ตอนที่ 29 : ความฝัน…?
“คุณเฉินโม่ สัตว์วิญญาณของคุณดูเหมือนจะกินลูกอมนมน้ําผึ้งเป็นจํานวนมากทุกครั้งก่อนการแข่งขัน ไม่ทราบว่ามันมีส่วนช่วยในการต่อสู้ของสัตว์วิญญาณของคุณบ้างหรือไม่คะ?”
เฉินโม่ "ในลูกอมนมน้ําผึ้งมีน้ําตาล ซึ่งสามารถทําให้สัตว์วิญญาณตื่นตัวได้ดีครับ แน่นอนว่าสิ่งที่สําคัญที่สุดคือขนมนี้มีรสชาติที่ดี"
เฉินโม่ไม่ได้คาดหวังว่าคําถามแรกที่นักข่าวถามออกมาจะเกี่ยวกับลูกอม ดังนั้นเขาจึงตอบแบบสุ่มๆกลับไป
คลื่นลูกนี้ กลับเป็นลูกอมนมน้ำผึ้งที่คว้าชัยชนะไป
คงจะสนุกน่าดูถ้ายอดขายขนมนมน้ําผึ้งพุ่งสูงขึ้นหลังจากสัมภาษณ์นี้ออกอากาศ และเขาสามารถทําให้ขนมนมน้ําผึ้งนี่กลายเป็นที่นิยมได้เพราะตัวเอง
ให้ตายเถอะ ฉันควรขอส่วนแบ่งจากผู้ผลิตด้วยใช่ไหมนะ!
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เฉินโม่ก็พูดติดตลกออกมา
“ผู้ผลิตลูกอมนมน้ําผึ้งช่วยชําระค่าธรรมเนียมการโฆษณาให้ผมหลังจบสัมภาษณ์นี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”
“สหายเฉินโม่ คุณตลกมากจริงๆ แต่ฉันได้ยินมาจากเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายของคุณว่าคุณไม่มีแม้แต่สัตว์วิญญาณในพันธะสัญญาก่อนวันหยุดฤดูร้อนที่ผ่านมา คุณสามารถพัฒนาสัตว์วิญญาณให้มาถึงขั้นนี้ได้อย่างไรในระยะเวลาเพียงแค่สองเดือนคะ?” เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนนี้ทําการบ้านของเธอมาอย่างดีก่อนการสัมภาษณ์
“นอกเหนือจากความสามารถที่ดีของเสี่ยวจูเองแล้ว สิ่งที่สําคัญกว่านั้นคือบทเรียนที่พี่ชายของเรามอบให้กับผมและเสี่ยวจูครับ หลังจากที่เข้าร่วมยิมอสนีบาตไปแล้ว พลังของเสี่ยวจูก็ตื่นขึ้นที่นั่นด้วยเช่นกันครับ” เฉินโม่จําได้ว่ารุ่นพี่ฉีได้ขอให้เขาช่วยโปรโมตยิมอสนีบาต
โอกาสมาถึงแล้ว!
หากการสัมภาษณ์นี้ออกอากาศไป ต้องมีหลายคนที่แห่ไปที่ยิมอสนีบาตเพื่อสมัครเรียนอย่างแน่นอน
ถึงเวลานั้นพี่ใหญ่ก็จะสามารถสอนนักเรียนได้มากขึ้น และเขาคิดว่าพี่ใหญ่คงจะรู้สึกขอบคุณเขาในใจอย่างแน่นอน!
จากนั้นนักข่าวก็ถามคําถามอื่นๆ เช่น "คุณมีแฟนรึยัง?" และ "สเปคผู้หญิงเป็นแบบไหน?" หลังจากที่เฉินโม่ตอบกลับไปทีละคำถาม ในที่สุด การสัมภาษณ์ก็สิ้นสุดลง
หลังจากจบพิธีมอบรางวัล เงินรางวัลก็ถูกโอนเข้ามายังบัญชีของเฉินโม่โดยตรง
เมื่อมองไปที่เงินที่เพิ่มขึ้นมาอีก 100,000 หยวน เฉินโม่ก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น
“เสี่ยวจู! วันนี้ไปทานอาหารเย็นมื้อใหญ่กันเถอะ!”
