ตอนที่ 17 ตำแหน่งผู้ตรวจการ
ตอนที่ 17 ตำแหน่งผู้ตรวจการ
"เจ้าจะอยู่ได้ไม่นาน"
"อาจจะ"
ซูหยางโบกมืออย่างไม่เป็นทางการและขอให้จางหู่ผลักบุคคลนั้นลง
"ส่งคนไปหานายอำเภอหลิว และขอให้เขาส่งคนมาช่วยตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของตระกูลหลี่"
"จัดการตามขั้นตอน"
"ขอรับ"
ในเมืองผิงซานมีการแบ่งหน้าที่กันเป็นสองส่วน
นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่พลเรือนอื่นๆ มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการทะเบียนบ้าน เงิน และอาหาร และเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเมืองผิงซาน
( ***知县 (นายอำเภอ) อ้างอิงจากสมัยราชวงศ์ชิงของจีน )
กองเจิ้นหวู่เป็นหน่วยงานหนึ่งที่จัดการเกี่ยวกับความปลอดภัยของสาธารณชน
หนึ่งฝ่ายพลเรือน และหนึ่งฝ่ายทหารรับผิดชอบหน้าที่ต่างกัน
เหล่าขุนนางในโลกนี้ไม่ใช่นักวิชาการที่ไร้พลัง และอ่อนแอ
สิ่งที่พวกเขาฝึกฝนคือพลังแห่งถ้อยคำ และการสำแดงแนวความคิดแห่งเต๋าที่หลากหลาย มันทรงพลังเป็นอย่างมาก
มีลัทธิเต๋ามากมายนับไม่ถ้วน บางครั้งในสถานการณ์พิเศษ พลังของคนเหล่านี้มีมากกว่าพลังของนักสู้ และผู้ฝึกฝน
การฝึกฝน และศิลปะการต่อสู้อาศัยความขยัน
แต่การศึกษาเต๋าอาศัยไม่เพียงต้องมีขยัน แต่ต้องอาศัยการตรัสรู้
สำหรับผู้ที่อยู่ในลัทธิเต๋า ความขยันหมั่นเพียร การตรัสรู้ และรากวิญญาณล้วนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ในเส้นทางที่หลากหลาย การฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดในตอนเริ่มต้น แต่ถ้าใครต้องการก้าวไปสู่จุดสูงสุดก็ยังต้องใช้ความเข้าใจด้วย
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ ความง่ายในตอนเริ่มต้น
ดังนั้นผู้คนจำนวนมากที่สุดในโลกนี้จึงเป็นนักสู้
คนของลัทธิเต๋าถูกเรียกว่านักปราชญ์ และนักปราชญ์ส่วนใหญ่ก็เป็นขุนนางในราชสำนัก
เส้นทางนี้ ...เฉพาะผู้ที่มีรากวิญญาณเท่านั้นที่สามารถก้าวเข้าสู่ประตูนี้ได้
…
ใช้เวลาประมาณสองสามนาที
จากนั้นซูหยางก็ได้เห็นนายอำเภอ หลิวโหยวเว่ยที่รีบเร่งมาพร้อมกับอีกหลายคน
เขามีรูปร่างที่เพรียวบาง และดูสง่างาม เขาดูมีกลิ่นอายแบบนักวิชาการ
แม้ว่าเขาจะเดินอย่างเร่งรีบ แต่ท่วงท่าของเขาก็ยังคงมีสง่างาม และเต็มไปด้วยศักดิ์ศรี
