั่นมันอะไร”
เมื่อได้รู้ว่าสายลมแห่งหุบเหวอันตรายขนาดนี้ ซือซินซุ่ย ก็โน้มตัวออกไปมองอย่างระมัดระวัง มีความสงสัยมากมาย
“น้องสาวคนเล็ก นั่นไม่ใช่วงกลมส่องแสง แต่เป็นเกราะป้องกัน เป็นภาพที่เกิดจากการที่นักพรตกระจายเครื่องมือป้องกันร่างกาย”
หลินจิ่งเหวิน รู้สึกลังเลใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้ ลุกขึ้นยืน เดินไปข้าง ๆ เธอแล้วมองลงไป จึงยืนยันสถานการณ์แล้วอธิบาย
“ก็คือด้านในเกราะป้องกันมีแต่คนงั้นหรอ”
ซือซินซุ่ย หมอบลงที่ข้างเรือ ดวงตาที่กลมโตเบิกกว้างจ้องมองวงกลมส่องแสงบนพื้น
“ถูกต้อง”
“งั้นพวกเขาเดินต้านสายลมแห่งหุบเหว ไม่เป็นอันตรายหรอ”
“เมื่อใช้เกราะป้องกันแล้ว แน่นอนว่าอันตราย พวกเขาต้องทำอย่างดี หากเกราะป้องกันสูญเสียการค้ำจุนจากผลึกวิญญาณหรือสมบัติวิเศษแล้วล่ะก็ จะถูกเปิดเผยต่อสายลมแห่งหุบเหว และตายแน่ ๆ”
“อันตรายขนาดนี้…แล้วทำไมพวกเขายังต้องมาอีก”
ซือซินซุ่ย รู้สึกตะลึง งุนงงไม่เข้าใจ
“คนตายเพราะเงิน นกตายเพราะอาหาร พวกเขายอมเสี่ยงมาเป็นเรื่องธรรมดา เพื่อล่าสมบัติ มูลค่าของผลึกวิญญาณนั้นสูงมาก ผลึกวิญญาณระดับมังกรแห่งกฎอย่างน้อยก็มีมูลค่าสองหมื่นผลึกวิญญาณชั้นเลิศ ระดับราชันแห่งแผ่นดินคือสองแสน และผลึกวิญญาณนักบุญรกร้างหาซื้อไม่ได้”
หลินจิ่งเหวิน มองลงไปที่พื้น มองไปที่นักพรตที่กำลังเดินอย่างยากลำบาก ดวงตาของเธอซับซ้อนมาก มีความรู้สึกมากมายในใจ
“ว้าว ราคาสูงขนาดนั้นเลยหรอ”
ซือซินซุ่ย รู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินราคาที่สูงลิ่วนี้
จากนั้นเธอก็ละลงมา มือทั้งสองข้างของเธอก็อดไม่ได้ที่จะขยับ
ครอบครัวของเธอได้เงินเพียงหกผลึกวิญญาณชั้นเลิศต่อปี… ผลึกวิญญาณระดับมังกรแห่งกฎหนึ่งก้อนก็สามารถเทียบได้กับรายได้หลายพันปีของครอบครัวเธอ!
“สำหรับบุตรแห่งสวรรค์ ผลึกวิญญาณเป็นของวิเศษที่เสริมพลัง เหมือนเสือติดปีก ราคาจึงสูง”
“อึก…”
เมื่อรู้สึกตัว ซือซินซุ่ย ก็กลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของเธอเป็นประกาย
หากเธอสามารถได้ผลึกวิญญาณระดับมังกรแห่งกฎมาหนึ่งก้อน เธอก็จะมีความสามารถในการชดใช้ค่าอาหารวิญญาณที่พี่ชายคนโตให้เธอได้!
หากเธอสามารถได้ผลึกวิญญาณระดับมังกรแห่งกฎมาหนึ่งก้อน แล้วส่งกลับบ้าน พ่อแม่ก็ไม่ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวแล้ว!
