บทที่ 29: อัพเกรดออร่าหยางพิสุทธิ์
บทที่ 29: อัพเกรดออร่าหยางพิสุทธิ์
[ชื่อ]: ลู่หยุน
[ที่อยู่]: สถาบันการต่อสู้จิตวิญญาณบิน
[วรยุทธ์]: วิชากระบี่ทลายวายุขั้นสมบูรณ์ (ไม่สามารถพัฒนาได้อีกต่อไป), วิชาฐานรากผสมขั้นรู้แจ้ง (ไม่สามารถพัฒนาได้อีกต่อไป), ออร่าหยางพิสุทธิ์ (ขั้นต้น)
[พรสวรรค์โดยกำเนิด]: ขั้น 5
[ขอบเขตวรยุทธ์]: ขอบเขตเส้นลมปราณขั้นต้น
[ค่าพลังงาน]: 33
เมื่อเห็นหน้าจอที่ธรรมดาและเรียบง่าย ลู่หยุนก็เข้าใจว่านี่เป็นพื้นฐานสำหรับการตั้งหลักของเขาในโลกนี้ และเขาก็จำเป็นต้องศึกษาและใช้ประโยชน์จากมันให้ดี
ขณะนี้ เวลาในการสะสมคะแนนพลังงานก็สั้นลง
นี่หมายความว่าตราบใดที่รากฐานการฝึกฝนของเขามีระดับสูง ระยะเวลาในการสะสมพลังงานก็จะลดลงใช่ไหม?
หากเป็นเช่นนั้น ความเร็วในการได้รับคะแนนพลังงานในอนาคตก็จะลดลงอย่างมาก
“หน้าที่หลักของมันในปัจจุบันคือการแปลงคะแนนพลังงานให้เป็นความแข็งแกร่ง และรองลงมาก็คือการแปลงสมบัติให้กลายเป็นคะแนนพลังงาน”
ลู่หยุนพึมพำแล้วเตรียมที่จะเริ่มการอัพเกรดวิชาออร่าหยางพิสุทธิ์ของเขา
หากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของเขาพุ่งสูงขึ้นมากจนเขาปรับตัวตามไม่ทันก่อนหน้านี้ เขาก็คงจะเริ่มเปิดเส้นลมปราณในร่างกายของเขาไปนานแล้ว
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งเดือน เขาก็ได้ปรับตัวและสามารถควบคุมพลังในร่างกายของเขาได้อย่างเต็มที่แล้ว
เรียกได้ว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว มันเหลือเพียงแค่รอจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น!
แต่ถึงอย่างนั้น...
ก็อก! ก็อก!
ทันใดนั้นประตูบ้านของเขาก็ถูกเคาะ
ลู่หยุนขมวดคิ้ว เนื่องจากเขาแทบจะไม่ได้ติดต่อกับคนอื่นๆ เลยนับตั้งแต่มาที่สถาบันศึกษาวรยุทธ์ ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะมีใครมาตามหาเขาได้
แม้จะมีข้อสงสัย แต่เขาก็ยังคงออกไปเปิดประตู
เอี๊ยด!
ลู่หยุนเปิดประตูและเห็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสมส่วนและมีใบหน้าที่เย็นชากำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“คารวะผู้อาวุโสจาง!”
ผู้มาเยือนมีชื่อว่าจางจื่อเฉิง ซึ่งเป็นผู้อาวุโสในสถาบันศึกษาวรยุทธ์ เขารับผิดชอบด้านการฝึกฝนและชีวิตประจำวันของลูกศิษย์ใหม่ในรุ่นของลู่หยุน
ลู่หยุนไม่ได้รู้จักกัยจางจื่อเฉิงดีนัก พวกเขาเคยพบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก่อนหน้านี้ ดังนั้นการมาเยี่ยมอย่างกะทันหันของอีกฝ่ายจึงเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดสำหรับเขา
เมื่อเห็นลู่หยุนออกมา ใบหน้าที่เย็นชาของจางจื่อเฉิงก็ค่อยๆ อ่อนลง และดวงตาของเขาก็สั่นไหว
ทันใดนั้น ลู่หยุนก็รู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังมองทะลุผ่านร่างกายของเขา
“เจ้าคือลู่หยุนใช่ไหม? ทำไมข้าไม่เคยเห็นเจ้าในห้องบรรยายเลย?”
