MDB ตอนที่ 408 ความวายป่วงบังเกิด
ถึงพวกชาวบ้านจะแตกตื่นหนีไป แต่เหล่าทหารรักษาเมืองยังคงอยู่ ณ ตอนนี้ ทหารรักษาเมืองกว่าห้าร้อยคนถูกรวมตัวกันอยู่ใกล้ ๆ จุดเกิดเหตุ พวกเขายังคงตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน นอกจากนี้ ยังมีทหารคนหนึ่งได้ส่งนกพิราบกลับบ้านไปที่คฤหาสน์เจ้าเมืองรี้ดทันที ส่วนที่เหลือกำลังเฝ้าดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ชางเอ๋อร์กำลังต่อสู้กับสิงโตอยู่ สิงโตตัวนี้มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าระดับสามทั่วไป และดูเหมือนว่าจะใกล้เคียงกับระดับสี่ด้วยซ้ำ
ถึงกระนั้น ไม่ว่ามันจะทรงพลังแค่ไหน มันก็ไม่สามารถเทียบได้กับชางเอ๋อร์ได้อยู่ดี
ครู่ต่อมา ชางเอ๋อร์ก็ยกดาบสิบเล่มขึ้นจากพื้นดินและเปลี่ยนสิงโตให้กลายเป็นเนื้อเสียบไม้ สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจคือไม่มีเลือดไหลออกมา แม้ว่าสัตว์ร้ายจะถูกแทงไปทุกทิศทางก็ตาม สิงโตคำรามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะสลายกลายเป็นควัน
ในเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงแก้วแตกดังขึ้นมา ลูกประคำเม็ดหนึ่งในมือของพระเฒ่าแตกร้าว ลูกประคำที่เปล่งประกายและมีสีสันในตอนแรกนั้นสูญเสียแสงไปโดยสิ้นเชิงหลังจากการตายของสิงโต
ลูกประคำเหล่านี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ และการประดิษฐ์มันก็ไม่ง่ายเลย พระเฒ่าดูเจ็บปวดหลังจากสูญเสียสิงโตไป
“นังปีศาจที่น่ารังเกียจ วันนี้ข้าจะกำจัดเจ้า!”
พูดจบเขาก็โยนโซ่ลูกประคำขึ้น
“สัตว์ร้ายจักแปรผัน สู่แสงแห่งอิสรภาพ เหล่าเทพผู้พิทักษ์แห่งปัญญาเอ๋ย ขอให้ภูผาจงสดับรับฟังเสียงเรียกของข้า!”
เสียงของเขาดังก้องไปพร้อมกับเงาของสัตว์ร้ายโผล่ออกมาจากลูกประตำเรืองแสง จากนั้น เสือ นกยูง สุนัขจิ้งจอก และสัตว์ร้ายอื่น ๆ อีกมากมายก็ปรากฏตัวขึ้น
มีสัตว์ร้ายทั้งหมดประมาณสิบตัว
จากนั้น เหล่าสัตว์ร้ายทั้งหมดได้สลายตัวเป็นละอองแสง กระแสแสงเหล่านี้ได้เข้ามารวมตัวกันจนกลายเป็นวงแหวนศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของพระภิกษุ
แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องลงมาเผยให้เห็นภาพเงาของพระโพธิสัตว์ พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนเมื่อมีแรงกดดันเข้ามากระแทกลงมาราวกับตรงนั้นมีภูเขาที่มองไม่เห็น
ชางเอ๋อร์สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่ออกมาจากลูกกระคำเหล่านั้นคือวิญญาณของสัตว์วิเศษชั้นยอดซึ่งมีไม่ต่ำกว่าระดับสาม บางตัวถึงระดับสี่ด้วยซ้ำ
ตอนนี้พวกมันได้รวบรวมและผสานเข้าด้วยกันเพื่อเสริมพลังวิญญาณของพระเฒ่า คาถาใด ๆ ที่เขาร่ายจะมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งร้อยเท่า
ชางเอ๋อร์รู้ขอบเขตความแข็งแกร่งของเธอเอง เธออาจฝึกฝนการแปลงร่างและความแข็งแกร่งมา แต่เธอก็ยังด้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับพระเฒ่า
อย่างไรก็ตาม ชางเอ๋อร์ไม่คิดจะถอยกลับ และเธอก็ไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้ด้วย
“จงเผยออกมา ปีกแห่งความมืดชั่วนิรันดร์!” ชางเอ๋อร์ปลดปล่อยทุกสิ่งที่เธอมี แววตาปีศาจแวบขึ้นมาในดวงตาของเธอ ขณะที่ออร่าของสัตว์ปีศาจของเธอเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงจุดนี้ ออร่าของเธอกำลังลุกไหม้ราวกับเปลวไฟรอบตัวเธอ
ข้างหลังเธอ มีเงาหางปรากฏขึ้น แกว่งไปมาขณะที่พวกมันค่อย ๆ แยกออกเป็นสามหาง
ขณะเดียวสายลมได้พัดเข้ามา กวนทรายและฝุ่นมากองใต้เท้าเพื่อสร้างเกราะป้องกันคาถาของพระเฒ่า
ชั่วขณะต่อมา ขุมพลังจากทั้งสองฝ่ายได้ปะทะกัน
*บูม!!!!!!*
เมืองเส้นทางนิรันดร์ทั้งหมดพังทลายลงจากการปะทะกันของออร่าอันทรงพลัง ภายในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร ทุกอย่างก็กลายเป็นฝุ่นผง โชคดีที่พวกพ่อค้าและพลเรือนสามารถอพยพออกจากสถานที่ได้ทันเวลา มิฉะนั้นความเสียหายจะร้ายแรงยิ่งกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ก็มีคนโชคร้ายเช่นกัน นั่นคือผู้ประเมินมารสองคนที่ถูกชางเอ๋อร์จัดการก่อนหน้านี้ เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถหลบหนีได้ทัน ชายทั้งสองจึงถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพัง
“ผู้อาวุโส นี่มันรุนแรงเกินไปแล้ว!!!”
