ตอนที่ 93 ใช้งานกระจก
เสียงกระดิ่งเหนือประตูร้านดังขึ้นตอนเกือบเที่ยงของวัน พาเวลผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้นจากหนังสือในมือของตนเอง เขากำลังอ่านประวัติศาสตร์ของเอลฟ์ในแดนตะวันตกที่ถูกเขียนขึ้นโดยบาทหลวงผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ร่างของชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าที่แข็งแรงและไม่คุ้นเคยปรากฎอยู่ด้านหน้าของประตูไม้พร้อมกับป้ายสีทองในมือ ไม่มีอะไรต้องถาม พาเวลผู้เฒ่ารีบลุกจากที่นั่งและเดินมาต้อนรับด้วยตนเอง
“ข้าน้อยพาเวล ยินดีที่ได้ต้อนรับท่านผู้จัดการอาวุโส”
ใบหน้าของผู้เฒ่าพาเวลเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ศรีษะล้านเลี่ยนของเขาสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา มันวาววับแต่มีฝ่ากระขึ้นเต็มไปหมดตามปกติของสังขารคนแก่ แต่โครงหน้าของเขายังคงมองออกได้ไม่ยากว่าในสมัยวัยหนุ่มนั้นเขาเคยเป็นคนที่หล่อเหลามากคนหนึ่ง
“หาข่าวของมุขมนตรีกรีมัวร์ให้ข้า”
ชายหนุ่มปริศนาเอ่ยคำขอของตนทันที เขามีเวลาจำกัด
พาเวลรับคำก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะของตนเองเสียงรื้อค้นดังขึ้นอยู่หลายนาที สายตาของท่านผู้เฒ่าดูเหมือนจะถดถอยลงไปมาก เขาต้องถือแผ่นกระดาษที่หาเจอออกไปจนสุดแขนถึงจะพอมองเห็นได้บ้าง ก่อนที่ชายหนุ่มจะหมดความอดทนพาเวลก็ตะโกนขึ้นพร้อมกับชูแผ่นกระดาษที่ตนต้องการเอาไว้ในมือและโบกไปมา
“ข้าเจอแล้วนายท่าน”
ผู้เฒ่าพาเวลรีบเดินตรงมาที่ชายหนุ่ม กระดาษในมือของเขานั้นยังใหม่ ร่องรอยของหมึกสีดำที่เขียนลงไปยังสดและแจ่มชัด
ตัวแทนผู้จัดการอาวุโสรับเอาแผ่นกระดาษนั้นมาอ่าน พาเวลรีบอธิบายเพิ่มเติม
“อาร์คบิชอปนีโอถูกคณะลูกขุนในศาลศาสนาตัดสินว่ามีความผิดฐานกบฏ เขาถูกประหารเมื่อสองวันก่อน แต่สายข่าวของเรายืนยันว่าร่างที่ถูกประหารนั้นถูกใช้น้ำยาสกัดใจจนวิญญาณแหลกสลายไปแล้ว มันจึงดูเหมือนซากศพที่ไร้ชีวิตในตอนที่ร่างของเขาถูกนำออกมาแขวนคอที่กลางจตุรัสเซนต์หลุยส์ สำหรับคนที่ถูกน้ำยาสกัดใจเข้าไปในปริมาณที่มากเกินจะทำให้วิญญาณของเขาฉีกขาดจนไร้ความเป็นคน แม้ว่าคนผู้นั้นจะถือว่ายังไม่ตายอย่างแท้จริง แต่มันก็ไม่ต่างกันเลย หากเราถือว่าชีวิตมนุษย์จะเป็นมนุษย์ได้เพราะความทรงจำและความรู้สึกน่ะนะ”
เมื่อเล่ามาถึงตอนนี้พาเวลก็มีสีหน้าเศร้าสร้อยแต่เมื่อนึกถึงตัวตนของชายหนุ่มตรงหน้าขึ้นมาได้ เขาก็รีบเปลี่ยนท่าทีและกล่าวต่อไป
“ซึ่งมันสอดคล้องกับข่าวชิ้นแรกที่เราได้รับ ว่ามีการต่อสู้ของระดับตำนานปรากฎขึ้นในบริเวณที่พักของอาร์คบิชอปนีโอ นี่ทำให้เราทราบว่านักบวชผู้นี้ต้องเป็นเพื่อนของมุขมนตรีกรีมัวร์ในเฮอราบอสแน่นอน จากนั้นเราจึงตามสืบจากจุดนี้ไปจนถึงลูกศิษย์ของเขาในมณฑลบอสติล จากนั้นก็พบเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่ง
ลูกศิษย์ของเขาหนีไปแล้วตั้งแต่วันที่อาจารย์ถูกจับพร้อมกับพาเด็กสองคนในอารามนักบวชไปด้วย
เดาสิว่าเด็กพวกนั้นเป็นใคร?”