“หัวหน้าซู เจ้าได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่แล้วจริงๆ”
แม้ภายนอกหลิวโหยวเว่ยจะดูสงบ แต่หัวใจของเขากลับปั่นป่วนแล้ว
เมื่อซูหยู่ดำรงตำแหน่ง อีกฝ่ายเป็นเหมือนปลาเค็มที่ไม่ทำอะไรเลย และไม่ได้มีความสามารถมากนัก แต่ซูหยาง ลูกชายของเขา อีกฝ่ายเป็นเหมือนมังกรซ่อน
เขาเฝ้ามองเรื่องทั้งหมดมาตั้งแต่ต้น
เดิมทีเขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงชายหนุ่มโง่เขลาที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ยื่นมือเข้ามายุ่ง
นั้นเป็นผลให้ตระกูลหลี่ทั้งหมดถูกโค่นล้มในเวลาไม่ถึงเจ็ดวัน
พูดตรงๆ มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ
สิ่งที่ทำให้เขาสงสัยมากที่สุดก็คือ ซูหยางได้รับความแข็งแกร่งเช่นนี้มาได้อย่างไร
อีกฝ่ายยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของเมืองผิงซานโดยที่ไม่มีใครทันรู้ตัว
ซูหยางยิ้มเบาๆ และพูดว่า "นายอำเภอหลิว ส่วนที่เหลือต้องฝากเจ้าจัดการแล้ว"
หลิวโหยวเว่ยพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า "ไม่มีปัญหา มันควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว"
ขั้นตอนต่อไปคือ การปิดผนึกจวนตระกูลหลี่ทั้งหมด
แยกประเภทบัญชีทรัพย์สิน และสิ่งของมีค่าทั้งหมดถูกปิดผนึกชั่วคราว รอจนกว่าการตรวจนับทั้งหมดจะเสร็จสิ้น
สิ่งที่ควรให้แก่คนรับใช้ของตระกูลหลี่ก็ควรมอบให้ และสิ่งที่ควรคืนให้กับประชาชนก็ควรคืนให้ไป
ทรัพย์สินของตระกูลหลี่ที่เหลือจะถูกยึด
หนึ่งส่วนให้กับนายอำเภอ และเจ็ดส่วนจะถูกส่งไปที่คลังของกองเจิ้นหวู่ เพื่อที่เหล่าทหารจะได้นำไปใช้ในการฝึกฝนในอนาคต
สองส่วนสุดท้ายตกเป็นของสมาชิกของปฏิบัติการครั้งนี้ ซึ่งซูหยางจะไปจัดสรรในภายหลัง
แน่นอนว่าต้องมีเหตุผลอันสมควรสำหรับการยึดทรัพย์ และการฆ่าล้างตระกูลเช่นนี้ และจะมีคนจากเบื้องบนมาตรวจสอบในภายหลัง
กิจการของตระกูลหลี่มีขนาดใหญ่มากจนไม่สามารถคำนวณได้ภายในหนึ่งหรือสองวัน
ซูหยางปล่อยให้จางหู่จับตาดูมัน และเขาไม่ได้วางแผนที่จะสนใจเรื่องนี้จนกว่าเขาจะได้ยินผลลัพธ์สุดท้าย
หลังจากทักทาย เขาก็จากไปที่นี่เพื่อเตรียมตัวกลับไปนอน
การนอนดึกมันไม่ดีต่อสุขภาพ
คนธรรมดาอย่างเขาจะนอนดึกได้ยังไง?
