บทที่ 12 : โลกภายนอกอันตรายมากเกินไป
บทที่ 12 : โลกภายนอกอันตรายมากเกินไป
ในไม่ช้า ลู่หยวนก็มาถึงประตูเมืองทางใต้
โดยปกติแล้ว คนเฝ้าประตูก็จะตรวจสอบเฉพาะผู้ที่เข้ามาเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่พบปัญหาใดๆ และสามารถเดินออกจากเมืองได้อย่างง่ายดาย
พระอาทิตย์บนฟ้ายังคงแผ่ความร้อนแผดเผา และมันก็เป็นเวลาประมาณบ่ายสองโมงแล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของวัน
ถึงอย่างนั้นลู่หยวนก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอีกต่อไป
อากาศร้อนยังดีกว่าอยู่ในเมืองและเผชิญหน้ากับปัญหามากมาย
“สมาชิกแก๊งหมาป่าทมิฬได้ถูกสังหารลงไปแล้ว และหัวหน้าของพวกมันก็จะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปแน่”
“นอกจากนี้ ด้วยการฆ่ากันตายบนท้องถนนกลางเมืองในตอนกลางวันแสกๆ แม้ว่าเจ้าเมืองจะทุจริตและไร้ความสามารถมากเพียงใด แต่เขาก็จะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปด้วยเช่นกัน”
“ด้วยเหตุนี้เอง การค้นหาตัวผู้ร้ายจึงจะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วแน่”
ลู่หยวนรัดสัมภาระบนหลังของเขาให้แน่นขึ้น และฝีเท้าของเขาก็ก้าวออกไปเร็วขึ้น
เหตุผลที่เขาไม่อยากอยู่ในเมืองต่อก็เพราะเขาต้องการจะหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้
หม่าจื่อชิงอาจมาจากสำนักไร้ชื่อ แต่วิชาดาบของเขานั้นก็เฉียบคมและไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
หากสมาชิกแก๊งหมาป่าทมิฬและเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ในระดับเดียวกับจางเปียว แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนคนมากกว่า แต่พวกเขาก็จะยังไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้อยู่ดี
เมื่อเทียบกับนักดาบผู้ยอมเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อที่จะได้บรรลุเป้าหมายแล้ว ลู่หยวนก็ไม่เชื่อว่าพวกนักเลงหัวไม้และเจ้าหน้าที่รัฐที่รักตัวกลัวตายจะกล้าไล่ตามนักดาบผู้นี้อย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆ
“พวกเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีและต้องรักษาหน้าตาของตน ดังนั้นแล้วพวกเขาจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ อย่างไรก็ตาม แล้วพวกเจ้าหน้าที่รัฐระดับล่างล่ะ? พวกเขาจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อติดตามหาตัวนักดาบผู้นี้จริงๆ หรอ?”
ลู่หยวนเคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาแล้วมากมายในชีวิตก่อน และบทสรุปตอนท้ายก็มักจะเหมือนๆ กัน นั่นคือความผิดจะถูกโยนลงไปใส่แพะรับบาป
“เฮ้อ สังคมศักดินาช่างชั่วร้าย”
ลู่หยวนถอนหายใจและมองกลับไปที่ประตูเมือง และดูเหมือนว่าการคาดเดาของเขาจะถูกต้อง
“รีบปิดประตูเมืองเร็วเข้า! ห้ามให้ใครก็ตามเข้าหรือออกจากเมือง!”
ในขณะนั้นเอง กองทหารยามและชายชุดดำกลุ่มหนึ่งก็รีบวิ่งออกมาจากเมืองและปิดประตูเมืองอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าของกองทหารตะโกนลั่น “ฆาตกรน่าจะยังอยู่ในเมือง ท่านเจ้าเมืองได้ออกคำสั่งให้จับโจรคนนี้เพื่อแสดงอำนาจของกฎหมาย!”
ในบรรดากลุ่มชายชุดดำ ชายที่ดูดุร้ายก็กล่าวเสริมว่า “หัวหน้าแก๊งกล่าวว่าใครก็ตามที่จับโจรที่สังหารจางเปียวลงได้จะได้รับรางวัลเป็นเงินหนึ่งพันตำลึง ถ้าเราไม่ฆ่ามัน แล้วเราจะเอาหน้าไปไว้ไหน?!”
ขณะที่พวกเขาพูด กองทหารยามและสมาชิกแก๊งเหล่านี้ก็ร่วมมือกันปิดประตูเมือง
พวกเขาบางคนพุ่งเข้าหาพ่อค้าที่กำลังเดินทางออกมาจากเมืองและถามเสียงดังว่า “บอกข้ามา เจ้ารู้จักคนที่ชื่อหม่าจื่อชิงไหม? อะไรนะ? เจ้าไม่รู้จักเขาหรอ?! ไร้สาระ คิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรอ! ทหาร จับกุมมันและยึดของกลางทั้งหมด!”
“รับทราบครับ!”
กลุ่มทหารยามหลายคนและสมาชิกแก๊งหมาป่าทมิฬหัวเราะและเริ่มค้นข้าวของของพ่อค้า
เนื่องจากฆาตกรเป็นบุคคลอันตราย พวกเขาจึงไม่กล้ามองหาปัญหาและเสี่ยงชีวิต ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของหัวหน้าของพวกเขาได้ แบบนี้แล้วพวกเขาจะทำยังไง?
นั่นง่ายมาก พวกเขาก็แค่ต้องหาแพะรับบาป!
