บทที่ 527: หยุดพัก ลอบสังหารยามวิกาล!
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทุกคนรีบเก็บข้าวของและออกเดินทางออกจากหุบเขาแห่งนี้ไป
ร่างของเอิร์ลเทพจันทราได้ถูกนำกลับไปด้วย และจะมีการนำไปฝังไว้ยังแผ่นดินบ้านเกิดของเจ้าตัวเพื่อให้ได้รวมอยู่กับต้นไม้โลกของเผ่าเอลฟ์ตลอดไป
ในระหว่างการเดินทางนี้หมู่คณะไม่ได้พบกับศัตรูของเอิร์ลเทพจันทราเลย เป็นผลให้ทุกคนไม่มีใครกล้าประมาทและคอยระแวดระวังภัยกันตลอดเวลา
ไอ้คนทรยศก่อนหน้านี้เกือบจะกวาดล้างทั้งคณะไปแล้ว ดังนั้นจึงต้องระวังไว้ก่อนเผื่อพวกเวรนี่มันจะยิงมุกซ้ำ
เดินผ่านเส้นทางอันขรุขระมาได้ก็มาเจอกับแม่น้ำเหมือนเดิม ถังเจิ้นได้เอาเรือลำเดิมออกมาและล่องกลับไปยังแคมป์ต้นน้ำ
การเดินทางทางเรือครั้งนี้เป็นไปโดยสวัสดิภาพ หลังจากมาถึงแคมป์ต้นน้ำแล้วทุกคนก็พักผ่อนกันอีกคืนหนึ่ง เมื่อถึงรุ่งสางก็ตรงกลับเมืองนอร์มากัน
หมู่คณะได้กลับถึงย่านการค้านอกเมืองนอร์มากันในช่วงเย็นและตัดสินใจว่าจะพักค้างอ้างแรมกันที่นี่อีกซักคืนก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ
เจ้าเมืองนอร์มาเมื่อรู้ว่าพวกเยว่เชียนหัวกลับมาแล้วก็รีบออกหน้ามาให้การต้อนรับ ขณะเดียวกันได้ได้เชิญให้พวกเธอเข้าไปพักผ่อนกันในโหลวเฉิงก่อน
เยว่เชียนหัวได้ปฏิเสธอีกฝ่ายและกลับเข้าเต็นท์ของตนไปเงียบ ๆ โดยไม่แม้แต่จะออกมากินข้าว
นับตั้งแต่เอิร์ลลูน่าเสียไปเธอก็อยู่ในอารมณ์หดหู่มาโดยตลอด เหตุการณ์นี้พูดได้เลยว่าส่งผลเสียต่อจิตใจเธออย่างหนักหน่วงจริง ๆ ถึงขนาดที่ตลอดทางมานี้เธอยังไม่อาจปลดปล่อยใจตัวเองให้หลุดออกจากความเศร้าโศกเสียใจได้เลย
ในตลาดย่านการค้านี้มีกองไฟอยู่ทุกหนทุกแห่ง และมักจะมีพวกผู้พเนจรเดินผ่านไปมาพูดคุยอะไรกันสนุกสนาน บางส่วนถึงกับเมาปลิ้นกันเลยด้วยซ้ำ
หากเทียบกับผู้พเนจรในแดนร้างแล้ว ผู้พเนจรในดินแดนอันอุดมสมบูรณ์เหล่านี้ถือว่าดีกว่าเยอะ เพราะที่นี่อยู่ไม่ไกลจากป่าฝันร้าย ทำให้คนเหล่านี้ที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ กับย่านการค้านอร์มาโดยพื้นฐานแล้วไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการกินดื่ม
เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้วการได้มาซึ่งคุณสมบัติการเป็นพลเมืองของโหลวเฉิงที่นี่นั้นยากกว่าที่แดนร้าง ถึงขนาดที่ว่าแม้จะรับใช้โหลวเฉิงตั้งแต่เกิดยันตายก็ตาม แต่อาจไม่ได้รับแม้กระทั้งคุณสมบัติเตรียมเป็นพลเมืองด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้นการจะสร้างโหลวเฉิงขึ้นซักแห่งบนผืนดินนี้ยังห่างไกลจากคำว่ายากเยอะ เพราะจริง ๆ แล้วมันโคตรของโคตรยากเลย สาเหตุคือผืนแผ่นดินทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีเจ้าของแล้วทั้งสิ้น!
