MDB ตอนที่ 409 หลินจินมุ่งหน้าไป
การกลับมาที่เมืองเมเปิ้ลของพวกเขาไม่อาจมาได้ในเวลาที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ไม่นานหลังจากที่ชายโลงศพกับเฒ่าเต่ามาถึงเมืองเมเปิ้ล หลินจินก็กลับมาจากเมืองหลวงด้วยนกอินทรี ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงมาเจอกันระหว่างทางกลับไปยังคฤหาสน์
เมื่อเห็นชายโลงศพและเต่าเฒ่า หลินจินก็ตระหนักได้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นจนทำให้เขาลืมโลงผุไปแล้ว แท้จริงแล้วเขาคือผู้ที่ให้มาดามผีเด็กแจ้งให้ชายโลงศพมารับซอมบี้คธูลู
อย่างไรก็ตาม เมื่อชายโลงศพกับเฒ่าเต่าเห็นหลินจิน พวกเขาก็คุกเข่าลงทันที
“ผู้ประเมินหลิน พวกเรามันไร้ประโยชน์…”
ถัดจากนั้น เวลาก็ผ่านไปพักใหญ่...
“เอี้ยง!!!”
เสียงร้องของนกอินทรีดังขึ้นเหนือท้องฟ้าของเมืองเมเปิ้ล หลินจินออกเดินทางอย่างไม่แยแสไปยังเมืองรี้ดด้วยนกอินทรีของเขา
ด้วยความรู้สึกวิตกกังวล หลินจินจึงเสกคาถาเพื่อเพิ่มขนาดทางกายภาพของนกอินทรีอีกหนึ่งเท่า ดังนั้นความเร็วในการบินของมันก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ในขณะนี้ หลินจินไม่มีเวลาว่างที่จะจัดการสิ่งอื่นใด
ชายโลงศพกับเฒ่าเต่าบอกทุกสิ่งที่พวกเขารู้ หลินจินจึงรู้ว่าวานรยักษ์ขาวได้ต่อสู้กับพระภิกษุจากวัดต้าหลัว และในขณะนี้ได้หายตัวไป ส่วนชางเอ๋อร์ เธอได้พ่ายแพ้ในการต่อสู้กับพระอธิการแห่งห้องโถงขับไล่ปีศาจแห่งวัดตัวหลัว พวกเขาบอกเขาว่าร่างของเธอถูกฝังอยู่ใต้เมืองเส้นทางนิรันดร์
ใคร ๆ ก็สามารถจินตนาการถึงอารมณ์ของหลินจินได้ในทันทีที่เขาได้ทราบข่าว
หลินจินเป็นใจเย็น แต่ยิ่งเป็นคนที่ใจเย็นมากเท่าไร เมื่อเดือดดาลขึ้นมาความโกรธเกรี้ยวจะเพิ่มขึ้นร้อยเท่าพันเท่า
“วัดต้าหลัว หากมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับชางเอ๋อร์และวานรยักษ์ขาวล่ะก็ ฉันจะบดขยี้นิกายของพวกแกและทำลายวัดของพวกแกไม่ให้เหลือซาก!”
หลินจินรู้สึกโกรธอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาโกรธมากมากกว่าตอนที่เขาโกรธหยางฉิงซื่อเสียอีก
ถึงแม้หยางฉิงซื่อจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แต่พวกเขาไม่ใช่คนรู้จักของหลินจิน แต่คราวนี้ คนได้รับบาดเจ็บคือชางเอ๋อร์และวานรยักษ์ขาว ซึ่งทั้งสองคนเป็นศิษย์ที่หลินจินยอมรับ
ด้วยการปรับปรุงขนาด นกอินทรีพุ่งไปข้างหน้าราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้หลินจินไปถึงเขตแดนของเมืองรี้ดได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง
เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน เขาจึงปล่อยให้นกอินทรีหยุดอยู่เหนือคฤหาสน์เฉียว ก่อนที่เขาจะกระโดดลงมาและตกลงไปภายในกำแพงคฤหาสน์ของพวกเขา
มีเรื่องหนึ่งที่หลินจินต้องการคำตอบจากตระกูลเฉียว
เฉียวเฟยกงโผล่ออกมาจากอาคารทันทีที่เขาได้ยินข่าวการมาถึงของหลินจิน ตอนแรกเขาตกตะลึง แต่ไม่นานเขาก็รีบเข้ามาทักทายเขา พร้อมกันนั้น โกลดี้ก็กระโดดโลดเต้นออกมาจากภายในบ้าน
เมื่อเห็นหลินจิน เจ้าไก่ก็ส่งเสียงดังก่อนที่จะบินเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่าย
“ผู้ประเมินหลิน ในที่สุด ท่านก็มาถึงแล้ว!”