“เจ้าคิดว่าการฝึกฝนด้วยตัวเองจะเหนือกว่าการฟังการสอนของอาจารย์สถาบันศึกษาวรยุทธ์ได้อย่างงั้นรึ? หรือเจ้าคิดว่าเจ้ามีพลังมากพอที่จะไม่ต้องเข้าไปฟังบรรยายอีกต่อไปแล้วกัน?”
แม้ว่าใบหน้าของจางจื่อเฉิงจะไม่ได้ดูเย็นชาเหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงดุลู่หยุนอย่างดุเดือด
“ศิษย์เพิ่งได้รับรางวัลการประเมินมา ดังนั้นรากฐานการฝึกฝนของศิษย์จึงยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนสำคัญของการทะลวง ด้วยเหตุนี้เอง ศิษย์จึงจำเป็นต้องใช้เวลาสักพักในการฝึกฝนเดี่ยว” ลู่หยุนพูดด้วยน้ำเสียงสงบขณะที่ปล่อยออร่าของเขาออกมาเล็กน้อย
เขาได้ใช้เวลาปรับตัวกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาอยู่นาน ด้วยเหตุนี้เอง ตอนนี้เขาจึงสามารถควบคุมความแข็งแกร่งและออร่าพลังของเขาได้ตามต้องการแล้ว และถ้าเขาไม่เคลื่อนไหว คนส่วนใหญ่ก็จะไม่มีทางสังเกตเห็นมันได้
เขาไม่แน่ใจว่าจางจื่อเฉิงรู้เกี่ยวกับขอบเขตวรยุทธ์ของเขาหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงแสดงมันออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในฐานะผู้อาวุโสของสถาบันศึกษาวรยุทธ์ จางจื่อเฉิงก็สามารถมองกลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ของลู่หยุนออกได้อย่างง่ายดายและหัวเราะในใจ
ด้วยความแข็งแกร่งและขอบเขตของเขา เขาก็สามารถเข้าใจขอบเขตวรยุทธ์ของลู่หยุนได้ด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอย่างรวดเร็วของลู่หยุนก็ทำให้เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็น
“ข้าจำได้ว่าเจ้าอยู่ในขอบเขตยุทธ์ขั้นกลางเท่านั้นในตอนที่เจ้าเข้ามา แต่ตอนนี้ ในเวลาเพียงครึ่งเดือน เจ้าก็ได้ทะลวงผ่านขอบเขตเส้นลมปราณแล้ว แม้ว่าเจ้าจะกินยาชะล้างกายาจนหมดทั้งสามขวด แต่มันก็ไม่ควรจะทำให้เจ้าทะลวงผ่านขอบเขตได้เร็วขนาดนี้สิใช่ไหม?”