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่ดิน เมื่อสร้างเมืองขึ้นมาแล้วสิ่งที่จะต้องเจอไม่แค่มอนสเตอร์ปิดล้อม แต่เจ้าของที่ยังจะเข้ามาผสมโรงกระทืบกะเขาด้วย!
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่แตกต่างระหว่างแดนร้างกับดินแดนอันอุดมสมบูรณ์นี้ เช่นเรื่องความเข้มงวดของลำดับชนชั้นที่สูงมาก การต่อสู้ระหว่างนักรบด้วยกันเองที่มีจำนวนบ่อยครั้งกว่าการต่อสู้ระหว่างนักรบกับมอนสเตอร์เยอะ!
นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมแดนร้างอันแสนจะแห้งแล้งนั้นยังคงมีคนกล้าเข้าไปอยู่อาศัย
เห็นได้ชัดเลยว่าเมื่อเทียบกับบริเวณนี้แล้วในแดนร้างจะมีอิสระมากกว่า!
พื้นที่ที่พวกถังเจิ้นพักอยู่ตอนนี้ได้แยกออกจากที่อื่น ๆ โดยทางเมืองนอร์มาได้ส่งคนมาคอยอารักขาคุ้มกัน เนื่องจากไม่ต้องการให้เหล่าเอลฟ์ได้รับอันตรายในพื้นที่ปกครองของตน ไม่อย่างนั้นล่ะก็พวกตนจะต้องถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุร้ายที่ไม่มีปัญญารับมือไหว
ในพื้นที่เปิดโล่งแห่งนี้ บรรดานักรบเชิ่งหลงได้ตั้งเต็นท์ขึ้นมาจำนวนหนึ่งและจัดคนบางส่วนเฝ้าเวรยามไว้ ส่วนที่เหลืออีกเป็นส่วนใหญ่ก็ไปพักผ่อนกัน
การเดินทางรัว ๆ ในครั้งนี้แม้จะได้นอนพักค้างอ้างแรมอยู่ตลอด แต่ก็ใช่ว่าจะหลับสนิทดี ดังนั้นจึงได้เสียแรงกายและแรงใจไปเยอะพอสมควร ดังนั้นในเมื่อตอนนี้ได้มาอยู่ยังสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยแล้วก็เลยถือโอกาสพักผ่อนให้เต็มที่เพื่อฟื้นฟูพละกำลังที่เสียงไปให้กลับมาคืนโดยเร็วที่สุด
ถังเจิ้นยังคงเหมือนเดิมคือนั่งเปิดหน้าหนังสืออ่านข้าง ๆ กองไฟ ส่วนเจ้าอ้วนนั้นก็เหมือนเดิมคือทำตัวไม่เหมือนกับลอร์ด 3 ดาวแถมยังปกปิดพลังไว้ไม่ให้ใครรู้เป็นปกติได้วิ่งเข้าไปลากคอพวกผู้พเนจรแปลกหน้าแถว ๆ นั้นไปหากินดื่มพลางคุยโม้ปากเหม็นกับคนเหล่านั้นอย่างหน้าด้าน ๆ
บนถนนไม่ไกลนักมีขี้เมาขาจรหลายคนเดินผ่านมา ซึ่งบางทีอาจจะเพราะเมา ๆ กันอยู่ก็ได้ถึงดูไม่ออกว่าบริเวณนี้ถูกกันไว้เป็นพื้นที่ส่วนตัวและยังคงเดินตรงเข้ามา
นักรบนอร์มาที่เฝ้ายามอยู่ก็เข้าไปขวางพร้อมกับตะโกนไล่ให้พวกมันไสหัวไปเสียงดังหนวกหู
หลังจากที่ผู้พเนจรพวกนี้ถูกหยุดก็ได้มี 2 คนในนั้นแหกปากทะเลาะกับนักรบคนดังกล่าว โดยที่อีก 3 คนที่เหลือได้เดินดุ่ม ๆ ตรงมายังพื้นที่ที่พักของพวกถังเจิ้น
จังหวะนี้เองที่ทุก ๆ ต่างสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล นักรบเชิ่งหลงที่เฝ้ายามอยู่ก็ยกเล็งที่หน้าไอ้ผู้พเนจรพวกนั้นที่พอดูดี ๆ แล้วพวกมันปิดหน้าปิดตาไว้ทำให้เห็นหน้าไม่ชัด
“หยุดตรงนั้นแหละไม่งั้นกูยิง!”
