บทที่ 16: การสอบเริ่มต้น สองแขกผู้มีเกียรติ
บทที่ 16: การสอบเริ่มต้น สองแขกผู้มีเกียรติ
ในไม่ช้า ลู่หยุนก็ย่อยโสมโลหิตและเห็ดหลินจือเสร็จ เขาเรียกหน้าจอค่าคุณสมบัติออกมา
[ชื่อ]: ลู่หยุน
[ที่อยู่]: หมู่บ้านธารวิญญาณ
[วรยุทธ์]: วิชากระบี่ทลายวายุขั้นสมบูณ์ ( วรยุทธ์ขั้นสาม ไม่สามารถพัฒนาได้อีกต่อไป), วิชาฐานรากผสมขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อย (4%)
[พรสวรรค์โดยกำเนิด]: ขั้น 5
[ขอบเขตวรยุทธ์]: ขอบเขตยุทธ์ขั้นกลาง
[คะแนนพลังงาน]: 3.3
“คะแนนพลังงานเพิ่มขึ้นมา 3.2 คะแนน นี่ไม่ใช่การเก็บเกี่ยวที่แย่”
การใช้เงินเพียงหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงเพื่อรับคะแนนพลังงาน 3.2 คะแนนมานั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้สำหรับลู่หยุน
“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเก็บเงินเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต” ลู่หยุนที่ได้ลิ้มรสความหวานเป็นครั้งแรกคิดกับตัวเอง
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ สมุนไพรธรรมดาๆ อย่างโสมโลหิตก็ไม่มีผลมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงจะไม่ใช้เงินเพื่อซื้อมัน
แต่ลู่หยุนนั้นแตกต่างออกไป ด้วยพลังโกงของเขา เขาสามารถใช้เงินน้อยลงเพื่อสมุนไพรเหล่านี้มาแปลงเป็นคะแนนพลังงานได้
“ฉันสงสัยจังว่าวิชาฐานรากผสมของฉันจะสามารถพัฒนาไปได้ไกลขนาดไหนด้วยคะแนนพลังงานเท่านี้”
ลู่หยุนเพ่งความสนใจของเขาและเริ่มขยับความคิดของเขาอย่างนุ่มนวล
“พัฒนา!”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อเขามองดูหน้าจออีกครั้ง มันก็เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนแล้ว
[ชื่อ]: ลู่หยุน
[พลัง]: หมู่บ้าน Spirit Creek
[วรยุทธ์]: วิชากระบี่ทลายวายุขั้นสมบูณ์ ( วรยุทธ์ขั้นสาม ไม่สามารถพัฒนาได้อีกต่อไป), วิชาฐานรากผสมขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อย (31%)
[พรสวรรค์โดยกำเนิด]: ขั้น 5
[ขอบเขตวรยุทธ์]: ขอบเขตยุทธ์ขั้นกลาง
[คะแนนพลังงาน]: 0.3
——
ตามที่คาดไว้ คะแนนพลังงาน 3 คะแนนสามารถเพิ่มความก้าวหน้าได้เพียง 27% เท่านั้น โดยเฉลี่ยแล้ว มันก็อยู่ที่ประมาณ 9% ต่อคะแนนพลังงาน
แต่ด้วยความก้าวหน้าดังกล่าว ลู่หยุนก็ค่อนข้างพึงพอใจแล้ว
ถ้าเขาต้องพึ่งพาการทำงานหนักของตัวเอง เขาก็คงจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เดียวกันนี้
และนี่คือเป็นเพราะเขามีพรสวรรค์โดยกำเนิดขั้น 5
ระดับของพรสวรรค์โดยกำเนิดจะกำหนดขีดจำกัดสูงสุดของผู้ฝึกยุทธ์ และยังจำกัดความเร็วในการฝึกฝนของพวกเขาอีกด้วย
สำหรับคนอย่างลู่เทียนหูซึ่งมีพรสวรรค์โดยกำเนิดไม่ดีมากนัก เขาก็อาจต้องใช้เวลานานมากกว่านี้
