บทที่ 32: เมื่อกระบี่ถูกชัก สัตว์อสูรถูกสังหาร
บทที่ 32: เมื่อกระบี่ถูกชัก สัตว์อสูรถูกสังหาร
แม้ว่าลู่หยุนจะเดาได้อย่างคลุมเครือว่ามันมีเรื่องราวบางอย่างระหว่างต้วนชิงและเหมิงหงเฟย แต่เขาก็ไม่ได้หยิบยกมันขึ้นมาและถามอีกฝ่ายตรงๆ ได้
“ข้าสังเกตเห็นว่าออร่าของพี่ใหญ่ดูค่อนข้างแข็งแกร่ง ท่านคงจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตปราณแท้แล้วใช่ไหม?”
“แม้ว่าข้าจะก้าวไปสู่ขอบเขตปราณแท้แล้ว แต่เมื่อข้าเข้าสู่ชั้นที่ 10 ข้าก็ยังหายใจได้เพียงไม่กี่เฮือกเท่านั้นก่อนจะถูกส่งกลับออกมา” ต้วนชิงพูดด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว
ลู่หยุนอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองต้วนชิงอีกครั้ง เขาเพิ่งคิดจะลองทดสอบอีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเขาคาดเดาได้อย่างถูกต้อง ชายหนุ่มร่างอวบที่อยู่ตรงหน้าเขาอยู่ที่ขอบเขตปราณแท้แล้ว!
“แม้ว่าสัตว์อสูรภายในหอคอยหมื่นปรากฏการณ์จะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยหอคอย แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากของจริงมากนัก และพวกมันก็มีกันมากกว่าหนึ่งตัว”
“โอ้?” ลู่หยุนถามด้วยความสงสัย “มันไม่ใช่การต่อสู้แบบตัวต่อตัวหรอ?”
“ฮ่าฮ่า ถ้าเป็นแบบตัวต่อตัว ข้าก็คงจะผ่านชั้นที่ 10 ไปได้ตั้งนานแล้ว”
“จำนวนสัตว์อสูรในแต่ละชั้นนั้นไม่แน่นอน มันอาจมีได้ตั้งแต่หนึ่งถึงร้อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน นั่นคือยิ่งชั้นสูงขึ้นเท่าไร มันก็จะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น และความยากลำบากในการพิชิตแต่ละชั้นก็จะเพิ่มสูงกว่าครั้งก่อนๆ มาก”
หลังจากอธิบายแล้ว ต้วนชิงก็กล่าวต่อว่า “ทุกปี ศิษย์ใหม่จะเข้าสู่สถาบันศึกษาวรยุทธ์ซึ่งทำให้เกิดพายุลูกใหญ่ คนรุ่นเดียวกันกับเจ้าได้เริ่มเข้าไปในหอคอยหมื่นปรากฎการณ์กันแล้ว และพวกเขาก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนค่อนข้างมาก”
“ผู้ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่พวกเขาคือหม่าหยุนเฟย, เสี่ยวเฉินและไป๋ห่าวซวน”
เมื่อได้ยินชื่อเหล่านี้ ดวงตาของลู่หยุนก็หดแคบลงเล็กน้อย
เสี่ยวเฉินและหม่าหยุนเฟยต่างก็มีพรสวรรค์โดยกำเนิดระดับ 5 ดาวขั้นสูง ในขณะที่ไป่ห่าวซวนมีพรสวรรค์โดยกำเนิดระดับ 6 ดาว นั่นจึงทำให้พวกเขากลายเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในรุ่นของพวกเขา
แม้ว่าลู่หยุนจะไม่ได้สนโลกมากเท่าไรนัก แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะอยากรู้เกี่ยวกับความสำเร็จของพวกเขา
เมื่อเห็นการแสดงออกของลู่หยุน ต้วนชิงก็ยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้วางแผนที่จะทำให้เขาสงสัย เขาพูดต่อว่า “ในบรรดาสามคน ไป่ห่าวซวนก็เป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุด เมื่อสิบวันก่อน เขาได้เข้าไปในหอคอยหมื่นปรากฏการณ์เป็นครั้งแรก และได้ตรงไปถึงชั้นที่ 7 โดยทันที เขาสามารถเอาชนะสัตว์อสูรขั้นสองได้ก่อนที่จะถูกส่งกลับออกมา”
“เสี่ยวเฉินและหม่าหยุนเฟยตามหลังเขามาเพียงเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ยังสามารถมาถึงชั้นที่ 6 ได้อยู่เช่นกัน เขาเอาชนะสัตว์อสูรขั้นสองไปได้เก้าและเจ็ดตัวตามลำดับ”
“สถิตินี้แซงหน้าศิษย์ชั้นสูงรุ่นก่อนๆ หลายคนไปไกลเลย และมันก็ทำให้เกิดความแตกตื่นครั้งใหญ่ด้วย”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของลู่หยุนก็สั่นไหว
ครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ เสี่ยวเฉินก็อยู่ในขอบเขตเส้นลมปราณขั้นต้นเท่านั้น และหลังจากเข้าสู่สถาบันศึกษาวรยุทธ์และได้รับรางวัลมาแล้ว เขาก็น่าจะสามารถฝึกฝนไปจนถึงขอบเขตเส้นลมปราณขั้นกลางได้เป็นอย่างมากที่สุด แต่กระนั้น เขาก็ยังสามารถไปถึงชั้นที่ 6 ของหอคอยหมื่นปรากฏการณ์ได้
ในตอนนี้ ลู่หยุนเองก็อยู่ในขอบเขตเส้นลมปราณขั้นกลางแล้ว นอกจากนี้ เขายังได้ฝึกวิชาออร่าหยางพิสุทธ์จนมาถึงขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อยแล้วด้วย แบบนี้แล้วเขาจะพิชิตหอคอยได้กี่ชั้นกัน?
