บทที่ 30: สิ่งที่ตัวเอกต้องเผชิญ
บทที่ 30: สิ่งที่ตัวเอกต้องเผชิญ
ด้วยความคิดของลู่หยุน ออร่าหยางอันบริสุทธิ์และเด็ดเดี่ยวก็ปะทุออกมาจากฝ่ามือของเขาราวกับลูกธนูอันแหลมคม
บู้มมมม! รอยแตกปรากฏขึ้นบนก้อนหินหนัก 300 ปอนด์บนพื้น
“นี่คือออร่าหยางพิสุทธิ์หรอ? มันทรงพลังมาก!”
ลู่หยุนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ
แม้ว่าปริมาณของออร่าหยางพิสุทธิ์จะอยู่ที่ประมาณครึ่งหนึ่งของปราณแท้ก่อนหน้าของเขา แต่มันก็ได้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาขึ้นมาอย่างมากในแบบที่ปราณแท้ก่อนหน้าของเขาไม่สามารถเทียบเคียงได้
เขาไม่เสียเวลาและเพิ่มคะแนนต่อไป
เนื่องจากไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา นั่นจึงหมายความว่าร่างกายของเขาสามารถรับมันได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ
การใช้คะแนนพลังงานอย่างต่อเนื่องสองครั้งส่งผลให้ออร่าหยางพิสุทธิ์ของเขาบรรลุถึงขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อย (1%)
เมื่อจุดตันเถียนของเขาเริ่มเต็มไปด้วยออร่าหยางอันบริสุทธิ์ มันก็เริ่มเปิดเส้นลมปราณเส้นแรก
พรึ่บ!
ด้วยเสียงที่คมชัด เส้นลมปราณเส้นแรกของลู่หยุนก็ถูกเปิดออก และออร่าอันดุดันก็ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเขา
“มันเปิดง่ายขนาดนี้เลยหรอ?” เมื่อรู้สึกถึงออร่าหยางที่เพิ่มขึ้น ลู่หยุนก็มีความสุขมาก
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเส้นลมปราณแล้ว เส้นลมปราณของพวกเขาก็เป็นดั่งแม่น้ำ พลังปราณแท้เปรียบเสมือนน้ำที่ไหล และจุดตันเถียนก็เป็นทะเลสาบที่พลังปราณแท้ไหลเวียนอยู่
เมื่อจำนวนเส้นลมปราณเพิ่มขึ้น พลังปราณแท้ที่หมุนเวียนก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน นั่นจึงส่งผลให้ปริมาณพลังปราณแท้ในจุดตันเถียนสูงขึ้น
ในตอนนี้ ลู่หยุนก็ได้เปิดเส้นลมปราณเส้นแรกแล้ว ออร่าหยางของเขาได้เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันไหลไปตามเส้นลมปราณและเข้าสู่จุดตันเถียนและวนซ้ำไปเรื่อยๆ
หลังจากเส้นลมปราณเส้นแรกถูกเปิดออก ออร่าหยางในจุดตันเถียนก็เคลื่อนไปทางเส้นลมปราณเส้นที่สอง
พรึ่บ!
หลังจากนั้นไม่นาน เส้นลมปราณเส้นที่สองก็เปิดออก และปริมาณออร่าหยางก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
พรึ่บ!
เส้นลมปราณเส้นที่สามถูกเปิดออก
พรึ่บ!
เส้นลมปราณเส้นที่สี่ถูกเปิดออก
เส้นลมปราณสี่เส้นถูกเปิดออกในคราวเดียว!
“ช่างเป็นออร่าหยางอันยิ่งใหญ่!”
ลู่หยุนรู้สึกว่าเขาได้แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม
เส้นลมปราณทั้งสี่เต็มไปด้วยออร่าหยางอันบริสุทธิ์ ราวกับแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่ไหลไปแต่ข้างหน้า
“สมกับที่เป็นวรยุทธ์ชั้นยอดจริงๆ แค่ขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อย มันก็ได้เปิดเส้นลมปราณไปมากถึงสี่เส้นแล้ว แถมออร่าหยางก็ยังทรงพลังมากอีกด้วย!”
