บทที่ 17: การสอบสามอย่าง
บทที่ 17: การสอบสามอย่าง
[วรยุทธ์]: วิชากระบี่ทลายวายุขั้นสมบูรณ์ (วรยุทธ์ขั้นสาม ไม่สามารถพัฒนาได้อีกต่อไป) วิชาฐานรากผสมขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อย (54%)
ในห้องพักของโรงเตี๊ยม ลู่หยุนซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยแสงที่ลึกล้ำและไม่มีใครเทียบได้ เขาดูไม่เหมือนกับเด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงสิบเอ็ดปีเลย
“วันนี้เป็นวันสอบแล้ว” ลู่หยุนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยในใจ
เขาอยู่ในโลกนี้มาเกือบครึ่งปีแล้ว โดยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขามาโดยตลอด
แต่ในตอนนี้ ตราบใดที่เขาผ่านการทดสอบ เขาก็จะสามารถเข้าสู่โลกแห่งวรยุทธ์ได้อย่างเต็มตัวและมีโอกาสที่จะได้ก้าวไปสู่ขอบเขตวรยุทธ์ที่สูงขึ้น
เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ เขาจึงทุ่มสุดตัวและไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้
“ด้วยความช่วยเหลือจากการฝึกฝนอย่างหนักและคะแนนพลังงานที่สะสมมาได้ ฉันก็ได้ปรับปรุงความก้าวหน้าของวิชาฐานรากผสมจนไปถึง 54% แล้ว ซึ่งมันก็นับได้ว่าเข้าใกล้ขั้นเชี่ยวชาญไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว” จิตใจของลู่หยุนเคลื่อนไหวเล็กน้อย และเลือดกับปราณของเขาก็พุ่งทะยานสูงขึ้น มันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อในทุกการเคลื่อนไหวที่เขาทำ
หากเขาต้องเผชิญหน้ากับกองโจรจากครั้งที่แล้วอีกครั้ง ลู่หยุนก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถเอาชนะพวกมันทั้งหมดได้ด้วยการโจมตีเพียงสองครั้ง
ความมั่นใจของเขาส่วนใหญ่มาจากวิชาฐานรากผสมซึ่งเป็นเคล็ดวิชายุทธ์ขั้นสองชั้นยอด
ด้วยขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อย ลู่หยุนก็รู้สึกว่าเขาไร้เทียมทานในขอบเขตยุทธ์ขั้นกลางแล้ว
หลังจากซักผ้าและสวมเสื้อผ้าใหม่ที่พี่สาวของเขาเตรียมไว้ให้เขาแล้ว ลู่หยุนก็ผลักประตูแล้วเดินออกมา
อานชั้นหนึ่งเข้ากันกับม้าชั้นยอด และเสื้อผ้าสีดำก็เข้ากันกับชายหนุ่มรูปงาม ลู่หยุนในชุดสีดำเพิ่งก้าวออกจากประตู จากนั้นลู่เหลียงเผิงซึ่งรออยู่ข้างนอกมาเป็นเวลานานแล้วก็ทักทายเขา
“ลู่หยุน ในที่สุดเจ้าก็ออกมา หัวหน้าหมู่บ้านและคนอื่นๆ กำลังรอเจ้าอยู่อย่างใจจดใจจ่อเลย เราต้องรีบออกเดินทางกันแล้ว”
ลู่หยุนขอโทษด้วยรอยยิ้ม “ขอโทษที่ทำให้รอนาน!”