"หงิง!"
หลังจากที่หนึ่งคนและหนึ่งสัตว์วิญญาณเพลิดเพลินกับอาหารที่ร้านอาหารหรูหราแห่งหนึ่งจนอึ่มหนำสำราญ พวกเขาก็กลับมาที่ยิมอสนีบาตอีกครั้งในตอนบ่าย
"น้องชาย ทำได้ดีมาก!" รุ่นพี่หลินหลานยกนิ้วให้เฉินโม่ เขาได้ดูการแข่งขันของเฉินโม่ผ่านการถ่ายทอดสดแล้ว
ไม่คิดเลยว่า เจ้าจิ้งจอกเพลิงจะสามารถผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศทั้งๆที่ความแข็งแกร่งของมันอยู่ในระดับปลุกพลังเท่านั้นเอง
"ขอบคุณครับ!"
“น่าเสียดายที่ฉันก็ได้อันดับสองเมื่อปีที่แล้ว ดูเหมือนว่าตําแหน่งที่ดีที่สุดที่ยิมของเราทำได้ จะอยู่แค่อันดับสองเท่านั้นเองสินั” ฉีพินถอนหายใจ
“ครูหลิน มีคนมาลงทะเบียนอีกแล้วครับ ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการมาสมัครเรียนกับคุณโดยเฉพาะเลยด้วยครับ”
ในขณะนั้นเอง ได้มีพนักงานคนหนึ่งวิ่งเข้ามาและตะโกนเรียกหลินหลาน
"ทําไมมีคนมาอีกแล้ว!" หลินหลานรู้สึกหดหู่และสับสนเล็กน้อย
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนจํานวนมากมาที่โรงยิมเพื่อลงทะเบียนเรียนในวันนี้
เขาดูแค่ส่วนที่เฉินโม่ทำการแข่งขันเท่านั้น เลยยังไม่ได้ดูการสัมภาษณ์หลังจากนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงอยากจะแทงเฉินโม่ให้พรุน!!
"กําลังไปแล้ว" หลินหลานถอนหายใจ การเพิ่มขึ้นของนักเรียนก็หมายความว่าภาระงานของเขาก็จะต้องมากขึ้นเช่นกัน
"ไอ้บ้า ฉันไม่อยากสอนแล้ว!"
—
หลังจาก Young Eagle Cup จบลง ก็เหลือเวลาอีกเพียงแค่สองวันก่อนที่จะเปิดภาคเรียน
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เฉินโม่และจิ้งจอกเพลิงก็ยังคงเก็บตัวฝึกซ้อมอย่างหนักในยิมอสนีบาต
ในช่วงเวลานั้น เขาได้รับข่าวจากครูประจําชั้นว่าใบสมัครเพื่อเข้าร่วมคลาสที่ 1 ของเขาได้รับการอนุมัติแล้ว เขาสามารถไปรายงานตัวที่คลาสที่ 1 ได้เลยหลังจากเปิดภาคเรียน
นอกจากนี้ ในช่วงสองวันที่ผ่านมา ยังมีตัวแทนจากบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมถึงสํานักหยูหลิง ที่ติดต่อเข้ามาหาเฉินโม่เพื่อทาบทามเขา
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขที่บริษัทอื่นๆเสนอมานั้นยังไม่ดีเท่ากับเงื่อนไขที่เสนอโดยบริษัทหงเหมิง และเรื่องที่สําคัญที่สุดคือพวกเขาไม่ได้สนใจที่จะช่วยรักษาโรคมะเร็งให้แก่คุณยายของเขา
คุณค่าที่เฉินโม่แสดงออกมาในตอนนี้ คงจะไม่เพียงพอให้พวกเขาทุ่มทุนให้มากขนาดนั้นล่ะมั้ง
ดังนั้นสิ่งเดียวที่เขาควรให้ความสนใจในตอนนี้คือจะค่อยๆเรียนต่อไปทีละขั้นหรือไปทำงานกับบริษัทหงเหมิงและกลายเป็นพนักงานบริษัทคนหนึ่งดี
"โยนเหรียญดีไหมนะ? เสี่ยวจู เธอคิดว่ายังไง?"