ในระยะไกล จื่อเหนียนยืนอยู่ตรงรอบนอกของแรงปะทะ เขามองด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากพลังทำลายล้างของการปะทะมันรุนแรงจนเขาเกือบหลบเลี่ยงไม่ทัน
ในขณะเดียวกัน พระอธิการแห่งห้องโถงขับไล่ปีศาจ พระเฒ่าก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ขณะที่เขายืนอยู่บนท้องฟ้า โดยถือไม้เท้าไว้ในมือข้างหนึ่ง และจับพระภิกษุหนุ่มที่หมดสติด้วยอีกมือหนึ่ง เขาแสดงสีหน้าเคร่งเครียดขณะมองลงไปทางชางเอ๋อร์
เสื้อคลุมของเขาถูกตัดออกจากกัน เผยให้เห็นเนื้อตัวส่วนบนของเขา แม้จะอายุมากแล้ว แต่มัดกล้ามของพระเฒ่าก็ยังแข็งแรงดั่งเช่นชายหนุ่ม
อย่างไรก็ดี ตัวเขาใช่ว่าเอาจะไร้รอยบาดแผล ตรงหน้าท้องจนถึงคอมีบาดแผลจากการถูกฟัน มันเกิดขึ้นระหว่างปะทะกัน แม้บาดแผลจะดูใหญ่ แต่ก็ไม่ลึกมากจนถึงแก่ชีวิต
เขาลงไปนอกขอบเขตของจุดปะทะและกล่าวว่า
"ข้าประเมินพลังของจิ้งจอกตัวนี้ต่ำเกินไป"
ทันใดนั้นเอง ท่าทางอันแน่วแน่ของเขาก็ชะงักลง และมีเลือดไหลลงมาจากมุมปากของเขา
“ผู้อาวุโส ท่านเป็นอะไรรึเปล่า?” จื่อเหนียนรีบไปอย่างรวดเร็ว
"ข้าไม่เป็นไร ข้ามีแสงศักดิ์สิทธิ์ของสัตว์ร้ายคอยปกป้องข้า แต่ข้าก็รู้สึกขอบคุณเจ้าเช่นกัน ไม่เช่นนั้นข้าคงถูกผ่าครึ่งจากการลอบโจมตีของจิ้งจอกตัวนั้น”
พระเฒ่าดูหวาดกลัว
ในช่วงเวลาที่ทั้งสองกำลังปะทะกันนั้น จู่ ๆ ก็มีใบมีดยาวปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มันพุ่งมาเฉือนผ่านร่างกายของเขาราวกับมีดร้อนผ่าเนย มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่ทันตั้งตัว หากพระเฒ่าไม่ได้ใช้แสงศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องร่างกายของเขา และการเสริมร่างกายของจื่อเหนียนให้แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า เขาคงจะถูกสังหารตรงนั้นไปแล้ว
“หลังจากได้รับการโจมตีของข้าไป จิ้งจอกตัวนั้นน่าจะตายไปแล้ว แต่เพื่อให้แน่ใจ ข้าต้องเห็นศพของมันซะก่อน”
เมื่อพูดจบ พระเฒ่าก็อยากจะกระโดดไปตรงจุดที่ปะทะกันก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม จื่อเหนียนหยุดเขาทันทีเมื่อสังเกตเห็นว่าเขามีเลือดออกมามากเพียงใด
“ผู้อาวุโส ไม่มีสัตว์ปีศาจตัวใดสามารถต้านทานการโจมตีธรรมของท่านได้ ข้าแน่ใจว่าปีศาจจิ้งจอกตนนั้นต้องตายไปแล้วแน่นอน ตอนนี้ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสและลูกประคำอชราได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ดังนั้นเราต้องรีบกลับไปที่วัดตัวหลัวเพื่อซ่อมแซมมัน ไม่เช่นนั้นมันจะพังทลายไปตลอดกาล หากสิ่งประดิษฐ์พันปีถูกทำลายด้วยน้ำมือของเรา มันจะถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ต่อวัดของเรา”
