1356 - การประลอง
1356 - การประลอง
หัวใจของเย่ฟ่านสั่นไหวเล็กน้อย ใช่คนที่กำลังจ้องมองเขาอยู่นั้นคือหลงเสี่ยวเชวีย
เย่ฟ่านไม่ต้องการที่จะสร้างปัญหาใดๆ ในบริเวณนี้ เพราะหลงเสี่ยวเชวียเป็นอสูรที่อยู่ในจุดสูงสุดของอาณาจักรแปลงมังกร และเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
หากเขาทำร้ายอีกฝ่ายมันคงสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่และทำให้ตัวตนของเขาถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน
“คนที่อยากจะฆ่าข้าคือหลงเสี่ยวเชวียอย่างนั้นหรือ?” เย่ฟ่านพึมพำกับตัวเอง
ในระยะไกล หมอกสีเทาก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับว่ามีสัตว์อสูรที่ไม่มีใครเทียบได้ปรากฏตัวออกมา มีหมอกสีเทากว้างใหญ่ปกคลุมท้องฟ้า เต็มไปด้วยรัศมีอันน่าสพึงกลัว
ในเวลาต่อมายอดฝีมือที่แข็งแกร่งจากตะวันตกหลายคนปรากฏตัวขึ้น พวกเขามีปีกสีเทาบนหลัง ทุกคนล้วนเป็นชายชรา และมีในตาดำมืดราวกับปีศาจจากขุมนรก
“คนเหล่านี้มีพลังมาก ดูเหมือนเป็นวิญญาณที่สามารถกลืนกินผู้คนได้ พวกเขามาจากเยรูซาเลม!”
ทุกคนต่างตกตะลึงกับสิ่งที่ปรากฏ และจ้องมองดูอย่างหวาดกลัว
“ได้ยินมาว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อตามหาผู้มีพลังวิเศษที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสร้างความวุ่นวายในต้าเซี่ย อย่างไรก็ตามพวกเขาเป็นศัตรูกับนักพรตตะวันออกทั้งหมด พวกเขากล้ามาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาต”
ผู้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกำลังถกเถียงกัน และถอยออกห่างจากคนเหล่านี้
หมอกสีเทาลอยขึ้นปกคลุมท้องฟ้า เปล่งรัศมีแห่งความตาย แต่จอมอสูรหลายคนก็ดูดซึมหมวกสีเทาเหล่านั้นเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว
นัยต์ตาสีดำของพวกเขากวาดมองไปรอบๆ เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวพันกับเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างแน่นอน
ผู้ยิ่งใหญ่จากนิกายซานชิงปรากฏตัวขึ้น ด้านข้างของพวกเขาขนาบไว้ด้วยยอดฝีมือที่ทรงพลังอีกสองคน พวกเขาเชิญยอดฝีมือจากดินแดนตะวันตกเข้าสู่วัดเต๋าโดยไม่ได้สร้างความขัดแย้งขึ้น
ผู้ยิ่งใหญ่จากนิกายซานชิงถือว่าคนเหล่านี้เป็นแขกที่มีความสำคัญอย่างมาก และควรได้รับการปฏิบัติด้วยเคารพ เย่ฟ่านเฝ้าดูจากระยะไกลโดยไม่ได้กล่าวอะไร
“นับพันปีแล้วพี่น้องทุกคนของข้าล้วนตายหมดสิ้น น่าเสียดายที่ข้ายังมีชีวิตอยู่แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย”
นักพรตผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวกับตัวเองเมื่อจ้องมองไปยังยอดเหมาซาน เขาสวมมงกุฎทองและสวมเสื้อคลุมนักพรตสีม่วง ซึ่งในยุคปัจจุบันไม่มีใครแต่งตัวแบบนี้แล้ว ต่อให้เป็นนักพรตก็ตาม
เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจ โลกนี้ยังหลงเหลือผู้สูงสุดอยู่มากกว่าที่เขาคิดไว้ ผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมในฐานะปรมาจารย์ของสำนักเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บ่มเพาะที่มีอายุมากกว่าพันปีทั้งสิ้น
“นั่นเป็นนักพรตสืออี้หรือไม่ เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ มีผู้คนเล่าขานว่าเขาเสียชีวิตไปเมื่อร้อยปีที่แล้วไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เขาน่าจะอายุหนึ่งพันสองร้อยปีแล้ว”
“ในที่สุดยอดฝีมือผู้ทรงพลังก็ทยอยปรากฏตัวขึ้นแล้ว!”