ชายหนุ่มผู้เป็นตัวแทนผู้จัดการอาวุโสตอบโดยไม่ต้องคิด
“ญาติของกรีมัวร์”
“ถูกต้อง ถึงตอนนี้เราจะไม่มีข่าวอะไรเกี่ยวกับท่านมุขมนตรี แต่เรามีข่าวเกี่ยวกับญาติของท่าน หากเราตามหาพวกเขาเจอ ลูกศิษย์ของอาร์คบิชอปนีโออาจช่วยให้เรารู้เรื่องของท่านมุขมนตรีมากขึ้น”
“ขอบคุณมาก”
ชายหนุ่มถือป้ายสีทองและแผ่นกระดาษออกไปจากร้านขายหนังสือที่แทบไม่มีคนเข้ามาเป็นสัปดาห์ ตรงหน้าร้านเหนือประตูมีป้ายไม้เก่าๆแขวนเอาไว้ว่า “ร้านขายหนังสือของพาเวล”
ชายหนุ่มคนนี้คืออสบอร์นในตัวตนของ คาร์ล อัสติเนียน เขาเดินทางผ่านเมืองหลายเมืองจากเหนือจรดใต้ เรียบชายฝั่งของเฮอราบอสมาจนถึงเมืองที่ใกล้ที่สุดกับเมืองหลวงจักรวรรดิ ข่าวของเมืองนี้สมควรว่องไวที่สุด
เมืองเฟรนกอส
และเขาก็ไม่ผิดหวัง แม้ว่ามันจะไม่ใช่ข่าวของกรีมัวร์โดยตรงแต่การไปช่วยเด็กสองคนที่ควรเป็นหลานของหญิงชราก็เป็นเรื่องที่สมควร
ออสบอร์นกลับไปยังห้องพักที่เขาเช่าเอาไว้ ตอนนี้ผ่านมาสี่วันแล้วที่เขาใช้การ์ดอัพเกรดระบบ เหลืออีกสามวัน ระบบภารกิจก็จะกลับมาใช้ได้อีกครั้ง เขาปิดประตูห้องถอดสร้อยคอทับทิมอมตะออกและเรียกกระจกบานหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บของ เขาจะสวมสร้อยคอเมื่อออกเดินทางหรือไปทำธุระที่ต้องใช้ความคล่องตัวสูงเท่านั้นเพื่อหลีกเลี่ยงขีดจำกัดการกระหายโลหิต
กระจกขอบเงินที่ดูหรูหราลอยอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าเขา ก่อนหน้านั้นออสบอร์นพยายามใช้มันอยู่ตลอดเวลาแต่ดูเหมือนว่าวัตถุเวทมนตร์ระดับศักดิ์สิทธิ์เทียมชิ้นนี้จะไม่ยินยอมทำตามเขา ทุกคำถามที่เขาถาม ภาพที่ปรากฎออกมาจะเป็นแค่ภาพที่ไม่เกี่ยวข้อง บางครั้งอาจมีความเกี่ยวข้องแต่ก็ไม่เป็นความจริง
ออสบอร์นเคยถูกมันหรอกให้ขับรถม้าลงไปในเหวด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าการใช้มันนั้นไม่ยาก แต่การจะบังคับให้มันบอกสิ่งที่ถูกต้องแม่นยำกลับยากกว่าหลายเท่า หากเป็นตัวตนที่กดขี่กระจกบานนี้ได้โดยสมบูรณ์ ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนไปก็ได้
ครั้งนี้เขาจะลองดูอีกครั้ง
“เด็กชายสองคนนั้นอยู่ที่ไหน”
ออสบอร์นเพ่งพลังจิตทั้งหมดนึกถึงเรื่องของเด็กสองคนนั้นอย่างตั้งใจ ภาพในกระจกกระเพื่อมไหวเหมือนผิวน้ำที่ถูกสัมผัส แสงสีขาวของพลังเวทมนตร์ไหลออกจากร่างของเขาเข้าไปในกระจกบานนั้นอย่างรวดเร็ว