ลู่หยุนดีใจมากและรีบเปิดหน้าจอของเขา
[ชื่อ]: ลู่หยุน
[ที่อยู่]: สถาบันศึกษาวรยุทธ์วิญญาณเหิน
[วรยุทธ์]: วิชากระบี่ทลายวายุขั้นสมบูรณ์ (ไม่สามารถพัฒนาได้อีกต่อไป), วิชาฐานรากผสมขั้นรู้แจ้ง (ไม่สามารถพัฒนาได้อีกต่อไป), ออร่าหยางพิสุทธิ์ (ขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อย 1%)
[พรสวรรค์โดยกำเนิด]: ขั้น 5
[ขอบเขตวรยุทธ์]: ขอบเขตเส้นลมปราณขั้นกลาง (สี่เส้นลมปราณ)
[ค่าพลังงาน]: 3
“เอาล่ะ งั้นก็ถึงเวลาไปที่หอคอยหมื่นปรากฎการณ์แล้ว!”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา...
ลู่หยุนปรากฏตัวต่อหน้าหอคอยขนาดใหญ่
มีฝูงชนพลุกพล่านอยู่รอบๆ และลู่หยุนก็ยังมองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยหลายคนจากในมณฑลเมฆาวารี
“ลู่หยุน ด้วยขอบเขตยุทธ์ขั้นกลาง เจ้ายังกล้าคิดที่จะมาท้าทายหอคอยหมื่นปรากฏการณ์อีกหรอ?”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
มันคือมู่ชิงหยุนที่กำลังเดินเข้ามาหาลู่หยุนพร้อมกับแสดงสีหน้าเยาะเย้ย
ในเวลาเดียวกัน ออร่าอันทรงพลังก็ปะทุออกมาจากร่างกายของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตยุทธ์แล้ว และห่างจากขอบเขตเส้นลมปราณไปเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
ลู่หยุนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขาคิดกับตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงต้องมาเจอไอ้เวรนี่ด้วยนะ? เขาอยากถูกฉันตบหน้าแหกมากขนาดนั้นเลยหรอ?”
“น้องมู่ ลู่หยุนเป็นศิษย์ชั้นสูง และเขาก็ถือว่าอาวุโสกว่าเรา เจ้าควรจะแสดงความเคารพเขาหน่อยนะ ไม่เช่นนั้น ระวังเขาอาจทำให้เรื่องมันยุ่งยากสำหรับเจ้าเอาก็ได้”
ทันใดนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก และออร่าอันแข็งแกร่งก็เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเขา
เห็นได้ชัดว่าการฝึกตนของบุคคลนี้ก้าวหน้ากว่าของมู่ชิงหยุน และเขาก็ได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเส้นลมปราณแล้ว
“เฉินเทียนฉี?”
เมื่อเห็นชายหนุ่มคนนี้ ลู่หยุนก็เริ่มนึกชื่อของเขาในใจ และเขาก็จำชื่อนั้นได้สำเร็จ
เฉินเทียนฉีทำงานผลงานได้ดีในการประเมิน ด้วยพรสวรรค์โดยกำเนิดระดับ 4 ดาวขั้นสูง พรสวรรค์โดยกำเนิดของเขาอยู่ต่ำกว่าเสี่ยวเฉินและลู่หยุนเท่านั้น
สำหรับความแข็งแกร่งของเขา เขาก็ได้มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตยุทธ์แล้ว โดยได้คะแนน 91 คะแนนจากเสาวัดความแข็งแกร่ง นั่นจึงทำให้เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองในบรรดาศิษย์จากมณฑลเมฆาวารี
“โอ้? ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่า 'พี่ใหญ่ลู่' จะจำน้องชายตัวน้อยเช่นข้าได้ด้วย นี่ค่อนข้างทำข้าตกใจเลยนะเนี่ย”
เฉินเทียนฉีเน้นหนักไปที่คำว่า 'พี่ใหญ่ลู่' เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบตัวเขา
“ตำแหน่งศิษย์ชั้นสูงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะผู้มาใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่สถาบันศึกษาวรยุทธ์ได้ไม่นาน อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่สามารถทะลวงผ่านขอบเขตเส้นลมปราณได้ภายในหนึ่งปี พวกเขาก็จะถูกลดระดับลงเป็นศิษย์ธรรมดา” มู่ชิงหยุนแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจคำพูดของเฉินเทียนฉีและพูดประชด
“น้องมู่ อย่าลืมสิว่าลู่หยุนของเราเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิดระดับ 5 ดาว การบุกเข้าสู่ขอบเขตเส้นลมปราณนั้นง่ายดายเหมือนกับการดื่มน้ำสำหรับเขา จริงไหมพี่ลู่?”