ตอนนี้ วิชาฐานรากผสมของเขาก็ได้บรรลุขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อยแล้ว ลู่หยุนประเมินว่าเขาน่าจะมีพลังมากกว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตยุทธ์ขั้นกลางธรรมดาทั่วไปแล้ว
แต่แน่นอนว่าหากยังไม่ได้ต่อสู้จริง เขาก็ยังไม่สามารถมั่นใจได้ 100%
ท้ายที่สุดแล้ว ตั้งแต่เขาเริ่มฝึกยุทธ์มา เขาก็เพิ่งจะได้ต่อสู้ไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และบุคคลนั้นก็อยู่ในขอบเขตยุทธ์ขั้นต้นเท่านั้น
“ยังมีเวลาอีกกว่าสิบวันก่อนการประเมินจะเริ่มขึ้น แม้ว่าฉันจะไม่สามารถพัฒนาวิชาฐานรากผสมของฉันจนไปถึงขั้นเชี่ยวชาญได้ แต่ฉันก็ไม่สามารถหยุดอยู่เฉยๆ ได้เช่นกัน”
ลู่หยุนเลิกสนใจหน้าจอของเขาและคิดกับตัวเอง
เรื่องสมุนไพรและคะแนนพลังงานได้รับการแก้ไขแล้ว ดังนั้นเขาจึงเริ่มฝึกฝนแบบปิดประตู
นอกจากทานอาหารสามมื้อต่อวันแล้ว เขาก็ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกเลย
ลู่คังเซิงรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากที่ลู่หยุนฝึกฝนอย่างขยันหมั่นเพียร เขาจัดหาเนื้อสัตว์อสูรให้ลู่หยุนทุกวันเพื่อเป็นอาหารเสริม
ลู่เทียนหูและลู่เหลียงเผิงเองก็ไม่ได้เกียจคร้านเช่นกัน หลังจากการอาบน้ำยา ร่างกายของพวกเขาก็ยังคงมีพลังงานเหลืออยู่อีกมากให้ใช้
ในช่วงเวลาที่ลู่หยุนและคนอื่นๆ กำลังฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง บรรยากาศในมณฑลเมฆาวารีก็ยิ่งมีชีวิตชีวามากขึ้น เด็กเยาวชนและผู้ฝึกยุทธ์แห่กันมาจากทุกทิศทุกทางไม่เว้นในแต่ละวัน
สิบวันต่อมา
ณ บ้านพักของผู้ว่าการมณฑลเมฆาวารี เจียงหงจื่อกำลังให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติสองคน
“เพื่อขอบคุณพวกท่านทั้งคู่สำหรับการทำงานหนักของพวกท่าน ทางมณฑลของเราจึงได้เตรียมงานเลี้ยงเอาไว้อย่างใหญ่โตเพื่อรอต้อนรับพวกท่านทั้งสองคน” เจียงหงจื่ออายุมากกว่าสี่สิบปีแล้ว แต่เขาก็ยังดูเด็กมาก เขาดูราวกับชายหนุ่มที่มีพลัง เขาเปล่งประกายออร่าแห่งศักดิ์ศรีอันบางเบาออกมา
ในฐานะเจ้าเมือง เขาก็มีขอบเขตวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแขกผู้มีเกียรติทั้งสองจากสถาบันศึกษาวรยุทธ์แล้ว เขาก็ไม่กล้าที่จะแสดงความเย่อหยิ่งออกมาเลย
ถัดจากเจียงหงจื่อไป ยังมีชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ เขาดูเหมือนจะมีสถานะไม่ต่ำไปกว่าเจียงหงจื่อมากนัก
“ส่วนนี่คือผู้บัญชาการของมณฑลเมฆาวารีของเรา หานจวง เขามีหน้าที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของทั่วทั้งเทศมณฑล”
“ท่านเจียงสุภาพเกินไปแล้ว น้องชายของข้าและข้าได้รับมอบหมายจากทางสถาบันให้มาเป็นผู้คุมการสอบในเมืองเมฆาวารี ดังนั้นเราจึงต้องการความช่วยเหลือจากทั้งท่านเจียงและและท่านหานด้วย” หลินเฟย ศิษย์ชุดเงินของสถาบันศึกษายุทธ์ทักทายอย่างถ่อมตนด้วยรอยยิ้ม