ต้วนชิงมองลู่หยุนด้วยรอยยิ้มขี้เล่น “ตอนนั้นข้าเองก็รู้สึกเหมือนกันกับเจ้า แต่ตอนนี้พวกเขาก็กลายเป็นศิษย์ตำหนักดาราแล้ว ในขณะที่ข้ายังคงอยู่ในระดับศิษย์ชั้นสูง”
“พี่ชาย ท่านได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตปราณแท้แล้ว ดังนั้นข้าว่ามันคงเป็นเรื่องของเวลาก่อนที่ท่านจะพิชิตชั้นที่ 10 ได้”
ลู่หยุนกล่าวชมเชยอีกฝ่ายก่อนจะหันไปมองหอคอยหมื่นปรากฎการณ์ ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปจากเคร่งขรึมเป็นตื่นเต้น
“สำหรับข้าแล้ว สิ่งที่น่าสนใจก็คือความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรในชั้นที่ 6 และ 7 ข้าจะสามารถจัดการกับพวกมันได้ไหมนะ?”
ด้วยเหตุนี้เอง ลู่หยุนจึงหายตัวไปอย่างรวดเร็วและเข้าไปภายในหอคอยภายใต้การจ้องมองที่ประหลาดใจของต้วนชิง
เสียงการเคลื่อนไหวของลู่หยุนดังขึ้น มันทำให้หลายคนรอบๆ สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเขา
“ฮ่าฮ่า เจ้าเด็กคนนี้มันใจกล้าจริงๆ เขาคิดว่าเขาจะผ่านชั้นที่ 6 และ 7 ได้ตั้งแต่ครั้งแรกเลยอย่างงั้นหรอ? นี่เขาคิดว่าเขาเป็นใครกัน?”
“มันเป็นเรื่องปกติแหละ คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในสถาบันศึกษาวรยุทธ์เป็นครั้งแรกนั้นต่างก็ล้วนคิดว่าพวกเขาคือคนที่สวรรค์ภาคภูมิใจ แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปในหอคอยจริงๆ แล้วและได้สัมผัสกับความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามของสัตว์อสูรด้วยตัวเอง พวกเขาก็จะยอมรับความจริงอันโหดร้ายและค่อยๆ ยอมรับความธรรมดาสามัญของพวกเขาเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดเยาะเย้ยเหล่านี้ ต้วนชิงก็พูดตอบกลับอย่างไม่แยแสว่า “น้องลู่คนนี้เป็นผู้มีพรสวรรค์โดยกำเนิดระดับ 5 ดาว แม้ว่าคราวนี้เขาจะยังผ่านชั้นที่ 6 ไม่ได้ แต่ครั้งหน้าเขาก็จะผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน!”
หลังจากได้ยินคำพูดของต้วนชิง ผู้ที่เคยเยาะเย้ยลู่หยุนก็ตกตะลึงและสูญเสียคำพูด
พวกเขาไม่กล้าที่จะปฏิเสธ
ต้วนชิงเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา เขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่โดดเด่นในรุ่นของเขา ซึ่งในปัจจุบัน เขาก็เพิ่งจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปราณแท้ได้ไม่นาน ด้วยเหตุนี้เอง เขาในตอนนี้จึงได้หลุดพ้นจากสถานะศิษย์ชั้นยอดและกลายเป็นศิษย์ตำหนักดาราแล้ว
คนบางคนรู้สึกอับอายและก้มหน้าลงโดยทันที
เห็นได้ชัดว่าผู้มีพรสวรรค์โดยกำเนิดระดับ 5 ดาวนั้นเป็นดั่งขุนนางในสถาบันศึกษาวรยุทธ์
“แทนที่จะมามัวเยาะเย้ยผู้อื่น เป็นการดีกว่าไหมที่พวกเจ้าจะเอาเวลาไปขยันฝึกฝน? คนอย่างพวกเจ้าควรมองเขาเป็นตัวอย่างและเป็นแรงจูงใจในการปรับปรุงตัวเองเพื่อพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนไล่ออกจากสถาบันศึกษาวรยุทธ์!”