ภาพในกระจกเริ่มแจ่มชัดขึ้นพร้อมกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของตัวกระจกเอง อย่าลืมว่าวัตถุเวทมนตร์ระดับตำนานเป็นต้นไปล้วนมีจิตสำนึกของมัน
มันล่องลอยไปในอากาศด้วยท่าทางสนุกสนานเหมือนนกที่บินอยู่บนท้องฟ้า ห้องพักขนาดห้าสิบตารางเมตรของออสบอร์นดูเหมือนจะเล็กไปด้วยซ้ำ จนเมื่อภาพในกระจกเริ่มหยุดนิ่ง มันก็ลอยกลับมาที่เบื้องหน้าของออสบอร์น
ภาพของชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราสีขาวกำลังทับอยู่บนร่างของใครคนหนึ่งที่ดิ้นทุรนทุรายเหมือนกับถูกทุกข์ทรมาน แต่ออสบอร์นมั่นใจว่าร่างที่ถูกทับอยู่กำลังเปี่ยมไปด้วยความสุขอันหฤหรรษ์มากกว่า พ่อมดเฒ่าแอบกลืนน้ำลายลงไปโดยไม่รู้ตัว เขาแค่เป็นเหมือนผู้ชายทั่วไปที่ถูกดึงดูดได้อย่างง่ายดายเมื่อเรื่องที่ว่านั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพศ ออสบอร์นลืมไปแล้วว่าเขากำลังใช้กระจกบานนี้เพื่ออะไร ภาพในกระจกเป็นภาพเคลื่อนไหวเหมือนหนังเรื่องหนึ่ง แผ่นหลังที่อยู่ใต้ร่างของชายวัยกลางคนนั้นขาวเนียนดุจไข่มุก เสียงอ่อนหวานที่ดังผ่านกระจกออกมาแอบทำให้ออสบอร์นใจสั่นไหว เส้นผมของคนผู้นั้นยาวสยายเต็มแผ่นหลังมันเป็นสีขาวออกประกายสีเงินเล็กน้อย เส้นผมที่ยาวขนาดนั้นบางส่วนก็พันกันยุ่งเหยิงเพราะชื้นไปด้วยเหงื่อไคลจากความเหนื่อยล้า
แต่แล้วภาพก็เปลี่ยนไปมุมอื่น มันส่องให้เห็นบริเวณใต้ร่างของเจ้าของแผนหลังขาวเนียนนั้นโดยตรง ใบหน้านั้นงดงามเป็นที่สุด ใบหูสองข้างแหลมยาวผิดมนุษย์ แน่นอนว่าคนผู้นี้คือเอลฟ์ แต่ที่เป็นปัญหาคือมันดันเป็นเอลฟ์ผู้ชาย! นี่เขากำลังดูผู้ชายมีอะไรกันมาตั้งนานงั้นรึ?
“ไอ้กระจกเฮงซวย!!!”
ออสบอร์นสบถออกมาดังลั่นและรีบโยนผ้าคลุมเตียงขึ้นไปปิดกระจกบานนั้นเอาไว้ แต่แล้วเขาก็สังเกตอะไรบางอย่างบริเวณหัวเตียงของคู่รักคู่นี่ได้ มันเป็นเหมือนแผนที่ที่ถูกปักด้วยได้เงินลงบนผ้าไหม แผนที่ถูกใส่กรอบเอาไว้อย่างดีดุจของมีค่าราคาสูง บ่งบอกว่าเจ้าของให้ความสำคัญกับแผ่นดินในแผนที่นี้มาก ออสบอร์นจำแผนที่นี้ได้
มันคือแผนที่ของมณฑลบอสติล ที่มีเขตปกครองเป็นเมืองใหญ่ทั้งหมดเจ็ดเมือง ในเก้าเมืองนั้นยังมีหมู่บ้านอีกหลายร้อยและเมืองเล็กๆอีกหลายสิบ มณฑลนี้อยู่ในภาคกลางของจักรวรรดิติดกับเมืองหลวง ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางออกสู่ทะเล เป้าหมายของออสบอร์นที่ต้องการไปช่วยเด็กสองคนนั่นไม่ใช่ที่นี่หรอกหรือ?