ศิษย์อีกคนจากสถาบันศึกษายุทธ์ที่มากับเขาดูเด็กมาก เขาอายุประมาณสิบหกปีเท่านั้น เขาดูหล่อเหลาและองอาจเป็นพิเศษ เขาไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำในระหว่างการสนทนา
“ข้าเดาว่านี่คือชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ เหมิงหงเฟยซึ่งกลายมาเป็นสมาชิกของตำหนักดาราได้หลังจากเข้าไปเพียงสามปีเท่านั้นใช่ไหม!” ในงานเลี้ยง เจียงหงจื่อดูภูมิใจและเป็นเกียรติมาก
เหมิงหงเฟยพยักหน้าเบาๆ และไม่ได้ตอบกลับ เขาทำให้เจียงหงจื่อค่อนข้างเขินอาย
เมื่อเห็นสถานการณ์ดังกล่าว หลินเฉินก็ส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านเจียงเดาถูกแล้ว น้องเหมิงของข้าเพิ่งเข้ามาในตำหนักดาราได้ไม่นาน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้รับมอบหมายให้มาช่วยข้าดูแลการสอบที่เมืองเมฆาวารีแห่งนี้แล้ว”
เจียงหงจื่อเป็นคนมีไหวพริบและจะไม่คร่ำครวญถึงปัญหาเล็กๆ น้อยๆ
ท้ายที่สุดแล้ว เหล่าศิษย์ของสถาบันศึกษายุทธ์ที่สามารถเข้าสู่ตำหยักดาราได้นั้นก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือขอบเขตปราณแท้กันทั้งนั้น ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองได้
“ท่านทั้งคู่เป็นความภาคภูมิใจของสวรรค์โดยแท้ ข้าเกรงว่าอีกไม่นานพวกท่านก็คงจะไปถึงขอบเขตเปลี่ยนรากฐานแล้วแน่ๆ” ผู้บัญชาการหานจวงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
“ผู้บัญชาการหาน ท่านนี่ตลกจริงๆ หากเราต้องการจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนรากฐาน เราก็จะต้องเปลี่ยนปราณแท้ให้กลายเป็นรากฐานแท้ให้ได้ก่อน ใครจะรู้ว่ามีกี่คนที่ต้องติดอยู่ในขั้นตอนนี้และไม่สามารถทะลวงต่อไปได้” หลินเฟยส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น
ผู้ว่าการมณฑลเจียงหงจื่อพูดอย่างเมินเฉยว่า “นั่นเป็นเรื่องจริงสำหรับคนอื่นๆ แต่พวกท่านทั้งสองคนต่างก็เป็นสมาชิกที่มีความสามารถของตำหนักดาราแห่งสถาบันศึกษายุทธ์ ดังนั้นแน่นอนว่าพวกท่านจะไม่ติดอยู่ที่คอขวดนี้แน่นอน”
หลังงานเลี้ยงจบลง หลินเฉินและเหมิงหงเฟยในฐานะแขกผู้มีเกียรติก็ได้เข้าไปพักในห้องพักแขกที่ได้จัดเตรียมไว้
ในตอนกลางคืน แสงดาวส่องพราวกระจัดกระจายและแสงจันทร์อันเจิดจ้าก็โปรยไปทั่วผืนแผ่นดิน
“น้องชาย เจ้าคิดเช่นไรกับผู้ว่าการมณฑลเจียงคนนี้?” ในขณะนี้ ท่าทางทั้งหมดของหลินเฉินก็ได้ดูเปลี่ยนไปอย่างมาก มันกลายเป็นสงบและเฉียบคมอย่างไม่น่าเชื่อ
“จากรูปลักษณ์ของเขา เขาก็ไม่น่าจะมีความเชื่อมโยงใดๆ กับพรรคมาร แต่เราก็ยังจำเป็นต้องตรวจสอบกันเพิ่มเติมก่อน และหากเรื่องนี้ได้รับการยืนยันเมื่อไหร่ ภารกิจนี้ก็จะยุ่งยากขึ้นอีกเล็กน้อย” เหมิงหงเฟยค่อยๆ ผลักหน้าต่างออกและมองดูดวงจันทร์สีเงินที่แขวนอยู่บนท้องฟ้า
สาเหตุที่พวกเขามาที่นี่ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพียงมาดูแลการสอบคัดเลือกเท่านั้น