ในขณะที่พูด ต้วนชิงก็จ้องมองไปที่ชื่อบนกำแพงหยกหมื่นปรากฏการณ์ ดวงตาของเขาแทบจะหรี่ลงเป็นเส้นเดียว
...
ทันทีที่เขาเข้าไปในหอคอยหมื่นปรากฏการณ์ ลู่หยุนก็รู้สึกสับสน สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และเขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่ที่แตกต่างออกไป
นี่คือดินแดนรกร้าง ท้องฟ้าอันมืดมิดปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำ มันทำให้เขามองเห็นฉากรอบตัวเขาได้เพียงไม่กี่สิบฟุตเท่านั้น
ลู่หยุนสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่านี่คือภายในหอคอยหมื่นปรากฎการณ์ และมันก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
“ร่างกายของฉันได้เข้าสู่หอคอยหมื่นปรากฎการณ์โดยสมบูรณ์แล้ว ถ้าจำไม่ผิด สัตว์อสูรก็จะปรากฏตัวขึ้นในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม หากฉันไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้ ผลลัพธ์จะเป็นยังไงกันนะ?”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลู่หยุนก็ขมวดคิ้ว
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้ว่าเขาจะล้มเหลว แต่เขาก็ยังอดที่จะกังวลไม่ได้
ท้ายที่สุดแล้ว ในหอคอยหมื่นปรากฏการณ์ มันก็มีเพียงสองผลลัพธ์ นั่นคือสัตว์อสูรตายหรือผู้ท้าชิงพินาศ!
“หอคอยหมื่นปรากฎการณ์รับประกันความปลอดภัยของเหล่าศิษย์ได้ยังไงกันนะ? หรือความลึกลับของสิ่งประดิษฐ์วิญญาณจะอยู่ไกลเกินกว่าที่ฉันจะเข้าใจมันได้?”
ในขณะนั้นเอง จู่ๆ ลู่หยุนก็มองตรงไปข้างหน้า ซึ่งมีระลอกคลื่นที่ส่องแสงปรากฏขึ้นไม่ไกล
ทันใดนั้น ร่างใหญ่พร่ามัวก็ปรากฏขึ้นในความมืด เมื่อพิจารณาจากโครงร่างของมัน มันก็มีขนาดใหญ่กว่าหมาป่าทมิฬที่เขาเคยสังหารลงบนภูเขาเมฆานิมิตก่อนหน้านี้มาก
ลู่หยุนหรี่ตาลง เขาใช้มือขวากำด้ามกระบี่เล็กน้อยโดยมุ่งความสนใจไปที่โครงร่างเงาอย่างตั้งใจ
ฟิ้ว!
เช่นเดียวกับลมกระโชกที่พัดผ่าน ร่างเงาขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว และโครงร่างและรูปลักษณ์ของมันก็ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเต็มสองตา
ขนสีขาวเงิน ดวงตาสีแดงเข้ม แขนขาที่แข็งแกร่งและโครงร่างขนาดใหญ่ นี่คืออสูรหมาป่าจันทราเงิน มันกระโจนเข้าหาลู่หยุนด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
เจตนาฆ่าอันเย็นชาและพลังอสูรอันทรงพลังทำให้มันดูเหมือนกับเป็นสัตว์อสูรของจริง มันดูไม่เหมือนกับภาพมายาเลยแม้แต่น้อย
สำหรับคนส่วนใหญ่ที่พบกับสัตว์อสูรเป็นครั้งแรก พวกเขาก็อาจจะกลัวและไม่สามารถใช้ความแข็งแกร่งได้ถึง 80%
แต่ลู่หยุนนั้นแตกต่างออกไป เขาเคยออกผจญภัยในภูเขาเมฆานิมิตมาก่อน นอกจากนี้ เขายังเคยสังหารกองโจรในระหว่างทางมาเมืองเมฆาวารีอีก
ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าเขาจะอายุยังไม่ถึง 11 ปี แต่ประสบการณ์ทั้งสองอย่างนี้ก็ได้มอบความใจกล้าและความไม่เกรงกลัวให้กับเขา
เพื่อรักษาความสงบ เขาได้ปรับลมหายใจ จากนั้นพลังปราณก็พุ่งออกมาจากจุดตันเถียนของเขาและพุ่งผ่านเส้นลมปราณของเขาด้วยความเร็วที่เร็วมาก มันรวมตัวกันบนกระบี่ยาวของเขา จากนั้นกระบี่ก็ชักออกมาและสัตว์อสูรก็ถูกสังหารลง!