บทที่ 5 : ถลกหนัง วางแผนระยะยาว
บทที่ 5 : ถลกหนัง วางแผนระยะยาว
บางทีอาจเป็นเพราะการสังหารอย่างโหดเหี้ยมเมื่อคืนนี้ กลิ่นคาวเลือดอันแรงกล้าจึงทำให้สัตว์ป่าที่อยู่รายล้อมหวาดกลัว และหลังจากที่ฝูงสุนัขป่าจากไป มันก็ไม่มีสัตว์ป่าตัวใดกล้ามารุกรานเขาอีก
ลู่หยวนนอนหลับฝันดีตลอดคืน
เมื่อตื่นขึ้นมา เขาก็ฟื้นคืนสภาพสมบูรณ์ เขารู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า
เขาตักน้ำจากบ่อเพื่อล้างหน้าล้างตัว จากนั้นจึงจุดไฟและเริ่มปรุงอาหารเช้า
ลู่หยวนอาศัยอยู่บนภูเขา ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกมากมายนัก นอกจากข้าวครึ่งชามและผักป่าจำนวนเล็กน้อยแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรอื่นกินอีกแล้ว
โอ้ เดี๋ยวก่อนนะ เขายังมีเนื้อย่างเหลืออยู่อีกเจ็ดชิ้น ซึ่งโดยรวมแล้วมันก็ไม่ได้แย่นัก
ข้าวครึ่งชาม เนื้อย่างหนึ่งถึงสองชิ้นและผักป่าหนึ่งกำมือหนึ่ง สิ่งเหล่านี้สามารถนำไปปรุงเป็นโจ๊กได้
“อืม มีทั้งข้าวและเนื้อ ก็ไม่เลวนะ”
เมื่อมองไปที่ข้าวและเนื้อที่เดือดพล่านอยู่ในหม้อ ลู่หยวนก็พูดติดตลกกับตัวเองอย่างขมขื่นก่อนจะเดินไปที่ทางเข้าถ้ำ
กว่าโจ๊กจะพร้อมกินก็ต้องใช้เวลามากกว่าชั่วโมงหนึ่ง เขาสามารถใช้เวลานี้จัดการกับศพนอกถ้ำก่อนได้
แต่ในขณะที่เขากำลังจะเริ่มเดิน เขาก็หยุดชั่วคราว เขามองไปที่กำแพงหินข้างๆ เขาหยิบธนูล่าสัตว์และมีดสั้นที่เขาใช้เมื่อคืนนี้ขึ้นมา หลังจากที่เขาเก็บอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินออกไปข้างนอก
“ศพทั้งสามน่าจะยังอยู่ข้างนอกนั่น”
ลู่หยวนเดินไปที่หน้าประตู เขามองออกไปข้างนอกผ่านช่องว่างบนประตูไม้ เมื่อมองเห็นศพที่นอนนิ่งอยู่สามศพ เขาก็พยักหน้าเบาๆ
ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นกล้าเข้ามาใกล้อีกหลังจากที่เขาเข้านอนเมื่อคืนนี้
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้ลดความระมัดระวังลงเลย
แม้ว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดกล้ามาแย่งศพทั้งสามนี้ไป แต่ใครจะรู้ว่ามันมีอันตรายอะไรแอบรอเขาอยู่ข้างนอกถ้ำ?
สุนัขป่าเป็นสัตว์ที่เจ้าเล่ห์และโหดร้าย มันมีความอาฆาตแค้นที่แข็งแกร่ง
สิ่งมีชีวิตที่ทำให้พวกมันขุ่นเคืองจะถูกฝูงของพวกมันไล่ฆ่าทันที หรือไม่มันก็จะถูกจดจำไว้และค่อยมาหาทางแก้แค้นในอนาคต
ลู่หยวนได้สังหารสหายของพวกมันลงไปสามตัวเมื่อคืนนี้ เขาพบว่ามันยากที่จะเชื่อว่าสุนัขป่าทั้งสองที่เหลือยอมแพ้ต่อการแก้แค้นอย่างง่ายดาย
“อืม มาดูกันว่าจะมีการซุ่มโจมตีดังรอฉันอยู่รึเปล่า”
หลังจากสังเกตศพได้สักพักแล้ว ลู่หยวนก็หยิบหินขึ้นมาแล้วโยนไปทางด้านนอกประตูไม้
ปัง!