หากมันเป็นเพียงการสอบคัดเลือกธรรมดาๆ การส่งศิษย์อาวุโสของสถาบันศึกษายุทธ์มาก็น่าจะเพียงพอแล้ว และเหล่าศิษย์อัจฉริยะจากตำหนักดาราก็จะไม่จำเป็นต้องมาด้วยตนเองเอง
“ในความคิดของข้า เจียงหงจื่อและหานจวงก็จะต้องมีความลับปิดซ่อนอยู่แน่นอน พรุ่งนี้เราจะได้รู้แล้วว่ามันคืออะไร” แสงเย็นชาส่องวาบในดวงตาของหลินเฉิน และเขาก็เริ่มเยาะเย้ย
…
เวลาล่วงเลยไป ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น พื้นถนนของเมืองเมฆาวารีทั้งหมดก็กำลังอัดแน่นไปด้วยผู้คน ผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์จำนวนมากมารวมตัวกันเหมือนกระแสน้ำที่พุ่งไปในทิศทางเดียวกัน
“วันนี้ ข้า จางฟางต้าจะสร้างชื่อให้กับตัวเอง!”
“หลังจากฝึกฝนอย่างขมขื่นมานานหลายปี ในที่สุดฝ่ามืออาดูรของฉันก็มาถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว และทั้งหมดนี้ก็เพื่อวันนี้!”
…
เยาวชนผู้ทะเยอทะยานโผล่ออกมาจากโรงเตี๊ยมและร้านอาหารต่างๆ
“พวกขยะทั้งหลาย พวกเจ้าต้องการจะสร้างชื่อให้กับตัวเองงั้นเรอะ!”
ในขณะนี้ เสียงเยาะเย้ยก็ดังมาจากโรงเตี๊ยมมังกรทะยาน มีร่างที่แข็งแกร่งหลายร่างปรากฏตัวขึ้น พวกเขาแต่ละคนมีรูปลักษณ์ดูสมกับที่เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์
“นั่นมันพวกเขา อัจฉริยะที่โรงเตี๊ยมมังกรทะยานยอมให้การต้อนรับ” ขณะที่พวกเขามองดูร่างหลายสิบคนที่เดินออกมาด้วยกัน ถนนทั้งสายก็ตกอยู่ในความเงียบงัน และดวงตาของผู้คนก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
นี่เป็นเพราะคนเหล่านี้จะผ่านการทดสอบอย่างแน่นอน พวกเขาจะได้เป็นศิษย์ของสถาบันศึกษายุทธ์และสร้างชื่อให้กับมณฑลเมฆาวารี
“พวกเจ้าทุกคนจะเป็นบันไดให้ข้าก้าวไป!” ในบรรดาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ มู่หลิงหยุนเชิดหน้าขึ้นสูง เขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและออร่าอันทรงพลังก็ได้กดลงมาทับทุกคน
“ความไม่รู้ไม่ได้น่ากลัว มันเป็นความเย่อหยิ่งที่ไร้เหตุผลต่างหากซึ่งนำมาซึ่งความน่าสมเพช!” เด็กหนุ่มอีกคนเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมมังกรทะยาน
เขามีคิ้วที่คมและประณีตดุจกระบี่ บรรยากาศรอบตัวเขาดูหนาวเย็นและออร่าที่ไร้เทียมทานก็ได้ปกคลุมเขาไว้
ในบรรดาเยาวชนจำนวนมาก เขาก็เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดจ้า โดยที่อัจฉริยะคนอื่นๆ ทั้งหมดกลายเป็นเพียงเศษละอองดาว
“นั่นคือเสี่ยวเฉิน มีข่าวลือว่าเขาได้เข้าถึงขอบเขตเส้นลมปราณแล้ว และพรสวรรค์ของเขาด้านการใช้กระบี่ก็น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะอยู่ในขอบเขตยุทธ์ แต่เขาก็สามารถฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเส้นลมปราณได้แล้ว” เสียงอภิปรายดังออกมาจากหมู่ฝูงชน