บทที่ 8: การแสวงหาผลประโยชน์
บทที่ 8: การแสวงหาผลประโยชน์
“น้องชาย”
เมื่อเห็นลู่หยวน โดยเฉพาะตะกร้าใบใหญ่บนหลังของเขา เปียวเย่ที่เป็นผู้นำก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที
เขาเดินตรงไปที่ตะกร้าอย่างไม่มีมารยาทและเปิดมันดู เขาผลักหนังกระต่ายที่ไร้ค่าออกไป และเมื่อเขาเห็นหนังของสุนัขป่าที่อยู่ข้างใน ดวงตาของเขาก็ลุกเป็นไฟ เขาคลิกลิ้นด้วยความตกตะลึง “หนังสัตว์ใหญ่สามอัน ครั้งนี้เจ้าได้ของมาค่อนข้างดีนี่”
“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณพรของท่าน เปียวเย่” ลู่หยวนชมเขา แต่ในใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไร
เปียวเย่หัวเราะเบาๆ และวางฝาตะกร้าลงแล้วพูดว่า “เจ้ารู้กฎดี ค่าธรรมเนียมการคุ้มครอง 30% หนังนี่มีมูลค่าประมาณสองตำลึงเงิน ดังนั้นค่าคุ้มครองในครั้งนี้คือ 540 เหรียญ”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อได้ยินราคา หัวใจของลู่หยวนก็รู้สึกราวกับถูกกรีดลึก เขาเกลียดที่ไม่สามารถทุบตีเปียวเย่ลงได้และได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายขูดรีดเขา
แม้ว่าเขาจะเป็นนายพรานและมีทักษะค่อนข้างมาก แต่มันก็เห็นได้ชัดว่ามันยังเป็นเรื่องตลกหากจะคิดว่าเขาสามารถจัดการกับชายร่างกำยำสามคนพร้อมๆ กันได้
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเขาไม่มีทางจะต้านทานพวกมันได้ วิธีเดียวที่จะทำให้เขาสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างปลอดภัยต่อไปก็คือการจ่ายค่าธรรมเนียมให้มันจบๆ
ลู่หยวนหยิบเหรียญ 540 เหรียญออกมาจากกระเป๋าของเขาและนับมันอย่างระมัดระวังก่อนจะส่งมอบให้อีกฝ่าย
เขาได้เตรียมเหรียญเหล่านี้เอาไว้ตั้งแต่นานก่อนลงจากภูเขาแล้ว นี่เป็นเพราะเขารู้ว่าเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าคุ้มครองได้
“นี่คือค่าธรรมเนียมของท่าน เปียวเย่ โปรดรับมันไว้ด้วย”
เปียวเย่ชั่งน้ำหนักเหรียญบนมือของเขา เขาเหลือบมองถุงเงินของอีกฝ่ายที่ยังเหลือเงินอยู่และความโลภก็แวบขึ้นมาในดวงตาของเขา แต่แล้วมันก็หายไปโดยทันที
แม้ว่าจะยังมีเงินเหลืออยู่ในมือของลู่หยวน แต่ผู้คนในสายงานของพวกเขาก็มักจะพยายามมองรายได้ที่มั่นคงในระยะยาวซะมากกว่า
การขูดรีดอีกฝ่ายจนหมดตัวนั้นอาจหมายถึงการปิดหนทางเอาชีวิตของเขาลง และนั่นก็จะทำให้พวกเขาสูญเสียรายได้ในท้ายที่สุด
ท้ายที่สุดแล้ว มันก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถทนต่อการขูดรีดกันแบบนี้ได้
ทุกคนจำเป็นต้องหาเลี้ยงชีพ
ด้วยการบังคับใครสักคนให้ตกต่ำจนไม่เหลือเงินเลย พวกเขาจะอยู่รอดได้อย่างไร?
พวกเขาไม่จำเป็นต้องซื้อข้าว เกลือและของใช้อื่นๆ หรอ? พวกเขาไม่จำเป็นต้องเก็บเงินเพื่อแต่งงานหรือมีลูกใช่ไหม?
ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจนายพรานก็ยังหมายถึงการปะทะกับสัตว์ร้าย การต่อสู้และการฆ่าฟัน ดังนั้นอาชีพนี้จึงมีแนวโน้มที่จะดึงนิสัยโหดร้ายภายในจิตใจของผู้คนออกมา และหากคนเหล่านี้ไม่ได้รับทางออกที่ดี พวกเขาก็อาจคิดสั้นและหันมาเป็นฝ่ายมอบทางออกให้คุณแทน
เปียวเย่ไม่คิดว่าชายร่างเล็กที่ดูขี้กลัวคนนี้จะเป็นคนขี้ขลาดจริงๆ นี่จะต้องเป็นเพียงฉากหน้าการแสดงเท่านั้น
ใครจะรู้ว่าบางทีเจ้าหนูคนนี้อาจกำลังคิดวางแผนใช้มีดจ้วงเขาจนตายอยู่ก็ได้?
ด้วยเหตุนี้เอง เปียวเย่ผู้ชาญฉลาดจึงเก็บเงินลงในกระเป๋าหลังจากยืนยันว่าค่าธรรมเนียมนั้นถูกต้องและตบไหล่ของลู่หยวนด้วยมืออีกข้างของเขา “ไม่เลว เอาล่ะ ไปทำธุระของเจ้าได้แล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ลู่หยวนยังคงฝืนยิ้มต่อไป เขาระงับความอยากที่จะจ้วงชายตรงหน้าเอาไว้
…
หลังจากจ่ายเงินรอบนี้เสร็จ มันก็ไม่มีใครมารบกวนเขาอีก
ลู่หยวนซึ่งแบกหนังไว้เต็มตะกร้ามุ่งหน้าตรงไปยังโรงฟอกหนังที่เขาคุ้นเคย
“เถ้าแก่หลิว ดูสิ หนังเหล่านี้เกือบทั้งหมดยังสมบูรณ์อยู่ มันมีความเสียหายและรอยขีดข่วนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งขนก็ยังเงางามมาก มันเป็นสินค้าที่มีคุณภาพนะ”
ลู่หยวนหยิบหนังหลายอันออกมาจากตะกร้าและเดินไปหาเถ้าแก่ที่ยิ้มแย้มและอ้วนท้วมตรงหน้าเขา
ขณะที่เขาฟัง เถ้าแก่หลิวก็พยักหน้าและแสดงท่าทีเห็นด้วย แต่ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความเจ้าเล่ห์และความโล�
หลังจากที่ลู่หยวนพูดจบ เถ้าแก่หลิวก็แตะหนังสัตว์เหล่านั้นและสัมผัสได้ถึงพื้นผิวที่ละเอียดอ่อนของมัน เขาพูดอย่างสบายใจว่า “หนังเหล่านี้มีคุณภาพสูงจริง แต่ระดับและคุณค่าของมันก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก”
“แม้ว่าคุณภาพของมันจะยอดเยี่ยม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกมันมีคุณค่า”
“นอกจากนี้ หนังบางชิ้นก็ยังไม่สมบูรณ์ด้วยซ้ำ”
หัวใจของลู่หยวนจมดิ่งลง
ความหมายในคำพูดของเถ้าแก่นั้นชัดเจน: เขาพยายามจะกดราคาลง
อย่างไรก็ตาม ลู่หยวนก็ได้คาดการณ์เอาไว้แล้วและพร้อมที่จะตอบรับตราบใดที่มันไม่ต่ำจนเกินไป
ผลก็คือเขาถามตรงๆ ว่า “แล้วท่านยินดีจะจ่ายเท่าไหร่”
เถ้าแก่หลิวหัวเราะเบาๆ และชูสองนิ้ว “สองตำลึงเงิน”
ราคานี้เป็นราคาตลาดจริงๆ เช่นเดียวกับที่เปียวเย่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็เป็นราคาที่ต่ำมากจริงๆ