ผู้อาวุโสหลายนิกายรวมทั้งลูกศิษย์ของพวกเขาต่างจ้องมองในระยะไกล ทุกคนล้วนตกตะลึงกับการปรากฏตัวขึ้นของผู้สูงสุดที่สามารถทะลวงออกจากอาณาจักรแปลงมังกรได้
ในเวลาต่อมาระฆังใหญ่บนยอดเขาก็ส่งเสียงดังก้องกังวาลไปทั่ว ทันใดนั้นประตูของวิหารขนาดใหญ่ที่เคยปิดไว้นานนับพันปีในที่สุดก็เปิดขึ้น
ไม่กี่ลมหายใจต่อมาชายชราที่สวมชุดพรตสีเทาก็ก้าวออกมาจากประตู ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นละอองเห็นได้ชัดว่านั่งสมาธิอยู่ในตำแหน่งเดิมมานานหลายปีแล้ว
การปรากฏตัวของเขาทำให้ผู้คนมากมายเกิดความตื่นเต้น นี่คือประมุขนิกายซานชิงซึ่งมีอายุมากกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี เขาเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่แก่ชรามากที่สุดของโลกใบนี้
การปรากฏตัวของปรมาจารย์ซานชิงบ่งบอกว่าการชุมนุมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ปรากฏตัวขึ้น
“ปรมาจารย์เต๋าฉวนเจินก็มาแล้ว!”
มีหลายคนอุทานอย่างตกใจและเสียงระฆังก็ดังขึ้นอีกครั้ง
สำนักฉวนเจินครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของประเทศ และเป็นสำนักเต๋าที่มีลูกศิษย์มากที่สุดในประเทศจีน ปรมาจารย์จากนิกายแห่งนี้แม้จะเทียบกับเจ้านิกายซานชิง
“การชุมนุมระหว่างผู้บ่มเพาะทั่วจีนไม่ได้จัดขึ้นมาหลายปีแล้ว ครั้งนี้มีความพิเศษเป็นอย่างมาก มีบุคคลสำคัญมากมายเข้าร่วม เช่นปรมาจารย์คุนหลุน นักพรตสืออี้ และยังมีปรมาจารย์ฉวนเจินอีกด้วย”
ในเวลาต่อมาท้องฟ้าเหนือยอดเขาเหมาซานก็ถูกย้อมเป็นสีแดงฉานไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่านี่เป็นการปรากฏตัวของเฟิ่งหวงศักดิ์สิทธิ์ระดับผู้สูงสุด
ผู้อาวุโสจูของเผ่าเฟิ่งหวงก็มาด้วยตนเอง แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เทพธิดาเฟิ่งหวงของพวกเขาปรากฏตัวขึ้นแล้ว การที่ชายชราคนนี้จะเข้าร่วมด้วยก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด
ยอดเขาเหมาซานมีหมอกควันปกคลุมหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันกลุ่มยอดฝีมือรุ่นอาวุโสก็ทยอยปรากฏตัวขึ้น เย่ฟ่านรู้สึกว่าในงานชุมนุมครั้งนี้จะมีผู้สูงสุดมากกว่าสิบคนแล้ว
การชุมนุมของผู้บ่มเพาะคราวนี้มีผลกระทบอย่างมาก มีผู้บ่มเพาะมาร่วมชุมนุมจำนวนมาก ลานกว้างที่ด้านหน้าวิหารเต๋าดูเหมือนจะไม่เพียงพอรองรับผู้คนแล้ว
ด้านหน้าภูเขาและด้านหลังของเหมาซาน มีอาคารขนาดต่างๆ มากกว่าสามร้อยหลัง ความวุ่นวายจากจำนวนคน และเสียงที่ดังไม่ขาดสายจากผู้บ่มเพาะหลายคนกลายเป็นภาพที่คึกคักอย่างยิ่ง
หลายวันต่อมาเย่ฟ่านเฝ้าดูพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า และชื่นชมเมฆหลากสีสันในยามเย็น เขาพักอยู่ในสำนักซานชิงเป็นเวลาสี่วัน ในที่สุดงานชุมนุมก็เริ่มต้นขึ้น
ผู้นำนิกายจากทั่วทุกมุมโลกมาร่วมชุมนุมครั้งยิ่งใหญ่นี้ หลายคนเฝ้ารอคอยการปรากฏตัวของเหล่าปรมาจารย์ระดับสูง ในเวลาไม่นานพวกเขาก็ทยอยปรากฏตัวขึ้น
สถานที่ชุมนุมในครั้งนี้คือลานกว้างหน้าวัดเต๋า เดิมทีมันถูกกำหนดให้เป็นห้องโถงใหญ่ แต่เมื่อการปรากฏตัวของเหล่าอสูรจากดินแดนตะวันตกผู้จัดงานจึงเปลี่ยนสถานที่ชุมนุมเพราะอาจมีการต่อสู้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ด้านหน้าวัดเต๋าอันงดงามแห่งนี้มีลานที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ซึ่งได้รับการปกป้องโดยค่ายกลโบราณขนาดมหึมา อย่างไรก็ตามด้วยผู้คนจำนวนมากที่เข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้มันจึงค่อนข้างแออัดเล็กน้อย
ในการรวมตัวของนักพรตจำนวนมาก แต่ละนิกายต่างถกเถียงกันถึงปัญหาที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ แก่นแท้ของสวรรค์พิภพที่เหือดแห้ง พวกเขาจำเป็นต้องแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน?