“ข้าได้แลกเปลี่ยนยาเส้นลมปราณ 1 ขวดกับพี่ใหญ่ต้วนชิงและได้รับยาชะล้างกายาเพิ่มเติมมาอีก 6 ขวด นอกจากนี้ ข้าก็ยังฝึกฝนอย่างหนักมาหลายวันโดยแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน ดังนั้นข้าจึงสามารถบรรลุผลลัพธ์เช่นนี้ได้” ลู่หยุนอธิบาย
ในตอนแรก เขาก็ต้องการจะรออีกสักพักก่อนที่จะแสดงความแข็งแกร่งออกมา แต่เนื่องจากอีกฝ่ายมาหาเขาเองแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ต้องรอนานขนาดนั้นอีกต่อไป
จางจื่อเฉิงพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“ถึงอย่างนั้น ความก้าวหน้าของเจ้าในเวลาอันสั้นนั้นก็คงจะต้องแลกมากับการทำงานอย่างหนักมากอย่างแน่นอน มิฉะนั้นแล้ว มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้สำหรับเจ้าที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิดระดับ 5 ดาวที่จะสามารถทะลวงมาถึงขอบเขตเส้นลมปราณได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้”
“บนเส้นทางแห่งวรยุทธ์ เราต้องสร้างจุดสมดุลระหว่างความมุมานะและการผ่อนคลาย แม้ว่าการฝึกฝนอย่างสันโดษจะสามารถนำไปสู่ความก้าวหน้าที่ดีในระยะเวลาอันสั้นได้ แต่มันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการจะไปถึงจุดสูงสุด”
“ต่อไปเจ้าจะต้องจัดเวลามาเข้าร่วมฟังการบรรยายและฟังข้อมูลเชิงลึกของอาจารย์ในสถาบันศึกษาวรยุทธ์ด้วย การรับฟังและดูดซับประสบการณ์ของพวกเขาจะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนและการเติบโตในอนาคตของเจ้าเอง”
หลังจากกล่าวชื่นชมสั้นๆ แล้ว จางจื่อเฉิงก็กลับมาที่หัวข้อหลักอีกครั้ง
ในสายตาของจางจื่อเฉิง ความก้าวหน้าของลู่หยุนก็บ่งบอกถึงพรสวรรค์โดยกำเนิดระดับ 5 ดาวขั้นสูง ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีศิษย์ที่มีพรสวรรค์ระดับ 5 ดาวขั้นกลางคนอื่นๆ ที่มีความก้าวหน้าเช่นนี้ภายในครึ่งเดือน
ความคาดหวังที่เขามีต่อลู่หยุนเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
“นอกจากห้องบรรยายแล้ว หอคอยหมื่นปรากฎการณ์ก็ยังเป็นสถานที่ที่เจ้าควรไปอีกด้วย”
“หอคอยหมื่นปรากฏการณ์?” มีประกายแวววาวในดวงตาของลู่หยุน
มีการระบุไว้ในคู่มือลูกศิษย์ว่าหอคอยหมื่นปรากฏการณ์นั้นมีสามสิบชั้น และเมื่อผ่านแต่ละชั้นได้ พวกเขาก็ได้รับคะแนนการมีส่วนร่วม
ภายในสถาบันศึกษาวรยุทธ์ คะแนนการมีส่วนร่วมก็เป็นสื่อกลางในการทำธุรกรรมทั้งหมด และเหรียญเงินก็ไม่มีประโยชน์ที่นี่
เขาต้องการคะแนนบการมีส่วนร่วมเพื่อแลกกับยาและทรัพยากรต่างๆ
เดิมที เขาก็วางแผนที่จะเข้าไปในหอคอยหมื่นปรากฏการณ์ทันทีหลังจากพัฒนาวิชาออร่าหยางพิสุทธิ์ของเขาเสร็จ
แต่โดยไม่คาดคิด จางจื่อเฉิงก็ได้กล่าวถึงมันในครั้งนี้
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของลู่หยุน จางจื่อเฉิงก็นึกว่าอีกฝ่ายหวาดกลัวหอคอยหมื่นปรากฎการณ์ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะอธิบายเพิ่มเติม
