บทที่ 11: การสังหารบนท้องถนน
บทที่ 11: การสังหารบนท้องถนน
“จางเปียว! เจ้ากดขี่ข่มเหงชาวบ้านชาวประชา วันนี้ข้าหม่าจื่อชิงจะขอบังคับใช้ความยุติธรรมในนามแห่งสวรรค์ และกำจัดไอ้สารเลวเดนมนุษย์เฉกเช่นเจ้าออกไปจากโลกมนุษย์!!”
หลังจากจัดการกับชายชุดดำตรงหน้าลงด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว นักดาบชุดสีน้ำเงินก็ยังไม่หยุดนิ่ง เขายกอาวุธในมือขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาชายร่างกำยำที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับพูดอย่างเย็นชา
เมื่อมองจากแผงขายน้ำชาด้านข้าง ลู่หยวนก็เหลือบไปเห็นชายที่กำลังถูกนักดาบชุดสีน้ำเงินไล่ตาม สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเปียวเย่ซึ่งเพิ่งรีดไถเงินเขาไป 540 เหรียญเมื่อเช้านี้
' ไม่ใช่ว่าเขาได้รับการสนับสนุนจากแก๊งหมาป่าทมิฬหรอ? เมื่อเช้าเขายังปากดีอยู่เลย แบบนั้นแล้วไหงเพียงครู่เดียวผ่านไปเขาถึงกลายมาเป็นเด็กร้องไห้ขี้แยแบบนี้กัน?’
' แถมศัตรูรายนี้ก็ยังดูเหมือนจะไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเขาเป็นการส่วนตัวด้วย…'
เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ นักดาบสกุลหม่าสามารถกระโดดสูงห้าถึงหกเมตรได้อย่างง่ายดาย
และด้วยการกระโดดเพียงไม่กี่ครั้ง เขาก็เดินทางครอบคลุมระยะทางกว่าร้อยเมตร
นอกจากนี้ ความเร็วดาบของเขาก็ยังเร็วมาก อันธพาลที่มากประสบการณ์ตรงหน้าเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะป้องกันตัวก่อนที่คอของพวกเขาจะถูกเชือด
แม้แต่แชมป์โอลิมปิกกระโดดไกลในชาติก่อนของลู่หยวนก็ยังไม่สามารถเทียบกับอีกฝ่ายได้
“แสดงว่านี่คือ… วรยุทธ์! นี่คือวรยุทธ์อย่างแน่นอน!”
หลังจากเดินทางข้ามมิติมา มันก็ยังไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถสร้างความตกตะลึงให้กับเขาได้
แม้ว่าโลกใบนี้จะมีคัมภีร์ลับและวิธีการอัศจรรย์สำหรับเซียน แต่ทุกอย่างก็ค่อนข้างจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา เขาไม่ได้แปลกใจเลย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือเขาเพิ่งจะอยู่บนโลกนี้มาได้ไม่นานนัก แต่เขาก็ได้พบกับวรยุทธ์ในตำนานแล้ว
เมื่อเกิดความโกลาหลขึ้น คนที่เดินไปมาอยู่บนถนนจึงได้หลบหนีไปยังที่ปลอดภัยตั้งนานแล้ว มันเหลือเพียงท้องถนนที่เปิดกว้างให้หม่าจื่อชิงกับพวกเปียวเย่เผชิญหน้ากันเท่านั้น
ทุกๆ สองก้าวที่หม่าจื่อชิงเดิน ชายชุดดำหนึ่งคนก็จะถูกแทงทะลุหัวใจหรือไม่ก็ถูกฟันเข้าที่ลำคอ และในท้ายที่สุด มันก็มีศพทั้งหมดสี่ศพ พวกเขานอนแผ่กระจายไปตามท้องถนนที่เปิดโล่ง
หลังจากสังหารคนทั้งสี่ลงอย่างโหดเหี้ยม นักดาบนามหม่าจื่อฉิงก็ยังคงเดินก้าวเข้าไปใกล้เปียวเย่มากขึ้นเรื่อยๆ
“อย่า…อย่าฆ่าข้าเลย ข้าแค่ทำตามคำสั่งของแก๊งหมาป่าทมิฬ” เปียวเย่กล่าว ใบหน้าของเขาซีดเซียวด้วยความกลัว เขาก้าวถอยหลังในขณะที่ประกาศเสียงดังว่า “หัวหน้าแก๊งของเราเป็นศิษย์ของสำนักดาบเหล็ก ถ้าเจ้าฆ่าข้า เจ้าก็จะเท่ากับยั่วยุสำนักดาบเหล็กด้วย!”