เป็นไปได้ไหมว่าครั้งนี้กระจกไม่ได้โกหกเขา?
ออสบอร์นนำผ้าคลุมเตียงคลุมกระจกเอาไว้ในขณะที่หูก็คอยฟังเสียงที่แสนจะสุขสมของทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา จนเวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีพลังเวทมนตร์ของออสบอร์นยังคงมีอยู่เหลือเฟือเพราะแม้ว่าเขาจะเป็นระดับกลางเท่านั้นแต่พลังเวทมนตร์ของเขาได้รับการปรับปรุงจากระบบจนมันมีอยู่มากพอที่จะร่ายคาถาระดับตำนานด้วยซ้ำ การใช้มันเพื่อกระจกแค่นี้จึงนับว่าไม่เหนือบ่ากว่าแรง เมื่อเสียงการร่วมเพศของคนทั้งคู่หยุดลง ออสบอร์นก็เปิดผ้าคลุมเตียงออกจากระจก เขาตั้งใจฟังและดูภาพของคนที่เขาคิดว่าควรเป็นบุคคลสำคัญในบอสติลอย่างตั้งใจ
ชายวัยกลางคนนอนเอนหลังอยู่บนเตียง เขาดึงผ้าห่มมาคลุมร่างกว่าครึ่งในขณะที่เอลฟ์ที่ดูเด็กกว่าหลายสิบปีลุกขึ้นไปก่อนและยืนอยู่ข้างหัวเตียงพวกเขาเริ่มพูดคุยกันหลังจากเสร็จกิจ
“สมเด็จพระสันตะปาปาทรงมีบัญชาให้ยกเลิกการประชุมคณะนักบวช และสภานักบวชทั้งหมด นั่นอาจรวมถึงคณะลูกขุนในศาสศาสนาที่สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเป็นหัวหน้าคณะด้วยตนเอง พระองค์อ้างว่ากำลังบำเพ็ญเพียรให้กับพระผู้เป็นเจ้าแห่งเรา เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
ร่างของชายวัยกลางคนบนเตียงเอ่ยถาม เอลฟ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลหันกลับมาทางเขาก่อนจะตอบกลับไป
“สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเก็บตัวกะทันหัน ในขณะที่เอเลนอร์ถูกลอบสังหารในรอบหลายสิบปี เรื่องเก็บตัวนี้อาจเป็นความจริง เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงไปช่วยเอเลนอร์ด้วยตนเอง แต่กลับส่งสาร์นเข้าไปในบันทึกของอมานีม็อบแทน สิ่งนี้ไม่อาจปิดบังได้เพราะข้อความจะไปปรากฎในหน้ากระดาษแผ่นอื่นๆพร้อมกัน แต่เก็บตัวเพราะบำเพ็ญเพียรจริงหรือไม่ข้าก็ไม่กล้ายืนยัน ท่านก็รู้ว่าในมหาวิหารนั้นไม่มีสายลับแม้แต่คนเดียวที่สามารถแฝงตัวเข้าไปได้ เอเลนอร์คอยระวังเรื่องนี้ให้สมเด็จตลอด”
“เจ้าคิดเหมือนกันกับข้า เรนดิส ระยะนี้เกิดเรื่องวุ่นวายในจักรวรรดิตลอด อารค์บิชอปนีโอถูกแขวนคอเพราะกบฏ ครอบครัวมุขมนตรีวอร์ล็อคคนสำคัญกลับอยู่ในเฮอราบอส นางปีศาจนั่นถูกเราจับเอาไว้ได้เพราะพระคาร์ดินัลสององค์ลงมือพร้อมกัน ไหนจะผู้ว่าการสำนักงานสังฆการีถูกลอบสังหารอีก ช่างน่าปวดหัวจริงๆข้าโชคดีแล้วที่มาปกครองสังฆมณฑลนอกเมืองหลวงจักรวรรดิแห่งนี้ บอสติลช่างอุดมสมบูรณ์โดยแท้”