เฉียวเฟยกงเป็นกังวลมาสองวันแล้ว เขาได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเส้นทางนิรันดร์ และยังส่งคนไปตรวจสอบสถานที่นั้นแล้ว
จากการตรวจสอบพบว่าเมืองเส้นทางนิรันดร์กลายเป็นซากปรักหักพัง เหลือเพียงหลุมลึกประมาณ 30 เมตร และกว้าง 300 เมตร มันเป็นผลมาจากการปะทะกันระหว่างชางเอ๋อร์กับพระอธิการ
เหตุการณ์นี้เกินกว่าสามัญสำนึกของพวกเขา ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลเฉียวจะกังวลอย่างมาก
หลินจินรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ผิด เขาแค่อยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น ต่อจากนั้น เฉียวเฟยกงบอกกับหลินจินทุกรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขารู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น
เมื่อรวมสิ่งที่เขารับรู้มาจากชายโลงศพกับเฒ่าเต่าเข้าด้วยกัน หลินจินก็พอจะรู้คร่าว ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่
“หลังจากที่วานรยักษ์ขาวล่อให้พระภิกษุของวัดต้าหลัวออกไป เหล่าหัวขโมยก็ปรากฏตัวขึ้นเพื่อปล้นสมบัติของตระกูลเฉียว นี่คือทั้งหมดที่เกิดขึ้นสินะ”
หลินจินคิดดีว่าเหตุการณ์ทั้งสองต้องมีความเชื่อมโยงกัน
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ทราบรายละเอียดเบื้องหลังและไม่ต้องการคาดเดาไปโดยไม่มีหลักฐานเพิ่มเติม
เขาเหลือบมองเฉียวเฟยกงแล้วพูดว่า
“ท่านเฉียว เนื่องจากสมบัติของท่านถูกปล้นไปแล้ว ดังนั้น ตระกูลของท่านน่าจะปลอดภัยแล้ว”
นี่คือข้อเท็จจริง
"จริงด้วย หากข้ารู้เรื่องนี้ก่อนหน้านี้ ข้าควรจะให้สิ่งที่พวกหัวขโมยต้องการไปตั้งนานแล้ว เฮ้อ! พอมาคิดว่าหลายคนต้องตายไป เพราะความดื้อรั้นของข้า... ข้าก็รู้สึกผิดแทบขาดใจ!
แต่ก็ยังดีที่ตอนนี้เรากลับมามีความสงบสุขอีกครั้ง ข้าเพียงหวังว่าเราจะอยู่อย่างสงบสุขนับจากนี้ไป และเราจะไม่ประสบปัญหาเช่นนี้อีก”
เฉียวเฟยกงรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
หลินจินพยักหน้า เขาไม่ได้วางแผนที่จะบอกเฉียวเฟยกงว่าเขาจะทำอะไรต่อไปด้วย เพราะจะทำให้อีกฝ่ายตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น
ณ ตอนนี้ ดูเหมือนว่าวัดต้าหลัวจะมีความเกี่ยวข้องกับผู้ประเมินมาร ไม่อย่างนั้น ทำไมพวกเขาถึงช่วยฝ่ายหลังทำภารกิจของพวกเขาด้วยล่ะ?
นอกจากนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เนื่องจากวัดต้าหลัวกล้าที่จะเล่นงานวานรยักษ์ขาวและชางเอ๋อร์ หลินจินจะไม่มีวันปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป แม้ว่ามันจะหมายถึงการทำลายล้างหรือทำให้เกิดการนองเลือด หลินจินก็จะต้องให้พวกเขาชดใช้
“ท่านเฉียว ข้ามีอย่างอื่นที่ต้องจัดการ หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัว”
เมื่อพูดจบ หลินจินก็ทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้าและเหยียบก้อนเมฆ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนหลังนกอินทรีของเขา จากนั้น นกอินทรีก็พุ่งตรงไปข้างหน้ามุ่งสู่เมืองเส้นทางนิรันดร์ นกอินทรีก็ส่งเสียงร้องดัง ราวกับว่ามันกำลังบอกลาตระกูลเฉียว
สายลมพัดแรงรอบตัวพวกเขา ชวนให้ผู้เดินทางสามารถรับชมสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างตื่นเต้น
แต่ทว่า บนหลังของนกอินทรี บรรยากาศตรงนั้นไม่ค่อยจะสู้ดี อันเนื่องมาจากสีหน้าอันน่ากลัวของหลินจิน
โกลดี้สามารถรับรู้ได้ถึงจิตสังหารจากเขา ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าไก่ที่มักจะทำตัวดื้อรั้น มันจึงตัดสินใจประพฤติตนอยู่ในร่องในรอยในเวลานี้
ไม่นาน นกอินทรีก็บินจากเมืองรี้ดไปถึงเทือกเส้นทางนิรันดร์
ในความเป็นจริง จากท้องฟ้า พวกเขาสามารถมองเห็นหลุกลึกจากขอบฟ้าอันห่างไกลได้ทันที
หัวใจของหลินจินเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
เคล็ดวิชาหรือพลังเหนือธรรมชาติแบบไหนที่สามารถสร้างความเสียหายเช่นนี้ได้? ความจริงที่ว่าแผ่นดินถูกแยกออกจากกัน มันบ่งบอกถึงความรุนแรงของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่เมื่อไม่กี่วันก่อน
หลินจินตัดสินใจกระโดดลงมาจากท้องฟ้าไปยังเบื้องล่างทันที
ในเวลาเดียวกันก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ตรงบริเวณโดยรอบของหลุมลึกเช่นกัน
มีชาวบ้านและทหาร แต่ส่วนใหญ่แต่งกายเหมือนข้าราชการ ในหมู่พวกเขามีชายคนหนึ่งเต็มไปด้วยออร่าอันเย่อหยิ่ง
ก่อนที่หลินจินจะลงมา กลุ่มก็สังเกตเห็นนกอินทรีเร่งความเร็วมาแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในอาณาจักรมังกรหยกหรือประเทศอื่น นกอินทรีเป็นสัตว์ราคาแพงที่มีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะสามารถหาซื้อได้
ดังนั้นการมาถึงของหลินจินจึงดึงดูดความสนใจของพวกเขาเกือบจะในทันที แม้ว่าพวกเขาจะผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดที่เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งลงจากนกอินทรี
“ท่านเจ้าเมืองหวัง นั่นเป็นพลเมืองของเมืองรี้ดใช่หรือไม่?”