เมื่อได้ยินคำแนะนำของจื่อเหนียน ท่าทีของพระเฒ่าก็อ่อนลง
แท้จริงแล้ว ความเข้มข้นของการต่อสู้ครั้งนี้เกินความคาดหมายของเขา ที่สำคัญกว่านั้น ลูกประคำอชราของเขาส่วนใหญ่แตกร้าว ดังนั้นหากเขาไม่ซ่อมมันในทันที ความเสียหายจะลุกลามจนถึงขั้นที่แก้ไขไม่ได้
พระเฒ่าเหลือบไปมองตรงจุดที่ปะทะกันซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของเมืองเส้นทางนิรันดร์ ซึ่งตอนนี้ถูกทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจทำตามคำแนะนำของจื่อเหนียน และกลับไปที่วัดต้าหลัว
ก่อนที่จื่อเหนียนจะจากไป เขาก็มองย้อนกลับไปที่หลุมลึกตรงใจกลางซากปรักหักพังอย่างสุขุมรอบคอบและถอนหายใจ ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังถอนหายใจเกี่ยวกับอะไร
ขณะที่พระภิกษุทั้งสามรูปออกไป เหล่าทหารรักษาเมืองต่างตื่นตกใจจนไม่มีใครคิดจะพยายามหยุดพวกเขา
เหตุผลแรกก็คือ วัดต้าหลัวมีชื่อเสียงในทุกทวีป ดังนั้นผู้คนในอาณาจักรมังกรหยกจึงตระหนักถึงอิทธิพลของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น พระอธิการพยายามที่จะสังหารสัตว์ปีศาจแทนที่จะรุกรานประเทศของตนอย่างชัดเจน ดังนั้นทหารรักษาเมืองจึงรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถหยุดพระภิกษุได้แม้ว่าพวกเขาต้องการก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงความเสียหายของเมืองเส้นทางนิรันดร์ พวกเขาจำเป็นต้องรายงานสถานการณ์ให้ท่านเจ้าเมืองรับทราบอย่างละเอียด
สำหรับหลุมลึกร้อยเมตรนั้น ไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไปข้างใน
...
วันรุ่งขึ้น เจ้าเมืองรี้ดมาตรวจสอบที่เกิดเหตุเป็นการส่วนตัว เนื่องจากพรุ่งนี้จะเป็นเทศกาลมังกรหยก เจ้าเมืองรี้ดครุ่นคิดเป็นเวลานานก่อนที่จะตัดสินใจเขียนจดหมายเพื่อรายงานสถานการณ์ แม้ว่าเมืองเส้นทางนิรันดร์จะถูกทำลาย แต่ก็ไม่ใช่การรุกรานของกองกำลังต่างถิ่น พวกเขายังสามารถสร้างทางผ่านขึ้นมาใหม่ได้ ดังนั้นเจ้าเมืองจึงขอเงินทุนสำหรับการฟื้นฟูเพิ่มเติม
สำหรับสัตว์ปีศาจที่ด้านล่างของหลุมลึก เจ้าเมืองก็ได้ตัดสินไม่เข้าไปใกล้แบบคนอื่น ๆ เช่นกัน
คนที่ก่อเหตุโจมตีคือพระอธิการแห่งห้องโถงขับไล่ปีศาจแห่งวัดต้าหลัว ชายคนนั้นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงกว้างไกล ซึ่งประเทศขนาดกลางโดยทั่วไม่กล้าที่จะยั่วยุ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาจากความลึกของหลุม ใคร ๆ ก็สามารถจินตนาการได้อย่างง่ายดายว่าการโจมตีของพระอธิการบดีนั้นน่ากลัวเพียงใด คงไม่มีสัตว์ปีศาจตนสามารถรอดจากน้ำมือของเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงละความสนใจจากหลุมลึกไปยังที่อื่น
...