เมื่อซูหยางเดินบนถนน
ครึ่งทางของการเดินทาง ด้านหลังของเขาก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เจ้าดูอารมณ์ดีจริงๆ ด้วยท่าทางสบาย ๆ เช่นนี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกได้ว่าเจ้าเพิ่งเข้าไปยึดทรัพย์ และทำลายล้างตระกูลหนึ่งมา”
ร่างหนึ่งยืนอยู่ที่มุมถนนตรงหน้าเขา
“โอ้? เจ้าคือใครกัน?” ซูหยางหรี่ตาลง และมองไปที่คนตรงหน้า
ออร่าบนร่างกายของชายคนนี้คุ้นเคยมาก
เมื่อหลี่เฮ่ยมาลอบสังหารเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน ชายคนนี้อยู่นอกลานบ้านของเขา
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขามักจะรู้สึกถึงสายตาที่สอดรู้สอดเห็นเป็นครั้งคราว
น่าจะเป็นคนๆ นี้ที่คอยเฝ้าดูในมุมมืด
“ขอข้าแนะนำตัวเองก่อน ผู้ตรวจการจังหวัดเทียนเฟิง จางหลาง”
จางหลางเดินเข้ามาจากระยะไกล และพูดต่อ “หน้าที่ของข้าคือค้นหาผู้มีความสามารถที่เหมาะที่จะเป็นผู้ตรวจการ”
“จังหวัดเทียนเฟิงบริหารจัดการสิบแปดเมืองที่มีขนาดแตกต่างกัน ในพื้นที่โดยรอบ และเมืองผิงซานก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“แล้วทำไมท่านจางถึงมาขวางทางข้าในตอนกลางดึกล่ะ?” ซูหยางยังคงสงบ
“แน่นอน ข้าชอบในตัวเจ้า”
ซูหยางมองด้วยสายตาแปลกๆ แต่จางหลางยังคงพูดต่ออย่างเฉยเมย “ข้าได้เห็นเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าทำในการจัดการตระกูลหลี่แล้ว ผู้ตรวจการต้องการคนที่มีความซื่อสัตย์ และมีความแข็งแกร่งอย่างเจ้า”
"นี่คือจดหมายแนะนำสำหรับผู้ตรวจการของจังหวัดเทียนเฟิง ด้วยจดหมายนี้ เจ้าสามารถไปที่ๆ ว่าการจังหวัดเทียนเฟิงได้ในวันที่ 15 มิถุนายน เพื่อดำเนินการตรวจสอบ และประเมินผลโดยกองตรวจการ”
“หลังผ่านการประเมิน เจ้าจะสามารถทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจการของจังหวัดเทียนเฟิงได้”
ซู่หยางถือจดหมาย และพูดว่า "ผู้ตรวจการมีอำนาจอะไรบ้าง ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับตำแหน่งนี้มาก่อน"
ตำแหน่งนี้ฟังดูน่าประทับใจ แต่ซูหยางยังไม่รู้ว่าในโลกนี้ตำแหน่งนี้มีหน้าที่อะไรบ้าง
“ตำแหน่งนี้ถูกสร้างขึ้นไม่นานมานี้ และยังไม่สมบูรณ์ดีนัก มิฉะนั้น เรื่องอย่างตระกูลหลี่ในเมืองผิงซานจะไม่เกิดขึ้น”
“จังหวัดหนึ่งจะมีผู้ตรวจการได้ 30 ถึง 50 คน ต้องอยู่ระดับ 5 เป็นอย่างน้อยไม่งั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม แบ่งเป็นหัวหน้าผู้ตรวจการ ผู้ตรวจการสี่ทิศ และผู้ตรวจการกฏ”
“พวกเขาจะประจำตามจังหวัดต่างๆ ตรวจสอบความเรียบร้อย รับรายงานจากประชาชน และดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน”
"จากเมืองสู่เมือง ไม่ว่าไปที่ใดสั่งให้กองเจิ้นหวู่ประจำที่แห่งนั้นให้ความร่วมมือในการสืบสวนคดีได้"
จางหลางแจ้งให้สถานะของผู้ตรวจการ และสิทธิต่างๆ
หลังจากที่ซูหยางได้ยินสิ่งนี้ เขาก็รู้สึกถูกล่อลวง
สำหรับเขา มันจะเป็นประโยชน์มากสำหรับเขาที่จะมีสถานะเป็นผู้ตรวจการ
เริ่มจากเจตจำนงแห่งสรรพชีวิตก่อน ดูเหมือนว่า ยิ่งตำแหน่งสูงเท่าไรก็ยิ่งครอบคลุมขอบเขตได้กว้างมากขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้เขาเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ของเมืองผิงซาน ดังนั้นเขาจึงมองเห็นได้เฉพาะเจตจำนงแห่งสรรพชีวิตในเมืองผิงซานเท่านั้น
หากอำนาจของเขาครอบคลุมทั่วทั้งจังหวัดเทียนเฟิง บางทีเขาอาจจะมองเห็นเจตจำนงแห่งสรรพชีวิตในจังหวัดเทียนเฟิงทั้งหมด
ยิ่งสถานะของเขาสูงเท่าไร เขาก็ยิ่งสามารถทำตามความเชื่อของตนได้ดีขึ้นเท่านั้น
สิ่งที่ผู้ตรวจการต้องทำก็เป็นสิ่งที่ต้องการทำอยู่แล้ว
ในกรณีนี้ ทำไมเขาจะต้องปฏิเสธสิ่งดีๆ ที่เข้ามาหาถึงที่?