ทุกคนแสดงความคิดเห็น แต่ไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่แท้จริง แม้แต่กลุ่มยอดฝีมือระดับสูงจากยุคโบราณก็ยังรู้สึกอับจนปัญญา สิ่งที่พวกเขาปรารถนามีเพียงนี้ออกจากโลกเท่านั้น
วาระอันน่าเบื่อก็ผ่านไปในไม่ช้า และต่อมาคือการแข่งขันที่เป็นจุดสนใจของผู้คน เหตุผลหลักในการเข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้คือ การได้เห็นปรมาจารย์ระดับผู้สูงสุดต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจกัน
การชุมนุมครั้งนี้คือการต่อสู้นองเลือดครั้งใหญ่ ในสมัยโบราณสำนักต่างๆ จะดวลกันระหว่างลุกศิษย์เป็นหลัก เพื่อแลกเปลี่ยนคำชี้แนะกัน
แต่ในยุคปัจจุบันมันกลายเป็นการต่อสู้เพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ให้กับสำนักของตัวเองไปแล้ว
ผลประโยชน์สูงสุดจะตกเป็นของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น การแข่งขันเข้มข้นขึ้นทุกปีและจุดประสงค์เดิมของการประลองในยุคโบราณก็ค่อยๆ ถูกลืมเลือนไปโดยสิ้น
เย่ฟ่านนั่งอยู่ในระยะไกลและจ้องมองอย่างเงียบๆ นี่เป็นการต่อสู้ของผู้สูงสุดหรือไม่ก็ผู้บ่มเพาะอาณาจักรแปลงมังกรเท่านั้น กล่าวกันตามตรงคนเหล่านี้ไม่คู่ควรที่จะหิ้วรองเท้าให้เขาด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะเข้าร่วมการต่อสู้ตั้งแต่แรก
“เฉียง”
ปราณกระบี่ฟาดฟันขึ้นไปบนท้องฟ้า กระบี่หมุนวนสลับกันไปมา จ้านปี้ฟ่านแห่งสำนักกระบี่ซูซานเอาชนะยอดฝีมืออาณาจักรแปลงมังกรสิบสองคนติดต่อกัน
ความแข็งแกร่งของเขายากที่จะหาคนรุ่นเดียวกันเปรียบเทียบได้
“สามารถแปลงกายเป็นมังกรได้! ไม่น่าเชื่อจริงๆ ต่อให้เป็นยอดฝีมือรุ่นอาวุโสก็ยากจะมีความสำเร็จถึงขนาดนี้”
ผู้บ่มเพาะหลายต่อหลายคนที่จับจ้องไปยังจ้านปี้ฟ่านและถอนหายใจ
หลังจากการต่อสู้หลายครั้ง ไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้ เขาได้รับการยกย่องจากผู้บ่มเพาะจำนวนมากที่รายล้อมอยู่ด้านข้างของเวที
ในอีกด้านหนึ่ง หลงเสี่ยวเชวียก็ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะเขาได้เช่นกัน วิญญาณชั่วร้ายถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของเขาและพลุ่งพล่านไปทั่วบริเวณ ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง
ดวงตาที่งดงามของผู้บ่มเพาะหญิงหลายคนเปล่งประกายแวววาว ร่างอันทรงพลังเช่นนี้มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นผู้บ่มเพาะอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกในอนาคต ใครบ้างจะไม่อยากครองคู่กับเขา
ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนทำนายว่าเด็กคนนี้แม้จะอยู่ในยุคสิ้นสุดธรรมแต่เขาก็ยังมีโอกาสสูงมากที่จะทะลวงเข้าสู่อาณาจักรผู้สูงสุดได้ ดังนั้นหลงเสี่ยวเชวียจึงได้รับการยกย่องอย่างสูง