ซึ่งไอ้ตะโกนบอกก็เรื่องหนึ่ง แต่นิ้วกลับเหนี่ยวไกปืนไปเรียบร้อย
กันไว้ดีกว่าแก้ ไม่ผิดอะไรที่จะระวังไว้ก่อนต่อให้อีกฝ่ายจะไม่ใช่ศัตรูก็ตาม เพราะพวกมันผิดเองที่ไม่ฟังคำเตือนและบุกรุกเขตหวงห้ามเข้ามา!
ปั้ง!
เมื่อเสียงปืนดังขึ้นไอ้คนที่เดินนำหน้ามาซึ่งไม่ทันระวังก็หัวระเบิด
พวกที่เหลืออีก 2 ที่เดินมาด้วยกันก็หน้าซีดตัวสั่นด้วยความกลัว จากนั้นพวกมันก็พุ่งเข้าชาร์จนักรบเชิ่งหลงคนนั้นด้วยความเร็วสูงปานสายฟ้าซึ่งผู้พเนจรธรรมดาไม่ควรทำได้
มือของพวกมันที่แต่เดิมว่างเปล่าได้มีดาบสั้นสะท้อนแสงไฟวาววับซึ่งดูรู้เลยว่าเป็นอาวุธเวทมนตร์ราคาแพง!
พวกมันเคลื่อนที่กันเร็วมาก พริบตาเดียวก็ย่นระยะทางจากสิบกว่าเมตรจนแทบเหลือศูนย์และกำลังจะฆ่านักรบคนนั้น
ทว่านักรบเชิ่งหลงกลับไวกว่าพวกมันเยอะ ในเมื่อพวกมันเผยหางออกมาแล้วก็มีปากกระบอกปืนเป็นสิบ ๆ ยิงถล่มเข้าใส่
ไอ้ 2 คนแรกที่แสร้งทำเป็นแหกปากทะเลาะกับนักรบนอร์มาเพื่อเบนความสนใจจู่ ๆ ก็แสดงความเหี้ยมโหดออกมาโดยจัดการสังหารนักรบนอร์มาคนดังกล่าวในทีเดียวแล้วรีบตามพวกที่โดนยิงก่อนหน้าไปอย่างใกล้ชิด
นอกจากไอ้พวกที่มาซึ่ง ๆ หน้าแล้วก็ยังมีพวกที่แอบหลอยหลังด้วย ในทิศทางอื่น ๆ ของค่างได้มีเงาร่างของศัตรูวูบไปแวบมาทำให้มีผู้ที่ต้องทิ้งชีวิตไปประมาณสี่สิบถึงห้าสิบคนในเวลาเพียงแค่แป๊บเดียว
ย่านการค้าที่ตอนแรงสงบสุขบัดนี้ได้โกลาหลเพราะเสียงปืนและการฆ่าฟัน
การยิงปืนในสภาพแวดล้อมที่กำลังโกลาหลเช่นนี้ง่ายต่อการยิงโดนกันเอง ดังนั้นนอกจากนักแม่นปืนขั้นเทพบางคนแล้ว ฝ่ายเชิ่งหลงที่เหลือต่างก็ชักดาบออกมาสู้กับศัตรู
ที่หน้าเต็นท์ของเยว่เชียนหัวมีเหล่านักรบเอลฟ์หลายสิบคนมารวมตัวกันโดยที่หันมองโดยรอบด้วยใจที่กระวนกระวาย
เงาดำเงาหนึ่งได้พุ่งเข้ามาโดยไม่ได้สนใจพวกที่กำลังฆ่าฟันกันอยู่ตามทางพร้อมกับแสงดาบเย็นเยียบและฟาดดาบใส่เต็นท์
เหล่านักรบเอลฟ์ทั้งหลายต่างพยายามป้องกัน แต่ฝ่ายโจมตีกลับซัดคนเหล่านั้นกระเด็นไปหมดได้ในดาบเดียว พวกเอลฟ์กระเด็นไปตกไม่ไกลจากเต็นท์มากนักในสภาพที่เลือดไหลออกปากจมูก
“ไอ่สัดนี่มันเป็นลอร์ดสองดาว!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงออร่าของศัตรูแล้วฝ่ายเอลฟ์ก็แทบจะหยุดหายใจ ทว่าแม้จะกลัวแค่ไหนก็ยังคงเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างกล้าหาญ
ฝ่ายคนโจมตีก็ยิ้มเหี้ยมเกรียมเดินพลางกระดกปลายดาบเบา ๆ เหมือนกำลังเดินเล่นเข้าไปหาพวกนักรบเอลฟ์ผู้กล้าหาญแล้วตวัดทแยง
หากคมดาบนี้แตะโดนร่างเข้าล่ะก็ ด้วยความคมและความแรงเพียงอย่างเดียวก็มากพอที่จะผ่าร่างของเหยือให้ขาดสองท่อนได้สบายบรื๋อ!