อย่างไรก็ตาม หม่าจื่อฉิงก็ไม่ได้หวาดกลัวต่อภัยคุกคามเลย และเพียงแค่เยาะเย้ยอีกฝ่ายในขณะที่เขายังคงเดินเข้าไปใกล้
ความเร็วของเขาลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ และเขาก็ไม่ได้ใช้วิชาตัวเบาอีกต่อไป
เขากลับเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างช้าๆ ราวกับว่าเขาไม่รีบร้อนที่จะฆ่าเปียวเย่แทน นอกจากนี้ สิ่งนี้ก็ยังทรมานจิตใจและสร้างแรงกดดันให้กับอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
“ข้ามีเงินนะ ข้าจะยอมยกมันให้เจ้าทั้งหมดเลย” เปียวเย่พูด น้ำเสียงของเขาสั่นเทาด้วยความกลัว
เมื่อเห็นว่าภูมิหลังของเขาไม่สามารถทำให้นักดาบหวาดกลัวได้ เปียวเย่จึงเปลี่ยนกลยุทธ์และหันมาวิงวอนเขาแทนว่า “หนึ่งพันตำลึงเงิน ไม่สิ สองพันตำลึงเงิน ไว้ชีวิตข้าแล้วเงินทั้งหมดของข้าจะเป็นของเจ้า”
“ใช้เงินเพื่อซื้อชีวิตหรอ?”
เมื่อได้ยินข้อเสนอ หม่าจื่อชิงก็ชะงักไปชั่วครู่
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของเปียวเย่ก็สว่างขึ้นด้วยความโล่งใจ
อย่างไรก็ตาม วินาทีต่อมา เจตนาฆ่าก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหม่าจื่อชิง “เงินหรอ? เจ้าคิดว่าทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ด้วยเงินรึไง? วันนี้เจ้าจะต้องตาย!”
หลังจากพูดจบ หม่าจื่อชิงก็ยกดาบขึ้นและพุ่งเข้าหาเปียวเย่
“ลงนรกไปซะ!”
เปียวเย่เห็นว่าแม้หลังจากยอมถวายเงินจนหมดตัวแล้ว แต่นักดาบก็ยังปฏิเสธที่จะไว้ชีวิตเขา ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงทั้งหวาดกลัวและโกรธเคืองไปในเวลาเดียวกัน
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้ เขาได้กัดฟันและชูมือไปข้างหน้า และทันใดนั้น เงาดำจำนวนนับสิบก็บินออกมาจากแขนเสื้อของเขาและพุ่งตรงไปทางหม่าจื่อชิง
เขาหันหลังกลับและวิ่งออกไปไกลโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าหม่าจื่อชิงจะเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวนี้เอาไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเผชิญหน้ากับอาวุธลับที่ซ่อนอยู่ ดาบของเขาจึงร่ายรำและก่อให้เกิดเสียงดังกึกก้อง จากนั้นลูกดอกนับสิบลูกก็หล่นลงกับพื้น
เมื่อมาถึงจุดนี้ เปียวเย่ก็เพิ่งจะหลบหนีไปได้ไกลเพียงสิบเมตรเท่านั้น
และด้วยการกระโดดเพียงก้าวเดียว หม่าจื่อชิงก็ได้ตามเขาทันอย่างรวดเร็ว
ดาบยาวของเขาแทงออกไปข้างหน้า และก่อนที่เปียวเย่จะสามารถโต้ตอบได้ เขาก็ได้ถูกแทงเข้าที่หน้าอกแล้ว
“อ้ากกก...”
พร้อมกับเสียงกรีดร้อง เปียวเย่ได้ล้มลงกับพื้น
หม่าจื่อชิงเก็บดาบกลับเข้าฝัก จากนั้นเขาก็ก้มลงและตรวจค้นร่างกายของเปียวเย่ เขาหยิบถุงเงินใบใหญ่ออกมา
เขาเหลือบมองคนที่กำลังหวาดกลัวซึ่งซ่อนตัวอยู่ที่มุมถนน สีหน้าของเขาเย็นชาไร้อารมณ์ และด้วยการกระโดดเพียงไม่กี่ครั้ง เขาก็ได้บินหายไปในทิศทางหนึ่ง
เมื่อนักดาบหายตัวไป ผู้คนที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ ก็ค่อยๆ โผล่หัวออกมา พวกเขาทั้งหมดล้วนตัวสั่นด้วยความกลัว
พวกเขามองไปที่ศพของเปียวเย่และคนอื่นๆ สีหน้าของพวกเขาแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่ก็ล้วนหวาดกลัว ฝูงชนรวมตัวกันรอบๆ ศพและไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไป
“เมื่อกี้ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?”