“แน่นอนข้ารู้เรื่องนี้ดี แต่นั่นจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อเขามีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น มิฉะนั้นเขาก็คงจะไม่สามารถทะลวงผ่านจากขอบเขตยุทธ์ขั้นกลางไปสู่ขอบเขตเส้นลมปราณได้ภายในหนึ่งปีหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เมื่อเห็นทั้งสองคนหาเรื่องทะเลาะกัน ลู่หยุนก็รู้สึกพูดไม่ออกในใจ
นี่ตัวเอกจากนิยายเรื่องอื่นๆ ก็มักจะต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเช่นนี้อยู่เสมอเลยหรอ?
อย่างไรก็ตาม ทำไมเขาถึงโดนกัน?
ประการแรก เขาไม่เคยไปทำให้พวกเขาขุ่นเคือง
ประการที่สอง พรสวรรค์โดยกำเนิดของเขาก็ไม่ได้แย่เลย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็กลับยังคิดที่จะมาดูถูกเขาโดยไม่มีเหตุผลอีก ซึ่งนี่ก็ค่อนข้างแปลก
เป็นไปได้ไหมที่ผู้ข้ามภพทุกคนจะต้องถูกล้อเลียนและต้องออกมาพิสูจน์ตัวเองเพื่อแสดงเอกลักษณ์ของการเป็นตัวเอก?
“ลู่หยุน เจ้าควรกลับไปฝึกฝนให้ดีก่อนที่จะมาที่หอคอยหมื่นปรากฎการณ์นะ ไม่เช่นนั้นเจ้าก็จะทำให้มณฑลเมฆาวารีต้องเสียชื่อ!” มู่ชิงหยุนพูดอย่างเย็นชา
“โอ้? ทำไมข้าถึงทำให้มณฑลเมฆาวารีเสียหน้ากัน?” ลู่หยุนอดไม่ได้ที่จะถาม
“ลองคิดดูสิ อัจฉริยะที่น่าภาคภูมิใจซึ่งมีพรสวรรค์ชั้นยอดเป็นอันดับสองของมณฑลเมฆาวารีไม่สามารถผ่านแม้แต่ชั้นแรกของหอคอยหมื่นปรากฎการณ์ได้ นั่นจะไม่นำความอับอายมาสู่มณฑลเมฆาวารีทั้งหมดหรอกหรอ?”
“ถ้ามันเกิดอะไรแบบนั้นขึ้น มันก็ควรเป็นข้าที่เสียหน้า ไม่ใช่มณฑลเมฆาวารีสิ แบบนี้แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
ลู่หยุนพูดอย่างสงบก่อนที่จะเดินผ่านมู่ชิงหยุนและเฉินเทียนฉีไปยังทิศทางของหอคอยหมื่นปรากฎการณ์
พรึ่บ!
จู่ๆ มู่ชิงหยุนก็วิ่งมาปรากฏตัวต่อหน้าลู่หยุนเพื่อขวางเส้นทางของเขา และเยาะเย้ยว่า “ถ้าเจ้าสามารถทนการโจมตีของข้าหนึ่งกระบวนท่าได้ ข้าจะให้เจ้าเข้าไปในหอคอยหมื่นปรากฏการณ์ เอาแบบนี้เป็นไงล่ะ?”
นับตั้งแต่การสอบเริ่มต้นขึ้น มู่ชิงหยุนก็เก็บงำความไม่พอใจที่เขามีต่อลู่หยุนเอาไว้มาโดยตลอด แต่กระนั้นเขาก็ไม่พบโอกาสที่เหมาะสมเลย และในตอนนี้ เมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับลู่หยุนในสถานที่ดังกล่าว เขาจึงต้องการจะหาเรื่องอีกฝ่ายโดยธรรมชาติ
“น้องมู่ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เราทุกคนมาจากมณฑลเมฆาวารี เจ้าอย่าทำร้ายความสามัคคีของเราสิ!”