“สำหรับศิษย์สถาบันศึกษาวรยุทธ์แล้ว หอคอยหมื่นปรากฏการณ์ก็ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่สำหรับการประเมินประจำปีเท่านั้น”
“นอกจากนี้ มันยังเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในการฝึกฝนอีกด้วย ด้วยการต่อสู้กับสัตว์อสูรที่ปรากฏขึ้นข้างในหอคอย เจ้าก็จะสามารถฝึกฝนวรยุทธ์และเพิ่มความแข็งแกร่งของเจ้าขึ้นมาได้อย่างเต็มที่”
“เนื่องจากเจ้าเพิ่งก้าวหน้า เจ้าจึงสามารถลองเข้าไปในหอคอยหมื่นปรากฎการณ์นี้ได้ มันจะสามารถช่วยปรับปรุงความแข็งแกร่งของเจ้าได้เป็นอย่างมาก”
ในอดีต เขาคงไม่ใส่ใจที่จะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นพัฒนาการที่สำคัญของลู่หยุนในเวลาเพียงครึ่งเดือน มันก็ชัดเจนแล้วว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่มีศักยภาพ เขาอาจเจริญรุ่งเรืองและเติบใหญ่ในอนาคตได้
การช่วยเหลือเขาในช่วงที่เขายังอ่อนแอนั้นก็เหมือนกับการส่งถ่านให้ก่อนหิมะตก
บางทีในอนาคตเมื่อลู่หยุนแข็งแกร่งขึ้น เขาก็อาจจะจดจำความโปรดปรานในอดีตได้ และนำผลตอบแทนและการช่วยเหลือจำนวนมากมาให้เขา
ด้วยความคิดนี้ การจ้องมองของเขาที่มีต่อลู่หยุนจึงค่อยๆ อ่อนลง
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่าน ผู้อาวุโสจาง” ลู่หยุนแสดงความขอบคุณด้วยการโค้งคำนับ
“เอาล่ะ เจ้าฝึกฝนต่อไปเถอะ จงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและกลายเป็นศิษย์ตำหนักดาราให้ได้เร็วๆ” เมื่อพูดจบ จางจื่อเฉิงก็จากไป
ลู่หยุนจมอยู่กับความคิดลึกๆ ภายในลานบ้าน
“ดูเหมือนฉันจะระมัดระวังมากเกินไป”
จางจื่อเฉิงในฐานะผู้อาวุโสดูจะประหลาดใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้นกับการก้าวหน้าของลู่หยุนในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้
หรือบางทีมันอาจจะมีศิษย์ในสถาบันที่เคยประสบความสำเร็จแบบเดียวกันมาก่อน?
“บางทีในอนาคตฉันอาจจะสามารถเปิดเผยพลังออกมาได้มากขึ้นก็ได้”
ลู่หยุนแอบวางแผนอยู่ในใจ
ด้วยคะแนนพลังงานที่เหลืออยู่อีก 33 คะแนน เขาวางแผนที่จะอุทิศพวกมันทั้งหมดให้กับออร่าหยางพิสุทธิ์ เมื่อความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาขึ้น เขาก็จะค่อยมุ่งหน้าไปยังหอคอยหมื่นปรากฏการณ์
ลู่หยุนเริ่มนึกถึงรายละเอียดของออร่าหยางพิสุทธิ์
เหตุผลที่ออร่าหยางพิสุทธิ์นั้นมีความท้าทายในการฝึกนั้นก็เป็นผลมาจากการที่เขาจะต้องเปลี่ยนพลังปราณแท้ในจุดตันเถียนให้กลายเป็นออร่าหยาง ซึ่งมันก็เป็นงานที่ยากมากสำหรับผู้มีพรสวรรค์หลายๆ คน
อย่างไรก็ตาม นี่ก็ค่อนข้างง่ายสำหรับลู่หยุน
“อัพเกรด!”
คะแนนพลังงาน 10 คะแนนถูกใช้ไปในทันที และออร่าหยางพิสุทธิ์ก็ได้อัพเกรดเป็นขั้นต้น (1%)
ในขณะนี้ พลังปราณแท้ภายในจุดตันเถียนของเขาก็เริ่มได้รับการเปลี่ยนแปลงในแง่ของคุณภาพ
กระบวนการเปลี่ยนแปลงกินเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะหยุดลงในที่สุด ออร่าอันกว้างใหญ่ระเบิดออกมาจากร่างของลู่หยุนและเติมเต็มทั่วทั้งลานบ้าน...