“น่าสนใจ ข้าสงสัยว่าข้าจะเป็นหัวหน้าผู้ตรวจการได้อย่างไร?” ซูหยางแสดงว่าเขาพอใจกับตำแหน่งนี้มาก
จางหลางชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า
"เจ้ากล้าหาญจริงๆ"
"หัวหน้าผู้ตรวจการต้องอยู่ในระดับ 3 เนื่องจากสถานะของเขาสูงกว่าของกองเจิ้นหวู่ ดังนั้นคนๆ นั้นจึงต้องแข็งแกร่งพอ"
ซูหยางพยักหน้าอย่างสงบเพื่อแสดงว่าเขาเข้าใจ ขณะที่จางหลางขมวดคิ้วขณะที่เขามองดู และอารมณ์ของเขาก็ซับซ้อนไปชั่วขณะหนึ่ง
"ดังนั้นผู้ตรวจการสี่ทิศต้องการฐานการบ่มเพาะระดับ 4?"
"ใช่ ถ้าเจ้าแข็งแกร่งพอ เจ้าก็สามารถทำอะไรก็ได้"
"ตำแหน่งผู้ตรวจการมีตำแหน่งว่างมากมาย และภาระงานก็หนักมาก ดังนั้นข้าขอถอนตัวก่อน"
จางหลางกล่าว จากนั้นเขาก็จากไปอย่างเงียบๆ ด้วยทักษะที่แปลกประหลาด
ซูหยางมองดูสักพักหนึ่ง และไม่เห็นร่องรอยใดๆ หากอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในขอบเขตของเจตจำนงดาบ เขาก็ไม่สามารถสัมผัสถึงความลึกล้ำของอีกฝ่ายได้
“ข้าจะเป็นหัวหน้าผู้ตรวจการได้ก็ต่อเมื่อข้ามีฐานการบ่มเพาะระดับ 3 เท่านั้น?” “
“การประเมินจะเริ่มในวันที่ 15 มิถุนายน ตอนนี้เป็นวันที่ 3 มิถุนายน และยังเหลือเวลาอีก 12 วัน ข้าไม่รู้ว่าจะสามารถพัฒนาเจตจำนงดาบจนถึงระดับนั้นได้หรือไม่”
“ไม่ ข้าพลาดไปสิ่งหนึ่ง”
“การใช้เจตจำนงดาบเพียงอย่างเดียวสามารถแสดงความแข็งแกร่งได้เพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น หากข้ามีวิชาดาบ ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า”
"เอาล่ะ คงต้องพยายามให้มากขึ้น ถ้าสามารถเป็นหัวหน้าผู้ตรวจการได้นั้นจะคงจะดีไม่น้อย"
ซูหยางเก็บจดหมายไว้ในอ้อมแขนแล้วเริ่มเดินทางกลับอีกครั้ง
ไม่ว่าอย่างไร หนทางข้างหน้าของข้าดูเหมือนจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้นแล้ว
คืนนี้จวนตระกูลหลี่สว่างไสว
ค่ำคืนที่มืดมิดถูกขับไล่ออกไปด้วยแสงจากคบเพลิง
ผู้คนที่อาศัยอยู่รอบๆ สับสนในตอนแรก และคิดว่าเป็นเวลารุ่งสางแล้ว
ด้วยความงุนงง เขาดุด่าจวนผู้คนของตระกูลหลี่ที่ทำตัวงี่เง่ากลางดึก
เมื่อมีเงินมหาศาลก็เผาฟืนไฟเหมือนของไร้ค่า
แต่หลังจากที่พวกเขาเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ความง่วงก็ลดหายไปเหมือนกระแสน้ำ
"ตระกูลหลี่ถูกยึดทรัพย์!!!"