หินตกลงบนพื้นหินและทำให้เกิดเสียงสะท้อนที่ดังชัดเจน
เสียงสะท้อนดังก้องไปตามอุโมงค์และดังออกไปไกลแสนไกล
“หากมีสุนัขป่ารออยู่ข้างนอก พวกมันก็น่าจะได้ยินเสียงนี้แล้ว”
ลู่หยวนมองดูก้อนหินกลิ้งไปมา และหลังจากรอมาเป็นเวลานาน เขาก็หรี่ตาลง “ไม่มีการซุ่มโจมตีดักรออยู่นอกถ้ำจริงๆ หรอ? พวกสุนัขป่าเหล่านั้นจากไปแล้วจริงๆ หรอ?”
ความคิดนี้แล่นเข้ามาในจิตใจของเขา
แต่เพื่อเป็นการกันไว้ก่อน ลู่หยวนจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาอีกสองสามก้อนแล้วโยนมันออกไปข้างนอกผ่านช่องว่างเดิม
คราวนี้เขาใช้กำลังมากขึ้นในการขว้าง มันจึงทำให้ก้อนหินตกลงไปไกลขึ้นและส่งเสียงดังมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะพยายามอยู่หลายครั้ง แต่มันก็ไม่มีเสียงใดดังขึ้นนอกประตูเลย
เมื่อมาถึงจุดนี้ ในที่สุดลู่หยวนจึงยืนยันได้ว่าไม่มีการซุ่มโจมตีรอเขาอยู่ข้างนอกแล้ว
“ดูเหมือนว่าการสังหารเมื่อคืนนี้จะทำให้สัตว์ร้ายเหล่านั้นหวาดกลัวจริงๆ พวกเขาไม่กล้าเดินเตร่ไปมารอบๆ ถ้ำของฉันด้วยซ้ำ”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ เขาก็ยังคงรู้สึกสั่นเล็กน้อยในใจ
มันมีความตื่นตระหนกจากการฆ่า ความกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับอันตราย และความงุนงงต่อสิ่งที่เขาทำลงไป
ในอดีต ลู่หยวนก็ไม่กล้าฆ่าแม้แต่ไก่หรือเหยียบหนอนผีเสื้อด้วยซ้ำ
แต่เมื่อคืนนี้ เขาก็ได้ลงมือปลิดชีพสุนัขป่าลงไปถึงสามตัวโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
เขาได้กระทำการเหล่านั้นอย่างสบายๆ โดยไม่ก่อให้เกิดความกระวนกระวายใจเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาแค่กินและดื่มตามปกติเท่านั้น
“ฉันได้เปิดเผยบุคลิกด้านรุนแรงโดยเนื้อแท้ของฉันออกมาแล้ว หรือสัญชาตญาณของร่างกายดั้งเดิมจะมีอิทธิพลต่อจิตสำนึกส่วนตัวของฉัน หรือจะเป็นทั้งสองอย่างรวมกัน?”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามนี้ ลู่หยวนก็ไม่แน่ใจในคำตอบ
อี๊ด——
ด้วยความพยายามอย่างหนัก เขาดึงกระดานไม้และเสาหินออก จากนั้นเขาก็เปิดประตูและเดินออกสู่โลกกว้าง
เมื่อเดินไปถึงร่างของสุนัข่ป่าและตรวจสอบพวกมันแล้ว ลู่หยวนก็มั่นใจว่าสัตว์เหล่านี้ตายแล้วจริงๆ
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็คว้าศพของสุนัขป่าตัวหนึ่งและเริ่มลากมันไปที่ปากถ้ำ
สถานที่พักอาศัยของลู่หยวนตั้งอยู่ที่ฐานหน้าผา มันล้อมรอบด้วยป่าทึบขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยพืชและดอกไม้ป่านานาชนิด ซึ่งหลายต้นก็สูงกว่ามนุษย์ มันเป็นป่ารกร้างอย่างแท้จริง
ไกลออกไปมีลำธารไหลลงมาจากภูเขา
น้ำจากลำธารใสและหวาน มันหล่อเลี้ยงสรรพสัตว์นับไม่ถ้วนในป่าใหญ่
ขณะนี้พร้อมกับเสียงกระแทกดังตุ้บ ลู่หยวนก็ได้โยนศพสุดท้ายลงไว้ข้างลำธารแล้ว
“หนักเป็นบ้า!”