เมื่อมาถึงชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม ลู่หยุนก็เห็นลู่คังเซิง ลู่คังและลู่เทียนหู อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้ใจร้อนเหมือนอย่างที่ลู่เหลียงเผิงอธิบายเอาไว้เลย
“เรายังมีเวลาอยู่ มาหาอะไรกินให้อิ่มท้องกันก่อนเถอะ” ลู่คังกวักมือเรียกลู่หยุนให้นั่งลง
พวกเขามีกันห้าคน แต่มันมีซุปเพียงสามชามเท่านั้น ซึ่งมันก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตรียมมันเอาไว้สำหรับลู่หยุน, ลู่เหลียงและลู่เทียนหูโดยเฉพาะ
ชายหนุ่มทั้งสามไม่ได้ลังเลหรือกระทำการอย่างสุภาพ ภายใต้การจ้องมองของลู่คังเซิง พวกเขาก็ดื่มซุปจนหมดอย่างรวดเร็ว
“วันนี้ข้าขอให้พวกเจ้าได้รับชัยชนะและทำทุกสิ่งได้สมดั่งความปรารถนา!” หลังจากพูดสร้างแรงบันดาลใจแล้ว ทั้งกลุ่มก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมไปด้วยกัน
บนถนนมีคนหนุ่มสาวและผู้ฝึกยุทธ์อยู่มากมาย มันทำให้ที่นี่มีชีวิตชีวามาก พวกเขาทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าตรงไปที่จัตุรัสกลางของเมือง ซึ่งการสอบจัดขึ้นที่นั่น
ในระหว่างการเดินทาง ลู่หยุนได้รู้ข้อมูลบางอย่างมาจากลู่คังเซิง
ประการแรก ในระหว่างการฝึกฝนอย่างหนักและอย่างสันโดษ มณฑลเมฆาวารีได้ถูกรบกวนจากพรรคมาร ทหารยามได้ถูกส่งออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า และแม้แต่ทหารยามที่เฝ้ารักษาความปลอดภัยของเมืองก็ยังถูกส่งออกไปแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ลู่หยุนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยในขณะที่เขาฟังข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับพรรคมาร แต่เขาก็รู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเกี่ยวกับพรรคมารเหล่านั้น
จากสิ่งที่เขารู้ มีพรรคมารมากมายในจักรวรรดิ โดยพรรคมารที่ทรงพลังที่สุดคือพรรคอสูรจันทร์สีชาด อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของพวกมันก็ยังแผ่มาไม่ไปถึงที่นี่
หลังจากได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากลู่คังเซิงแล้ว ลู่หยุนก็พบว่าพรรคมารที่อาละวาดอยู่ในรัฐหลิงคือพรรคดอกบัวขาว ซึ่งเป็นหนึ่งในพรรคมารที่ทรงพลังในจักรวรรดิ
แคว้นวิญญาณยุทธ์เป็นหนึ่งในแคว้นของรัฐหลิง และเป็นเวลาหลายปีแล้วที่พรรคดอกบัวขาวมีความกระตือรือร้นจะเข้ามาแทรกซึมในแคว้นวิญญาณยุทธ์
ประการที่สอง มีบุคคลที่มีพรสวรรค์จำนวนมากมาเข้าร่วมในการสอบของสถาบันศึกษายุทธ์ และรวมถึงผู้ฝึกยุทธ์อย่างเป็นทางการจำนวนมาก และแม้แต่ความภาคภูมิใจจากสวรรค์ ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเส้นลมปราณก็ยังปรากฎตัวขึ้นที่นี่
“ขอบเขตเส้นลมปราณ?” ดวงตาของลู่หยุนกะพริบ
มีข้อจำกัดในการเข้าร่วมการสอบของสถาบันศึกษายุทธ์ และข้อจำกัดประการแรกคืออายุที่ต้องไม่เกิน 15 ปี
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเส้นลมปราณก็ไม่น่าจะแก่ไปกว่าลู่หยุนมากนัก และเขาก็ไม่น่าจะอายุเกินสิบห้าปี
และแม้ว่าพวกเขาจะอายุสิบห้าปีพอดี แต่เขาก็ไม่สามารถประมาทพวกเขาได้
ในหมู่บ้านธารวิญญาณ นอกเหนือจากลู่คังเซิงแล้ว มันก็ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเส้นลมปราณคนอื่นอีกเลย
จากสิ่งนี้ จะเห็นได้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเส้นลมปราณนั้นหายากเพียงใด ในบางสถานที่ มันแสดงถึงการดำรงอยู่ที่ทรงพลังที่สุด
“ข้าเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเด็กที่อยู่ในขอบเขตเส้นลมปราณมาก่อน ดูเหมือนว่าชื่อของเขาคือเสี่ยวเฉิน อัจฉริยะกระบี่ที่มีพรสวรรค์อันน่าสะพรึงกลัวในการเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีระดับสูงกว่าได้ และในตอนที่เขาอยู่ในขอบเขตยุทธ์ เขาก็ได้สังหารผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเส้นลมปราณลงไปแล้วมากกว่าหนึ่งหยิบมือ” ลู่คังพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มจริงๆ
“เอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตที่สูงกว่า?” ลู่เหลียงเผิงอ้าปากค้าง “ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมีคนทำเช่นนี้ได้จริงๆ”
ลู่เทียนหูยังคงเงียบ แต่ลู่คังก็สังเกตเห็นอาการของเขาและปลอบใจว่า “อย่าท้อแท้ไปเลย ตอนนี้พวกเจ้าใกล้จะได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์กันอย่างเต็มตัวแล้ว และจะมีโอกาสที่ดีที่จะได้ผ่านการทดสอบ”
“ขอบพระคุณสำหรับคำพูดดีๆ ของท่าน พี่ลู่คัง!” ลู่เทียนหูพยายามบีบรอยยิ้มออกมา
“ข้าจะมีโอกาสเช่นนั้นจริงๆ หรอ?” ลู่เทียนหูถอนหายใจอย่างลับๆ ในใจ เขาเหลือบมองเด็กหนุ่มชุดดำที่เดินอยู่ข้างหน้าเขา
“เขาอายุยังน้อยกว่าข้ามาก แต่เขาก็ได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ไปแล้ว นี่คือความแตกต่างในด้านพรสวรรค์ใช่ไหม?”