ชายวัยกลางคนดึงมือของเอลฟ์หนุ่มเข้ามาในอ้อมแขน เขาซุกหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราสีขาวเข้าไปยังหน้าอกแบนราบของเอลฟ์ที่ชื่อเรนดิสคนนั้น เสียงสูดลมหายใจหนักและยาวดังตามมาไม่นาน
“พระอัยกาเพรทเซลทรงมีบัญชาให้ท่านจับกุมตัวทายาทสองคนสุดท้ายของมุขมนตรีคนนั้น พร้อมกับศิษย์คนสำคัญของอาร์คบิชอปนีโออยู่ไม่ใช่หรือ? ท่านยังมีเวลามาเล่นสนุกและทอดถอนใจกับโชคของตนเองอีก หากยังจับเด็กสองคนกับบาทหลวงคนนั้นไม่ได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ พระอัยกาเพรทเซลจะถลกหนังท่านแน่ ในฐานะอาร์คบิชอปแห่งบอสติล ท่านปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้”
เสียงของเอลฟ์หนุ่มสั่นเครือ ยอดหน้าอกข้างหนึ่งเข้าไปอยู่ในปากของชายที่ควรเป็นอาร์คบิชอปแห่งบอสติลแล้ว
“เรื่องนั้นเจ้าอย่าได้กังวลเลย ข้ารู้ที่อยู่ของพวกเขาแล้ว พวกเขากำลังเดินทางไปยังทิศตะวันออกเพื่อขึ้นเรือหนีไปจากที่นี่ บาทหลวงกับเด็กสองคนนั่นกำลังบาดเจ็บจากคาถาของบิชอปโนเบิร์ต ที่พึ่งพิงของพวกเขาเพียงแห่งเดียวในตลอดระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรคือเมืองแห่งนั้นที่อาร์คบิชอปนีโอเคยเดินทางไปหลายต่อหลายครั้ง เมืองพรินต์ ข้าสั่งให้คนเตรียมจับกุมพวกเขาแล้ว”
อาร์คบิชอปแห่งบอสติลเริ่มตะลุมบอนกับเอลฟ์หนุ่มอีกครั้ง ออสบอร์นรีบตัดจบการส่องภาพทันที แค่นี้เขาก็แทบจะบ้าตายอยู่แล้ว
“งั้นข้าก็ต้องไปที่เมืองพรินต์สินะ หวังว่ากระจกจะไม่โกหกข้าในครั้งนี้”
ออสบอร์นเก็บกระจกกลับเข้าไปในแหวนมิติ ครั้งนี้เพื่อข่าวของเด็กสองคนนั้นแล้วเขาถึงกับลงทุนไปมากจริงๆ ไม่รู้ว่าจะถึงกับฝันร้ายหรือไม่
แสงอาทิตย์ยามเย็นกำลังส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ห้องของเขาตรงกับทิศตะวันตกพอดี การได้เห็นภาพของพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าจึงเป็นสิ่งที่แถมมากับการเช่าห้องพัก หลังจากนี้ออสบอร์นอาจต้องเดินทางไปเมืองพรินต์ก่อนเพื่อช่วยเหลือบาทหลวงกับเด็กสองคนนั่น จากนั้นจึงค่อยวางแผนร่วมกับบาทหลวงอีกรอบ เขามั่นใจว่าลูกศิษย์ของอาร์คบิชอปนีโอผู้นี้ควรรู้ข่าวที่เป็นประโยชน์จำนวนมากแน่นอน
ด้านนอกหลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปเกือบหมด ออสบอร์นที่เดินออกมายังระเบียงนอกห้องบนชั้นสามก็มองเห็นดวงจันทร์สีเงินกลมโตบนท้องฟ้าได้เลือนลาง ภาพนี้สามารถมองเห็นได้ก่อนฟ้ามืดเท่านั้น เขาอยากจะขอความเห็นจากมันเล็กน้อยว่าควรเชื่อถือกระจกในครั้งนี้หรือไม่ แต่ในใจลึกๆของออสบอร์นคล้ายกับว่าจะมีคำตอบอยู่แล้ว