คมดาบเร็วมากจนพวกเอลฟ์หลบไม่ทัน ดังนั้นจึงได้แต่เฝ้ามองคมดาบที่ค่อย ๆ เข้ามาใกล้กับร่างของตนอย่างมิอาจขัดขืน
ทว่าในขณะที่ดาบกำลังจะสัมผัสร่างนั้นเองจู่ ๆ มันก็หยุดกึกอย่างน่าประหลาดเหมือนโดนหยุดเวลาไว้และไม่อาจเคลื่อนเข้ามาใกล้ได้อีก!
เหล่าเอลฟ์ที่รอดตายหวุดหวิดต่างก็ทำหน้างง เมื่อมองหน้าไอ้คนที่โจมตีจะเห็นว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้ามันทั้งเกร็งทั้งกระตุกยิก ๆ แถมแววตามันยังบ่งบอกด้วยอีกว่ากำลังขวัญผวาอยู่
“เฮ่ย~ กูยังไม่ได้ค่าจ้างเลย เพราะงั้นไอ้หน้าไหนอยากแตะต้องหล่อนต้องผ่านส้นตีนกูให้ได้ก่อนเว่ย!”
เสียงของถังเจิ้นดังแว่วมาไม่ไกลนัก เขาได้เดินเข้ามาหาไอ้คนโจมตีอย่างช้า ๆ แล้วหยิบดาบออกจากมือมันภายใต้สายตาอึ้ง ๆ ของพวกเอลฟ์
“จำไว้นา ในเมื่อมึงเตรียมใจมาฆ่าคนแล้วก็ต้องเตรียมใจโดนฆ่ากลับด้วย!” ถังเจิ้นจ้องตาอีกฝ่ายที่ตอนนี้หน้าเบี้ยวไปหมดและสั่นสะท้านไปทั้งตัว จากนั้นก็ส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมกับตวัดดาบ
ฉับ!
แสงสะท้อนวิบเดียวหัวของมันก็ปลิวขึ้นฟ้า ร่างไร้หัวชักกระตุกต่อไปอีกหน่อยพลางล้มลงกับพื้น
ซึ่งในจังหวะเดียวกับที่หัวของไอ้คนนี้กระเด็นมันก็มีเงาดำอีกเงาหนึ่งวาบออกไปโดยจากทิศทางคือจะหนีออกจากย่านการค้า
ถังเจิ้นไม่แม้แต่จะหันไปมอง แต่ดาบในมือนั้นราวกับแปรสภาพเป็นลำแสงยิงใส่เงาดำนั่น
เกิดเสียงแหกปากกรีดร้องดังลั่น ทุกคนต่างหันไปมองตามเสียงและพบว่าไอ้มือสังหารที่พยายามจะหนีเมื่อกี๊โดนดาบตอกตัวติดกับกำแพงหินของย่านการค้าไปเรียบร้อย
กำแพงสูงประมาณ 5 เมตร จุดที่มันถูกตรึงอยู่สูงจากพื้นประมาณ 2 เมตร ร่างทั้งร่างมันลอยอยู่กลางอากาศ
แม้จะอยู่ในสภาพโดนดาบเสียบอกแต่ก็ยังไม่ยอมตายง่าย ๆ และยังคงพยายามที่จะดึงดาบออก แต่ว่าพยายามได้เพียงสองสามครั้งสุดท้ายแล้วก็คอพับและแน่นิ่งไป
พวกเอลฟ์ที่เห็นฉากแบบนี้ก็มีแต่ต้องอ้าปากค้าง
เพราะฝ่ายลอบสังหารที่ถูกถังเจิ้นตัดหัวไปรายแรกก็เหมือน ๆ กันกับไอ้ที่ถูกตอกติดกับกำแพงนั่นก็คือเป็นระดับลอร์ด 2 ดาวอย่างแท้ทรู แต่คนระดับนั้นกลับถูกสังหารไม่ต่างจากลูกเป็นลูกไก่!
นั่นแปลว่าระดับพลังยุทธ์ที่แท้จริงของเจ้าเมืองเชิ่งหลงผู้ซึ่งมักจะดูใจดีให้เห็นกันอยู่ตลอดเวลามันต้องโหดมาก ๆ เลยน่ะสิ!