‘ไม่คิดเลยว่าเด็กคนนี้จะเป็นคนงก… ถ้าหากเธอรู้ว่าผลึกวิญญาณระดับอธิปไตยนั้นเป็นของวิเศษที่หายากจริง ๆ จะสามารถกระตุ้นให้เธอพยายามฝึกฝนได้หรือไม่’
เมื่อเห็นปฏิกริยาที่รุนแรงของเธอ เย่ยู่ ที่ยืนอยู่หัวเรือคอยดูแลเรือรบหลิวเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหันมามอง
โชคดีที่จำนวนหลิงหยวนในทวีปเทียนซวนไม่น้อย ไม่เช่นนั้น สงครามโลกจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนจากการแย่งชิงหลิงหยวน
เมื่อเปรียบเทียบกับการที่น้องสาวคนที่สองได้เห็นภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรก เย่ยู่ ได้เห็นสถานการณ์ที่คนตายเพราะเงินมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งแล้ว จึงไม่ประหลาดใจ แต่เพียงแค่คิดในใจเท่านั้น
ครั้งหนึ่งเขาเคยสงสัยว่าหลิงหยวนจะเป็นสาเหตุของวันแห่งหายนะของเทียนซวนหรือไม่
เพราะหลิงหยวนแปลกมาก ปรากฏขึ้นทั่วทั้งทวีปอย่างกะทันหันเมื่อแปดพันปีก่อน มีทั้งหมดสิบแปดแห่ง ราวกับภัยพิบัติจากสวรรค์ ทำให้ผู้คนในทวีปเทียนซวนล้มตายนับไม่ถ้วน
มีการกล่าวกันว่าในวันที่หลิงหยวนมาถึงนั้น มีผู้คนเสียชีวิตเกือบหนึ่งแสนล้านคนทั่วทั้งทวีป กลายเป็นเถ้าถ่าน ถูกสายลมแห่งหุบเหวพัดจนไม่เหลือซาก
และจุดที่หลิงหยวนปรากฏขึ้นนั้นใกล้เคียงกับจุดที่เกิดความวุ่นวายของเหล่าผู้หยิ่งยโสมาก อาจเป็นไปได้ว่าสิ่งสุดโต่งจะต้องเสื่อมถอย นี่เป็นลางร้าย
แต่เมื่อสิบปีก่อน เมื่อเขาเข้าไปในหลิงหยวนด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป
เพราะสิ่งมีชีวิตในหลิงหยวนนั้น เมื่อเทียบกับนักพรตทั่วไปแล้ว ในระดับเดียวกันอาจจะแข็งแกร่ง แต่สำหรับลูกหลานของตระกูลใหญ่ที่มีวิธีการฝึกฝนขั้นสูงต่าง ๆ นั้น กลับอ่อนแอมาก
ยิ่งไปกว่านั้น จักรพรรดิในหลิงหยวนก็ถูกเผ่าพันธุ์มนุษย์นำทีมสังหารไปนานแล้ว เมื่อรวมกับการกวาดล้างทุก ๆ ห้าปีแล้ว ก็ไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามใด ๆ เลย
หลิงหยวนสิบแปดแห่งนี้ถูกยึดครองโดยเผ่าพันธุ์ทั้งสิบ เผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งอยู่ในอันดับที่เก้า ได้รับหนึ่งแห่ง
เผ่าพันธุ์มังกรแท้ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์อันดับหนึ่งครองห้าแห่ง ไม่ยุติธรรมเลย
“พี่สาวคนโต ผลึกวิญญาณระดับองค์อธิปไตยมีมูลค่าเท่าไหร่”
เมื่อได้ยินเสียงจากหัวใจนี้ ซือซินซุ่ย ก็รู้สึกตัวแล้วอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ข้าก็ไม่รู้…”
คำถามนี้เกินกว่าขอบเขตความรู้ของ หลินจิ่งเหวิน
“น้องสาวคนเล็ก พี่สาวคนที่สองของเจ้าแท้จริงแล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลย ความเข้าใจของเธอเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ในทวีปเทียนซวนนั้นมาจากการอ่านหนังสือเพียงไม่กี่เล่ม เจ้าถามเธอด้วยคำถามระดับสูงเช่นนี้ มันไม่ใช่การทำให้เธอลำบากใจหรอ ให้ข้าบอกเจ้าดีกว่า ผลึกวิญญาณระดับองค์อธิปไตยหนึ่งก้อนสามารถแลกกับเครื่องมือวิญญาณระดับเก้าที่เกิดภายหลังได้หนึ่งชิ้น”
ในเวลานี้ ซือมอ ที่กำลังพักฟื้นอยู่ก็ลืมตาขึ้น ยิ้มเยาะแล้วลุกขึ้นยืน พูดจาโผงผาง
“เครื่องมือวิญญาณระดับเก้าที่เกิดภายหลัง”
เมื่อ ซือซินซุ่ย ได้ยินคำพูดนี้ เธอก็เริ่มไตร่ตรอง
ระดับเก้า น่าจะเป็นสมบัติที่เทียบเท่ากับระดับองค์อธิปไตยใช่ไหม?