"หงิง!" (แล้วแต่เฉินโม่เลย!) จิ้งจอกตัวน้อยเอียงศีรษะ แม้ว่ามันจะไม่รู้ว่าทางเลือกไหนที่ดีกว่า แต่ไม่ว่าเฉินโม่จะเลือกอะไร มันก็พร้อมที่จะไปด้วยกันกับเขา
"หัวเหรียญต่อที่โรงเรียน ก้อยไปทำงาน เอาล่ะนะ"
เฉินโม่ดีดเหรียญขึ้นไปในอากาศ แต่ในขณะที่เหรียญกำลังลอยอยู่นั้น เขาก็ได้คําตอบในใจแล้ว
"ถ้าอย่างนั้นก็ไปทำงานที่บริษัทหงเหมิง!"
อันที่จริง สําหรับปรมาจารย์วิญญาณส่วนใหญ่ หลังจากที่สัตว์วิญญาณของพวกเขาพัฒนาไปจนถึงระดับพิเศษ การเดินทางไปโลกวิญญาณย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
พลังจิตวิญญาณในดาวสีน้ำเงินนั้นเบาบางเกินไป เว้นแต่ว่าคุณจะหมกตัวอยู่ในสนามฝึกอบรมพิเศษหรือใช้วัสดุทางจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ไม่อย่างนั้น ระดับการเติบโตของสัตว์วิญญาณของคุณก็จะค่อยๆช้าลงๆ
นี่คือเหตุผลที่มหาวิทยาลัยหยูหลิงส่วนใหญ่ในต้าเซี่ยตะวันออกก่อตั้งขึ้นใกล้กับประตูของโลกวิญญาณ รวมถึงมหาวิทยาลัยหยูหลิงบางแห่งยังสร้างขึ้นในโลกวิญญาณโดยตรงเลยด้วยซ้ำ
หากเขายังคงอยู่ในโรงเรียน มีความเป็นไปได้สูงที่เสี่ยวจูจะพัฒนาไปถึงระดับพิเศษในภาคการศึกษาแรกของปีสุดท้ายในระดับมัธยมปลาย
แต่หากเขาต้องการที่จะไปให้ไกลกว่านั้น เขาจะต้องออกจากโรงเรียนและไปยังโลกวิญญาณโดยลําพัง
หลังสําเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เขาก็คงจะเข้าร่วมองค์กรอย่างเป็นทางการหรือบริษัทสักแห่ง
จะดีกว่าหรือเปล่า ถ้าปลายทางมันก็เหมือนกันแต่เขาสามารถทำแบบนั้นได้ในตอนนี้เลย!
อย่างน้อยๆในตอนที่สํารวจโลกวิญญาณ เขาก็จะได้รับการสนับสนุนและมีข้อมูล
แน่นอน สิ่งที่สําคัญไปกว่านั้นคือการรักษาของคุณยาย
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินโม่จึงก็กดหมายเลขโทรศัพท์ของเฉินเหมิง
“ผมตกลงที่จะเข้าร่วมบริษัทหงเหมิงของคุณครับ แต่ผมยังมีเงื่อนไขบางอย่างที่หวังว่าคุณจะสามารถช่วยเหลือได้”
"คุณพูดมา…"
“ก่อนอื่น ผมหวังว่าคุณจะช่วยรักษาคุณยายของผมโดยเร็วที่สุด”
“ไม่มีปัญหา เมื่อไหร่ที่คุณว่าง ฉันสามารถไปรักษาให้คุณยายของคุณได้ในทันที”
"พี่สาวเหมิง คุณรักษาโรคมะเร็งได้ด้วยหรอครับ?"
"ถ้าเป็นยูนิคอร์นแห่งแสงระดับราชาล่ะ นายคิดว่าจะพอไหวไหม?"
น้ําเสียงของเฉินเหมิงที่ปลายสายนั้นติดขี้เล่นเล็กน้อย
"คุณเป็นปรมาจารย์วิญญาณด้วยหรอครับ?"