ลู่หยวนจะไม่ยอมรับสิ่งนี้ ดังนั้นเขาจึงส่ายหัว “มันต่ำเกินไป ท่านต้องเพิ่มอีก ไม่เช่นนั้นข้าขอเอามันไปขายเองดีกว่า”
แม้ว่าโรงฟอกหนังจะเชี่ยวชาญด้านการค้าหนังสัตว์และเป็นโรงฟอกหนังที่ใหญ่ที่สุดในเมือง แต่แม้จะผูกขาดการทำธุรกรรมทุกอย่างเอาไว้อย่างไร แต่ตลาดก็ยังอนุญาตให้ผู้ขายแต่ละรายตั้งจุดขายเป็นของตนเองได้
เนื่องจากลู่หยวนได้จ่ายค่าธรรมเนียมการคุ้มครองให้กับทหารยามที่หน้าประตูเมืองและแก๊งหมาป่าทมิฬไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์จะตั้งแผงขายได้
ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าโรงฟอกหนังจะได้รับการสนับสนุนจากแก๊งหมาป่าทมิฬ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถบังคับให้แก๊งหมาป่าทมิฬลงมือกับคนที่จ่ายค่าคุ้มครองไปแล้วได้
ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงเป็นไปได้ที่ลู่หยวนจะใช้สิทธิ์ต่อรอง
เพื่อประหยัดเงินและเวลา นายพรานส่วนมากจึงมักจะตรงไปที่ร้านค้าใหญ่ๆ เช่นเพื่อทำธุรกรรมขนาดใหญ่ให้จบในครั้งเดียว
แน่นอนว่าหากโรงฟอกหนังกดราคามากเกินไป นายพรานส่วนมากก็จะไม่เต็มใจขายโดยขาดทุน พวกเขายอมเสียเวลาดีกว่าต้องมาเสียเงิน
ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็คือหนังที่พวกเขาเสี่ยงชีวิตเพื่อแลกมันมา แบบนั้นแล้วใครจะยอมขายถูกๆ กันล่ะ?
ผู้จัดการหลิวเข้าใจหลักการนี้ ดังนั้นเขาจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและโบกนิ้วทั้งสองนิ้วที่เขายกขึ้น “ข้าเพิ่มให้ได้มากสุดแค่ 200 เหรียญ”
ลู่หยวนชั่งน้ำหนักความคุ้มค่า จากนั้นเขาจึงพยักหน้า “เอาล่ะ ตกลง”
ใบหน้าของเถ้าแก่หลิวผ่อนคลายลงทันที และเขาสั่งให้พนักงานเอาหนังออกไปในขณะที่เขาหยิบเงินจากเคาน์เตอร์แล้วส่งมอบให้ลู่หยวนเพื่อทำธุรกรรมให้เสร็จสิ้น
ลู่หยวนอดไม่ได้ที่จะบ่นในใจ
เขาจ่าย 100 เหรียญสำหรับค่าเข้าเมืองและ 540 เหรียญสำหรับค่าธรรมเนียมการคุ้มครอง หนังสัตว์ของเขาขายได้ในราคา 2,000 เหรียญ นั่นทำให้เขาทำกำไรได้ทั้งหมด 1,360 เหรียญ
หลังจากคำวณระยะเวลากับเงินที่ได้มาแล้ว
โดยเฉลี่ยแล้ว เขาก็ทำเงินได้น้อยกว่าหนึ่งตำลึงต่อเดือน
แม้แต่คนงานในเมืองที่ทำงานโง่ๆ ก็ยังมีรายได้เดือนละตำลึงกว่า
นี่มัน...
“อย่างที่ฉันคิดไว้ การเป็นนายพรานและคนไร้สัญชาตินี่มันอยู่ยากจริงๆ”
ลู่หยวนถอนหายใจในใจ เขาตั้งใจมากยิ่งขึ้นที่จะเปลี่ยนแปลงสถานะของเขาในปัจจุบันให้ได้โดยเร็วที่สุด
มิฉะนั้นแล้ว การทำสิ่งต่างๆ ก็จะมีปัญหามากเกินไป