ผ่านไปอีกวัน เทศกาลมังกรหยกก็มาถึง ทุกเมืองในประเทศจะเฉลิมฉลองเหตุการณ์นี้ และเมืองรี้ดก็ไม่มีข้อยกเว้น เจ้าเมืองของเมืองรี้ดยังได้รับข่าวว่าหนึ่งในผู้พิทักษ์ของประเทศจะมาในบ่ายวันพรุ่งนี้เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ดังนั้นเจ้าเมืองจึงรู้สึกสบายใจมากขึ้น
ในขณะที่ประเทศกำลังดื่มด่ำกับการเฉลิมฉลอง ร่างเงาสองเงาก็ปรากฏขึ้นข้างหลุมลึกตรงเมืองเส้นทางนิรันดร์
คนหนึ่งถือโลงศพ ส่วนอีกคนเป็นคนหลังค่อม
“เราได้ถามไปรอบ ๆ แล้ว เรามั่นใจว่าแม่นางชางเอ๋อร์ได้ต่อสู้กับพระอธิการบของวัดต้าหลัวที่นี่เมื่อมะรืนวาน ในท้ายที่สุดเธอก็ถูกพระเฒ่าคนนั้นทุบตีจนสิ้นท่า!”
ชายโลงศพพูดอย่างกัดฟัน
เฒ่าเต่าก็ดูมีอาฆาตไม่แพ้กัน
“ข้าสาบานว่าข้าจะใช้เวลาที่เหลือของชีวิตเพื่อล้างแค้นให้แม่นางชางเอ๋อร์ เจ้าพวกคนแก่หัวล้านนั่นอย่าคิดว่าจะรอดไปได้!”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่ชายโลงศพและเฒ่าเต่าก็ตระหนักดีว่าพระภิกษุของวัดต้าหลัวเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเพียงใด
ทั้งสองคนเป็นถึงยอดฝีมือชั่วร้าย และยังเป็นถึงเทพหลิงหนาน แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ตระหนักดีว่าวัดต้าหลัวเป็นกองกำลังที่ยากจะรับมือ
วัดต้าหลัสวเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพุทธศาสนาที่ก่อตั้งมานานกว่าพันปีแล้ว นิกายเคยผลิต 'พระภิกษุอมตะ' มาก่อนและมรดกของพวกเขาก็ยังคงเกรียงไกรมาจนถึงทุกวันนี้
ลืมตอนนี้ไปได้เลย แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์และเป็นเทพหลิงหนานอันทรงเกียรติ พวกเขาก็ไม่สามารถต่อต้านวัดต้าหลัวได้
“เราต้องวางแผนการเคลื่อนไหวอย่างรอบคอบ วานรยักษ์ขาว ลูกศิษย์อีกคนของผู้ประเมินหลินกำลังต่อสู้กับพระภิกษุจากวัดต้าหลัวอยู่
หลังจากที่พวกเราไล่ตามพวกเขาไปเป็นระยะทางห้าร้อยกิโลเมตร ทั้งหมดที่พวกเราเห็นก็คือภูเขาถูกโค่นล้มและแม่น้ำที่พังทลาย ถึงกระนั้น ก็ไม่มีร่องรอยของวานรยักษ์ขาวและพระภิกษุเลย ข้าเกรงว่าเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด”
ชายโลงศพทุบหมัดลงบนพื้น ทำให้เกิดรอยแตกขนาดใหญ่บนพื้นหิน
“ถ้าอย่างนั้น เราต้องแจ้งให้ผู้ประเมินหลินทราบทันที! รีบกลับไปที่เมืองเมเปิ้ลกันเถอะ ผู้ประเมินหลินอาจจะกลับมาแล้ว ไม่สำคัญว่าเราจะตามหาวานรยักษ์ขาวเจอหรือแก้แค้นคนแก่หัวล้านได้หรือไม่ บางทีอาจมีเพียงผู้ประเมินหลินเท่านั้นที่สามารถจัดการกับพวกเขาได้!
หากผู้ประเมินหลินทำไม่ได้ ก็ยังมีภัณฑารักษ์คอยช่วยเหลือพวกเรา วัดต้าหลัว เจ้าอาจมีมรดกตกทอดมานับพันปี แต่พวกเขาไม่รู้ว่าวันนี้พวกเขาได้นำภัยพิบัติอะไรมาสู่ตนเอง!”
"เราไปกันเถอะ!"
ทันใดนั้น ชายโลงศพและเฒ่าเต่าก็รีบไปที่เมืองเมเปิ้ล หากไม่มีนกอินทรีหรือม้า พวกเขาก็ทำได้เพียงใช้ขาเท่านั้น ดังนั้นการเดินทางจึงใช้เวลานานพอสมควร แม้ว่าพวกเขาจะเดินทางข้ามคืน พวกเขาก็จะมาถึงจุดหมายปลายทางในเช้าวันรุ่งขึ้นอยู่ดี