เขาส่ายหัวเล็กน้อยในขณะที่เขาเดินหน้าต่อไป
ลู่หยุนไม่รู้ว่าลู่เทียนหูกำลังคิดอะไรอยู่ และเขาก็ไม่ได้อยากรู้ด้วย สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คือการได้เห็นว่าคนที่น่าทึ่งประเภทไหนกันที่จะสามารถเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเส้นลมปราณได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 15 ปี
“แม้ว่าตอนนี้ฉันจะอยู่ในขอบเขตยุทธ์ขั้นกลางเท่านั้น แต่ตราบใดที่ฉันยังพอมีเวลา การไปถึงขอบเขตเส้นลมปราณก่อนอายุ 15 ปีก็ไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน”
“แต่ถึงอย่างนั้น ในขณะที่ฉันยังอยู่ในขอบเขตยุทธ์ ฉันจะสามารถเอาชนะผู้ที่อยู่ขอบเขตเหนือกว่าได้ไหมนะ?”
ลู่หยุนคิดกับตัวเอง แต่ไม่นานเขาก็ส่ายหัว
เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของตัวเองดี และตระหนักได้ว่าโอกาสที่เขาจะสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเส้นลมปราณในตอนนี้ได้นั้นยังมีน้อยมาก
เว้นซะแต่หลังจากเข้าสู่สถาบันศึกษายุทธ์แล้วและได้รับโอกาสอื่นๆ เช่นเคล็ดวิชายุทธ์ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น
...
วันนี้ ในเมืองหลวง ถนนถูกทิ้งร้าง เนื่องจากผู้คนจำนวนมากได้มุ่งหน้าไปที่จัตุรัสกลางเพื่อดูการสอบเข้าของสถาบันศึกษาวรยุทธ์ มันจึงทำให้ถนนเงียบลงอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้า ลู่หยุนและกลุ่มของเขาก็ได้มาถึงจัตุรัสกลาง
ลู่หยุนจ้องมองไปทั่วจัตุรัส เขาสังเกตเห็นพื้นที่อันยิ่งใหญ่และกว้างขวาง มันครอบคลุมพื้นที่เกือบเท่าสนามฟุตบอลสิบสนาม ซึ่งเพียงพอที่จะรองรับผู้คนได้นับหมื่นคน
ชายหนุ่มและหญิงสาวบนจัตุรัสลุกขึ้นยืนอย่างภาคภูมิใจ พวกเขาเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงของวัยเยาว์
ด้านนอกจัตุรัส มีทหารยามรักษาความปลอดภัยประจำเมืองและทหารชุดเกราะดำจำนวนมากพร้อมด้วยอาวุธและหน้าไม้หนัก พวกเขาคอยกันผู้ฝึกยุทธ์และผู้ชมคนอื่นๆ ไว้ข้างนอก
เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ทหารยามรักษาความปลอดภัยประจำเมืองและทหารเกราะดำจึงถูกจัดเตรียมไว้รอบๆ จัตุรัสกลางเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในการสอบ
“ผู้ที่เข้าร่วมการสอบโปรดเข้าแถวตามลำดับและเข้าไปในจัตุรัส คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอบขอให้รอข้างนอก” ขณะที่ลู่หยุนและกลุ่มของเขาเข้าไปใกล้ ยามเมืองก็ตะโกนขึ้น
ลู่คังเซิงหยุดเดินและพูดอย่างจริงจังว่า “เสี่ยวคังและข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว”
ในการจากลา ลู่คังยังกำหมัดของเขาและกล่าวสนับสนุนว่า “ต่อสู้ให้เต็มที่และนำความรุ่งโรจน์มาสู่หมู่บ้านธารวิญญาณของเรา!”