“ดูจากการเคลื่อนไหวของเขาแล้ว เขาจะต้องเป็นจอมยุทธ์แน่นอน!”
“เปียวเย่ไปยั่วยุอะไรชายคนนี้กันนะ?”
“ฮึ่ม จางเปียวเย่มักชอบรังแกและกดขี่ผู้คนอยู่เสมอ มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่ใครสักคนจะหันคมดาบเข้าหาเขาในสักวันหนึ่ง”
“ชู่ว!! เจ้าอยากตายรึไง? แก๊งหมาป่าทมิฬจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่ นักดาบคนนั้นอาจไม่สนใจเจ้า แต่เจ้าไม่กลัวว่าพวกแก๊งหมาป่าทมิฬจะมาระบายความโกรธใส่เจ้าบ้างรึไง?”
ในร้านน้ำชา แขกที่มาดื่มชาและเห็นทุกอย่างเริ่มพูดคุยกันหลังจากที่ทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว
ลู่หยวนฟังอยู่สักพักหนึ่ง แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าข้อมูลที่ได้มานั้นไม่มีคุณค่าใดๆ เขาจึงหยุดฟัง
เขายกชามเหล้าขึ้นมาดื่มจนหมด จากนั้นเขาก็แบกตะกร้าแล้วหันหลังเดินกลับไป
เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทำให้ลู่หยวนตกใจมาก
ความอันตรายของโลกใบนี้ได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว
จอมยุทธ์ในโลกแห่งการต่อสู้ล้วนแสวงหาการแก้แค้นและการต่อสู้
แม้แต่ในช่วงเวลากลางวันแสกๆ ในตลาดที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน จอมยุทธ์เหล่านั้นก็ยังไม่ลังเลที่จะไล่ฆ่าผู้คนบนท้องถนน
ที่สำคัญไปกว่านั้น คนของเปียวเย่ทั้งห้าคนก็ยังเป็นนักเลงที่มีทักษะและประสบการณ์การต่อสู้
แต่กระนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับนักดาบนามหม่าจื่อชิงแล้ว พวกเขาก็กลับไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวและถูกส่งลงนรกไปอย่างง่ายดาย
มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างจอมยุทธ์กับคนธรรมดางั้นหรอ?
“และจากสิ่งที่เปียวเย่พูดในตอนท้าย เขาบอกว่าหัวหน้าแก๊งหมาป่าทมิฬเป็นศิษย์ของสำนักดาบเหล็กหรอ…? นั่นเป็นสำนักยุทธ์ใช่รึเปล่า? เราจะสามารถเรียนรู้วรยุทธ์ได้จากที่นั่นใช่ไหม?”
ลู่หยวนนึกถึงคำพูดของเปียวเย่ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
หลังจากตั้งตัวจากการข้ามมายังโลกนี้ได้แล้ว เขาก็มีความปรารถนาที่จะเป็นจอมยุทธ์โดยธรรมชาติ
และในตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ได้ยินข่าวคราวบางอย่างเกี่ยวกับมันแล้ว ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงมัน
“แต่ถึงแม้ว่าฉันจะต้องการหาสำนักเพื่อที่จะเรียนรู้วรยุทธ์ แต่นั่นก็คือสิ่งที่ฉันสามารถลองได้ในภายหลังเท่านั้น ในฐานะนายพรานผู้ยากจนและน่าสงสารอย่างฉันแล้ว มันก็คงจะไม่มีสำนักไหนอยากรับฉันเข้าไปเป็นศิษย์แน่”
ลู่หยวนไม่เชื่อว่าสำนักยุทธ์เหล่านี้จะสอนคนเพื่อการกุศล
การเข้าร่วมสำนักยุทธ์จำต้องมีภูมิหลังที่ใสสะอาด ครอบครัวที่ร่ำรวย และพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา
ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะรับคุณเข้าไปทำไม?
มีความแตกต่างระหว่างละครโทรทัศน์กับโลกแห่งความเป็นจริง และหลังจากอาศัยอยู่ในโลกนี้มาเป็นเวลาหลายเดือน ลู่หยวนก็ได้เข้าใจข้อเท็จจริงนี้อย่างลึกซึ้ง...