ในกลุ่มนั้น ชายวัยกลางคนที่มีท่าทางเย่อหยิ่งเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ชายที่เขากำลังพูดคุยด้วยคือหวังหยวนเฉียว เจ้าเมืองแห่งเมืองรี้ด ส่วนอีกคนเป็นหัวหน้ากองกำลังขนนกเหล็กซึ่งเป็นกองกำลังแห่งชาติ เขามีชื่อว่า เฉินหรู่หยวน
เนื่องจากสถานะที่สำคัญและภูมิหลังที่โดดเด่นของเขา แม้แต่เจ้าเมืองหวังก็ยังต้องคำนึงถึงคำพูดและพฤติกรรมของเขาต่อหน้าอีกฝ่าย
หวังหยวนเฉียวเหลือบมองหลินจินก่อนจะส่ายหัว
“หัวหน้าเฉิน ข้าไม่เคยเห็นชายคนนั้นมาก่อน ดังนั้นเขาไม่น่าจะใช่พลเมืองจากเมืองรี้ด”
"โอ้!" เฉินหรู่หยวนพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเขามีทีท่าไม่พอใจ บางทีเขารู้สึกรำคาญกับความหยาบคายของผู้มาใหม่
หากพลเมืองปกติคนใดปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน อาจสร้างความขุ่นเคืองแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้
หากพวกเขาเป็นขุนนาง นี่หมายถึงการดูหมิ่นเฉินหรู่หยวนอย่างโจ่งแจ้ง เพราะเขาไม่คิดจะมาทักทายตัวเขาที่มีตำแหน่งสูงสุดที่นี่ ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เช่นกัน
หวังหยวนเฉียวสามารถบอกได้อีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงหันไปให้คำแนะนำที่จำเป็นแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา พ่อบ้านของคฤหาสน์เจ้าเมืองของเขารีบไปทันที
"เจ้าเป็นใคร!? ทหารรักษาเมืองได้ปิดล้อมพื้นที่ไว้หมดแล้ว ดังนั้นหากคุณเป็นคนธรรมดาสามัญ ขอให้เจ้าออกไปทันที! หากเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ โปรดระบุตัวตนของเจ้มา!”
พ่อบ้านประกาศ
เห็นได้ชัดว่า หลินจินไม่คิดจะสนใจอีกฝ่ายในตอนนี้
ลืมพ่อบ้านของคฤหาสน์เจ้าเมืองไปได้เลย แม้เหอเฉียนจะอยู่ที่นี่ หลินจินก็ไม่คิดจะไว้หน้าอีกฝ่ายที่เป็นถึงจักรพรรดิด้วยซ้ำ
นั่นเป็นเพราะว่าหลินจินสัมผัสได้ถึงพลังของสัตว์ปีศาจอันเบาบางที่มาจากด้านล่าง
นี่เรื่องเร่งด่วน
ดังนั้น หลินจินกระโดดและพุ่งทะยานไปข้างหน้า
“หยุดนะ!”
พ่อบ้านตกใจและรีบสั่งสัตว์เลี้ยงของเขาให้หยุดชายคนนั้นทันที อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม คู่หู ของเขาจะไม่ขยับเขยื้อนราวกับว่ามันเป็นอัมพาต
ในชั่วพริบตา หลินจินก็กระโดดลงไปในหลุมลึกแล้วหายลับตาไป
“ท่านเจ้าเมือง ชายคนนั้น…”
“ข้าเห็นแล้ว!” เจ้าเมืองหวังกล่าว
หวังหยวนเฉียวมองเห็นปลอกแขนวงแหวนสัตว์วิเศษที่หลินจินสวมอยู่ก่อนที่เขาจะกระโดดลงไป
ซึ่งมันเป็นวงแหวนสามห่วง