“เราจะพยายามทำให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน และจะไม่ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านกับพี่ใหญ่ลู่คังผิดหวัง!” ลู่เหลียงเผิงหัวเราะและให้กำลังใจตัวเองเช่นกัน
เนื่องจากมีผู้เข้าร่วมการสอบหลายพันคน ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะบอกว่าเขาไม่มีความกดดันเลย
ในบรรดาทั้งสามคนนั้น ลู่หยุนเป็นคนเดียวที่มีความมั่นใจอย่างแท้จริง
“ผู้ที่เข้าร่วมการสอบโปรดเข้ามาและยืนรออย่างเป็นระเบียบ ไม่ต้องรอผู้มาสาย!” เสียงตะโกนดังออกมากลบเสียงรอบข้างทั้งหมดและเข้าหูของทุกคนอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มและหญิงสาวรีบรวมตัวกัน และลู่หยุน, ลู่เทียนหูและลู่เหลียงเผิงก็มาเข้าร่วมกับพวกเขาโดยยืนอยู่ด้านหลังแถว
เมื่อเวลาผ่านไป แถวก็ขยายยาวขึ้นเรื่อยๆ และผู้สมัครก็ทะลุหลักพันไปอย่างรวดเร็ว
“หลายคนที่อยู่ด้านหน้าน่าจะเป็นอัจฉริยะที่พักอยู่ในโรงเตี๊ยมมังกรทะยาน ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะเป็นที่รู้จักและได้รับการยกย่องอย่างสูงจากมณฑล” ลู่หยุนหรี่ตาลง
ในแถวทั้งหมด มีร่างสิบหกร่างยืนหยัดอย่างภาคภูมิใจอยู่ด้านหน้าโดยรักษาระยะห่างจากคนอื่นๆ และหนึ่งในนั้นก็คือมู่ชิงหยุนที่เคยปะทะวาจากับลู่หยุนและคนอื่นๆ มาก่อน
ในขณะนี้ สายตาของผู้ฝึกยุทธ์และผู้ชมนอกจัตุรัสก็กำลังจับจ้องไปที่คนหนุ่มสาวสิบหกคนนี้ที่มีลักษณะพิเศษ
ลู่หยุนไม่ได้แปลกใจเลยเมื่อมองดูความภาคภูมิใจของสวรรค์ทั้งสิบหกคนนี้ เขาพยายามมองหาอัจฉริยะกระบี่ที่สามารถต่อสู้กับคนที่อยู่เหนือระดับของเขาได้
หลังจากดูไปสักพัก เขาก็ไม่พบอะไรเลยและถอนสายตาออกไปอย่างช่วยไม่ได้
นี่เป็นเรื่องปกติ เนื่องจากคนหนุ่มสาวทั้งสิบหกคนมีระดับการฝึกยุทธ์ที่สูง ดังนั้นมันจึงยากสำหรับลู่หยุนที่จะบอกว่าใครแข็งแกร่งกว่าใคร
ในขณะนั้นเอง จู่ๆ จัตุรัสก็มีเสียงดัง และลู่หยุนก็มองออกไปเพื่อดูร่างสี่ร่างที่เดินเข้ามาพร้อมกันจากทางเข้า
“คนเหล่านี้จะต้องเหนือกว่าขอบเขตเส้นลมปราณมากแน่นอน!” ลู่หยุนคิดกับตัวเอง
เขาเคยสัมผัสกับพลังขอบเขตเส้นลมปราณของลู่คังเซิงมาก่อน แต่จากออร่าของคนทั้งสี่นี้ เขาก็รู้สึกได้ถึงรัศมีที่ท่วมท้นซึ่งเหนือกว่าที่เขาเคยประสบมาก
นอกจากนี้ นี่ก็ยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวของออร่าที่พวกเขาปล่อยออกมาโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย
“มันคือผู้ว่าการมณฑล, ผู้บัญชาการมณฑลและศิษย์อัจฉริยะทั้งสองคนจากสถาบันศึกษายุทธ์!” ผู้ชมที่จ้องมองอยู่อุทาน
ผู้ว่าการมณฑลและผู้บัญชาการมณฑลเป็นบุคคลที่มีอำนาจและมีอิทธิพลมากที่สุดในเทศมณฑลเมฆาวารี และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ยังอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตปราณแท้แล้ว
นอกจากนี้ อัจฉริยะทั้งสองจากสถาบันศึกษาวรยุทธ์เองก็จะต้องไม่ได้อ่อนแอไปกว่าขอบเขตปราณแท้อย่างแน่นอน
เมื่อมีมหาอำนาจขอบเขตปราณแท้สี่คนมารวมตัวกัน ฉากดังกล่าวจึงสร้างความแตกตื่นเป็นอย่างมาก
ภายใต้การจ้องมองที่ดูตื่นเต้นของฝูงชน ผู้ทรงอำนาจทั้งสี่ก็ได้มาถึงเวทีกลางจัตุรัสและนั่งลง พวกเขามองลงไปที่ผู้คนในจัตุรัส
ด้วยการจ้องมองของพวกเขาทั้งสี่ บรรยากาศที่มีชีวิตชีวาในที่สุดก็หยุดนิ่งลงโดยทันที
“การประเมินนี้แบ่งออกเป็นสามรายการ รายการแรกคือการยืนยันอายุกระดูกและตรวจสอบตัวตน” เสียงของหลินเฉินดังขึ้นผสมกับพลังปราณแท้ ดังนั้นมันจึงทำให้เสียงของเขากระจายออกไปและดังก้องไปทั่วทั้งจัตุรัส