แม้ว่าเจ้าเมืองและหัวหน้าแก๊งหมาป่าทมิฬจะต้องเสียหน้า แต่สำหรับลูกน้องอย่างพวกเขาแล้ว สิ่งนี้ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของงานเลี้ยงรื่นเริง
หากพวกเขาไม่ได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้เพื่อรีดเงินมาจากสามัญชนเหล่านี้ พวกเขาก็คงจะปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดลอยไปอย่างแท้จริง
จากระยะไกล ใบหน้าของลู่หยวนกระตุกและเขาก็รู้สึกโล่งใจ
“หากฉันช้ากว่านี้อีกหน่อย ฉันก็คงถูกรีดไถหรือไม่ก็กลายเป็นแพะรับบาปไปแล้ว”
เมื่อเห็นคนเหล่านั้นที่ถูกปฏิบัติราวกับเป็นผู้ต้องสงสัยและมีแนวโน้มที่จะถูกจับเข้าคุก เขาก็รู้สึกหนาวสั่นแทน
เขาไม่กล้าจะอยู่ที่นี่ต่อและรีบจากไปโดยทันที
และเมื่อมองไม่เห็นกำแพงเมืองด้านหลังอีกต่อไป เขาก็เริ่มวิ่ง
หลังจากวิ่งไปสามถึงห้าลี้ เขาก็รู้สึกว่าเขาได้ออกจากเขตเมืองไปแล้ว และในที่สุดลู่หยวนก็หยุดวิ่ง
ในขณะที่กำลังหอบหายใจเข้า เขาก็ปาดเหงื่อบนใบหน้าของเขา
“โลกนี้อันตรายเกินไปแล้ว ไม่เพียงแต่ผู้คนจะไล่ฆ่ากันกลางวันแสกๆ เท่านั้น แต่แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐกับพวกนักเลงหัวไม้ก็ยังจับมือกันรีดไถตังชาวบ้าน!”
เดิมทีเขาก็ไม่มีความสุขและไม่พอใจกับการเป็นนายพรานเลย
ถึงอย่างนั้น หลังจากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวันนี้ ลู่หยวนก็เริ่มรู้สึกว่าการเป็นนายพรานก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไร
อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนลูกหลงจากเรื่องที่คนอื่นก่อไว้
และเมื่อเทียบกันแล้ว แม้ว่าในภูเขาเขาจะต้องเจอกับสัตว์ป่าที่สติปัญญาและจ้องจะกินเขา แต่อย่างน้อยพวกมันก็ไม่ได้ฉลาดนักและไม่สามารถทำอะไรเขาได้จริงๆ จังๆ
สัตว์ป่าจะอันตรายกว่ามนุษย์ได้หรือไม่?
“เมื่อฉันกลับไปถึงที่ภูเขาเมื่อไหร่ ฉันก็จะเริ่มเก็บตัวฝึกฝนโดยทันที ฉันจะไม่ออกไปไหนจนกว่าฉันจะมีพลังพอที่จะปกป้องตัวเอง” ลู่หยวนคิดกับตัวเอง
คราวนี้เขาซื้อเกลือมาหนัก 5 กิโล ซึ่งมันก็เพียงพอให้ผู้ใหญ่กินได้สองถึงสามปี
เดิมทีเขาแค่คิดจะซื้อมันมาตุนเพราะขี้เกียจมาซื้อหลายรอบ แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดไม่น้อย
บนภูเขามีสัตว์ป่ามากมายนับไม่ถ้วน เช่นเดียวกับผักและผลไม้มากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็สามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้แล้ว
สำหรับนายพราน ตราบใดที่พวกเขามีเกลือ พวกเขาก็จะไม่มีทางเฉาตาย
“อย่างไรก็ตาม ฉันก็มีอายุขัยไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าฉันจะอยู่บนภูเขาสักสองสามปี แต่ระยะเวลาเพียงแค่นี้ก็คงจะผ่านไปในพริบตาอยู่ดี”
“การดำรงชีพบนภูเขาอาจจะลำบาก แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการเข้าเมืองไปเป็นขอทานให้เขาทุบตี”
…
สภาพร่างกายของลู่หยวนนับได้ว่าค่อนข้างแข็งแรง
ดังนั้นแล้วการเดินทางไกลสิบลี้จึงใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
แม้หลังจากเดินมาไกลพร้อมกับสัมภาระหนักขนาดนี้ แต่เขาก็รู้สึกเหนื่อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ที่หมู่บ้านเล็กๆ ลู่หยวนมองดูถนนบนภูเขาที่ขรุขระและสูงชัน
เมื่อมาถึงจุดนี้ มันก็มีป้ายบอกทางเขียนเอาไว้ว่า ‘ภูเขาต้าหยู’
ในที่สุดเขาก็กลับมาถึงภูเขาของเขาแล้ว!
“แต่ก่อนจะกลับไปบนภูเขา ฉันต้องไปแวะซื้อข้าวในหมู่บ้านก่อน”
ลู่หยวนกระชับสัมภาระบนหลังของเขาแล้วเดินตามทางแยกไปบนถนนที่มุ่งหน้าไปสู่หมู่บ้าน
แม้ว่าเขาจะเพิ่งบอกว่ามีสัตว์ป่า, ผักและผลไม้อยู่บนภูเขา แต่มนุษย์ก็ไม่สามารถกินสิ่งเหล่านี้ได้ตลอดเวลา
เมื่อถึงเวลากินข้าว เขาก็ยังต้องกินข้าว ไม่เช่นนั้นชีวิตของเขาก็คงจะน่าสังเวชจนเกินไป...