เมื่อมองดูซากศพที่กระจัดกระจายอยู่แทบเท้าของเขา ลู่หยวนก็เช็ดเหงื่อ หายใจเข้าลึกๆ จากนั้นเขาก็หยิบมีดออกมาจากเอวของเขาแล้วแทงเข้าไปในศพเพื่อเริ่มถลกหนัง
ในบรรดาสัตว์ป่า หนังและขนของสุนัขป่าก็ไม่ได้มีราคาสูงนักเนื่องจากสีและกลิ่นของมัน
อย่างไรก็ตาม หนังของสุนัขป่าก็ยังสามารถสร้างรายได้ให้เขาได้หนึ่งถึงสองตำลึงหากเขาเอาไปขายในตลาด ซึ่งนี่ก็นับว่าค่อนข้างดี
อย่าประมาทเงินสองสามตำลึง!
ตามความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เนื้อหมูหนึ่งโลก็ราคาประมาณ 20 เหรียญ ข้าวสาร 1 โล 3 เหรียญ และตามราคาเงินในปัจจุบัน เงิน 1 ตำลึงก็เท่ากับ 900 เหรียญ ดังนั้นเขาจึงจะสามารถซื้อข้าวได้ถึง 300 โล
ข้าว 300 โลก็เพียงพอแล้วที่จะเลี้ยงผู้ใหญ่ได้หนึ่งปีหากคุณคำนวณมันอย่างระมัดระวัง
แน่นอนว่าในฐานะนายพรานที่เดินทางและใช้ชีวิตอยู่บนภูเขาและต้องต่อสู้กับสัตว์ป่าเป็นประจำ ข้าว 300 โลก็อาจจะไม่เพียงพอ
เจ้าของร่างเดิมต้องการข้าว 1.5 โลและเนื้อสัตว์อีกเล็กน้อยต่อวันเพื่อรักษาพละกำลังในแต่ละวัน
ถึงอย่างนั้น การหาเงินค่าข้าวครึ่งปีได้นั้นก็ถือเป็นรายได้ที่ค่อนข้างมากแล้ว
หลังจากเปลี่ยนมาสู่ชีวิตใหม่ในฐานะนายพราน ตอนนี้ลู่หยวนก็ต้องวางแผนการดำรงชีวิตของเขาในระยะยาว
ตัวตนคนไร้สัญชาติในปัจจุบันของเขาไม่เอื้อต่อการพัฒนาในอนาคต
แต่ถึงอย่างนั้นการเปลี่ยนสถานะจากคนไร้สัญชาติเป็นพลเมืองนั้นก็จำต้องใช้เงิน ด้วยเหตุนี้เอง การทำเงินจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและอยู่ในรายการอันดับต้นๆ ที่เขาขะต้องทำ
“ฉันจำเป็นต้องหาเงิน!”
ลู่หยวนคิดกับตัวเองในขณะที่มีดอันแหลมคมในมือฉีกผิวหนังของสุนัขป่า ความทรงจำของร่างเดิมถูกจุดประกายขึ้นมา และเขาก็ลอกผิวหนังออกจากศพได้อย่างง่ายดาย
ด้วยประสบการณ์ที่เขาจุดประกายขึ้นมา การถลกหนังสุนัขป่าจึงไม่ใช่เรื่องท้าทายอะไรแม้ว่าเขาจะไม่เคยทำกิจกรรมนี้มาก่อนเลยก็ตาม
เวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมง และหนังของสุนัขป่าทั้งสามตัวก็ได้วางเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ข้างๆ เขา...