แต่ผลึกวิญญาณระดับองค์อธิปไตยก็เป็นสมบัติระดับองค์อธิปไตยเช่นกัน… พูดไปแล้วก็ไม่มีอะไรต่างกันเลย?
“ถูกต้อง”
ซือมอ เห็นว่าเธอเหมือนจะเข้าใจถึงคุณค่าของผลึกวิญญาณระดับองค์อธิปไตยแล้ว จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“พี่ชายคนที่สาม เครื่องมือวิญญาณระดับเก้าที่เกิดภายหลังมีมูลค่าเท่าไหร่”
หลังจากที่ ซือซินซุ่ย คิดแล้ว เห็นว่าเขารู้ดี จึงอดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง
“นี่…”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซือมอ ก็พูดไม่ออก
สมบัติล้ำค่าหายากที่จะตีค่าเป็นผลึกวิญญาณได้ เครื่องมือวิญญาณระดับเก้าที่เกิดภายหลังก็เช่นเดียวกัน ผลึกวิญญาณระดับองค์อธิปไตยก็เช่นเดียวกัน จึงแลกเปลี่ยนกันได้เท่านั้น
อันที่จริงเขายังสามารถตอบได้ แต่เขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี นั่นก็คือไม่ว่าเขาจะพูดถึงสมบัติอะไร น้องสาวคนเล็กอาจจะไม่รู้ ซึ่งจะเป็นการถามตอบที่ไม่มีวันจบสิ้น
“ฮ่า ๆ… เจ้าไม่รู้หรอ”
เมื่อเห็นว่าเขาถูกคำถามทำให้พูดไม่ออก หลินจิ่งเหวิน ที่โกรธมากเมื่อตอนแรกก็หัวเราะเยาะเย้ย
ซือมอ ตระหนักว่าตัวเองรับภาระที่ยุ่งยากมา จึงหันซ้ายหันขวาแล้วหันสายตาไปที่เฟิงปู้ผิงที่อยู่ข้าง ๆ เพื่อโยนความผิดให้คนอื่น
ส่วนการโยนปัญหาให้พี่ชายคนโตนั้นเป็นไปไม่ได้
“ผู้อาวุเซียนหมิงเยว่ มีอะไรผิดปกติหรือไม่”
เฟิงปู้ผิงไม่สนใจคำขอความช่วยเหลือนี้ แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เดินไปที่ข้าง ๆ เซียนหมิงเยว่ด้วยมือสอดแขนแล้วพูดคุยอย่างจริงจัง
“ไม่มี สมาคมเซียนและพันธมิตรจักรพรรดิใต้มาถึงแล้ว เราใกล้จะถึงแล้ว”
เซียนหมิงเยว่รู้สึกโกรธเมื่อเห็นคนนี้ จึงเหลือบมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา
“เฮ้… เมื่อวานข้าพูดไปตามปาก อย่าถือสาเลยนะ”
เมื่อเห็นสายตาที่ไม่พอใจของเธอ เฟิงปู้ผิงก็ลูบเคราแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสเซียนหมิงเยว่ ยังคงจดจำความแค้นที่เขาบอกว่าเธออายุมากกว่าคุณยายของลูกศิษย์
สำหรับการขอโทษนี้ เซียนหมิงเยว่จ้องมองเขาด้วยสายตาที่ไม่พอใจแล้วส่งเสียงฮึเบา ๆ ถือว่าพอใจ
จากนั้นเธอก็ควบคุมเรือบินหลิวเทียนให้เร่งความเร็ว เพื่อไม่ให้ตามหลังกลุ่มอื่น ๆ มากเกินไป
“น้องสาวคนเล็ก เร็วดูสิ เราถึงหลิงหยวนแล้ว”
เมื่อได้ยินบทสนทนานนี้ ซือมอ ก็พบวิธีแก้ไขแล้ว จึงพูดขึ้นทันที