เฉินเทียนฉียืนอยู่ด้านข้างและดูละครสั้น เขากอดอกและยิ้มเยาะ
“เพราะเราทุกคนมาจากมณฑลเมฆาวารีนี่ไง ข้าถึงต้องทดสอบความแข็งแกร่งของเขา” มู่ชิงหยุนพูดแทรก จากนั้นเขาก็มองไปที่ลู่หยุนและพูดว่า “เจ้าคงจะไม่สามารถรับมือการโจมตีของข้าได้แม้แต่กระบวรท่าเดียวสิท่า? ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ควรจะกลับไปได้แล้ว!”
ลู่หยุนเหลือบมองมู่ชิงหยุนตรงหน้าเขา จากนั้นเขาก็มองไปที่เฉินเทียนฉีที่กำลังยืนนิ่งอยู่ข้างสนาม เขาส่ายหัวเล็กน้อยและพูดอย่างใจเย็นว่า “เจ้ารู้ไหมว่าตัวตลกมันหมายความว่าไง?”
มู่ชิงหยุนผงะไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คาดหวังว่าลู่หยุนจะสงบสติอารมณ์เมื่อเผชิญหน้ากับการยั่วยุและการเยาะเย้ยของเขา
“เจ้ากำลังจะหาว่าเราเป็นตัวตลกงั้นหรอ?” เมื่อตระหนักได้ว่าลู่หยุนหมายถึงอะไร มู่ชิงหยุนก็โกรธจัด
“ตัวตลกหมายถึงคนที่แทบไม่มีกำลังเลย แต่กลับแสดงท่าทีเย่อหยิ่ง และชอบกระทำสิ่งต่างๆ อย่างโง่เขลา ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว คนพวกนี้ก็มักจะมัวแต่หาเรื่องตาย”
คำพูดของลู่หยุนทำให้ใบหน้าของมู่ชิงหยุนเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มโดยทันที
“ฮึ่ม มาดูกันว่าใครคือตัวตลกตัวจริง!” มู่ชิงหยุนตะคอกกลับอย่างเย็นชา ออร่าขอบเขตยุทธ์ขั้นสูงสุดอันทรงพลังระเบิดออกมาในขณะที่เขาพุ่งตรงไปที่ลู่หยุนด้วยความเร็วปานสายฟ้า
“ฮึ่ม เพียงเพราะว่าเจ้ามีพรสวรรค์ เจ้าอย่าคิดนะว่าเจ้าจะไร้เทียมทาน!” ใบหน้าของเฉินเทียนฉีมืดมนในขณะที่เขาเฝ้าดูลู่หยุนอย่างเย็นชา เขากำลังรอดูความอัปยศอดสูของอีกฝ่าย
คนอื่นๆ เองก็รอชมการแสดงดีๆ อยู่เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงมารวมตัวกันโดยรอบ
ความโกรธและความอิจฉาของมู่ชิงหยุนปะทุขึ้นจนแทบจะระเบิดออกมาจากภายในทรวง เขารีบพุ่งไปต่อหน้าลู่หยุนและชกหมัดหนักใส่เขา การโจมตีอันทรงพลังพุ่งออกมาและทำให้เกิดเสียงที่น่าอัศจรรย์
บู้มมมม!
ทันใดนั้นก็มีเสียงหมัดกระแทกดังขึ้น และมันก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจ พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังปราณอันรุนแรงที่จู่ๆ ก็ปะทุขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยภาพมู่ชิงหยุนที่ถูกส่งกระเด็นออกไปและกระแทกลงกับพื้นอย่างหนักก่อนจะไถลออกไปไกลกว่าสิบเมตรต่อ ช่องท้องของเขามีรอยยุบเล็กน้อย และมีเลือดไหลออกมาจากปากของเขา
ลู่หยุนชักมือขวากลับไปอย่างใจเย็น เขามองไปที่เฉินเทียนฉีที่กำลังประหลาดใจโดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว จากนั้นเขาก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองพวกเขาอีกต่อไป
บางครั้งการมองเพียงครั้งเดียวก็อาจน่ากลัวยิ่งกว่าคำพูดที่รุนแรงนับร้อยพัน!