บทที่ 14 : เมืองหลวงมณฑลเมฆาวารี มู่ชิงหยุน
บทที่ 14 : เมืองหลวงมณฑลเมฆาวารี มู่ชิงหยุน
“เรามาถึงเมืองหลวงของมณฑลเมฆาวารีแล้ว”
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เมืองขนาดยักษ์ที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลาก็ปรากฏขึ้น
“ไม่แปลกใจเลยที่มันจะเป็นเมืองหลวงของมณฑลแห่งนี้ มันยิ่งใหญ่และอลังการมากจริงๆ!” ลู่เหลียงเผิงจ้องมองไปที่เมืองที่อยู่ห่างไกล ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม เลือดของเขาเดือดพล่านด้วยความตื่นเต้นราวกับลูกไก่ที่กระตือรือร้น
เนื่องจากเมืองหลวงนั้นอยู่ห่างจากมณฑลเมฆาวารีหลายร้อยกิโลเมตร ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยมาที่นี่มาก่อน
กำแพงเมืองที่สูงตระหง่านและสง่างามซึ่งมีร่องรอยแห่งกาลเวลาได้สร้างผลกระทบทางสายตาให้กับเด็กหนุ่มจากหมู่บ้านอันห่างไกลเหล่านี้เป็นอย่างมาก
แม้แต่ลู่หยุนที่เคยเห็นตึกระฟ้าในชีวิตก่อนหน้านี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับความยิ่งใหญ่และความงดงามของกำแพงเมืองที่อยู่ตรงหน้าเขา
“ฮ่าฮ่า นี่เป็นเพียงเมืองหลวงเล็กๆ เท่านั้น เมื่อพวกเจ้าผ่านการทดสอบของสถาบันศึกษาวรยุทธ์ได้แล้ว พวกเจ้าก็จะมีโอกาสได้ไปเห็นเมืองวิญญาณยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่และอลังการมากขึ้นไปอีก!” ลู่คังซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าอธิบาย
“พี่ใหญ่ลู่คัง ข้าได้ยินมาว่าแค่เมืองหลวงของมณฑลเมฆาวารีก็มีผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลังขอบเขตปราณแท้หรือสูงกว่าแล้ว แบบนี้แล้วเมืองวิญญาณยุทธ์ที่ท่านพูดถึงจะไม่มีคนที่แข็งแกร่งกว่านี้อยู่อีกหรอ?” ใบหน้าของลู่เทียนหูดูเหลือเชื่อมาก
ลู่คังพูดช้าๆ “เมืองวิญญาณยุทธ์กินพื้นที่เป็นสิบๆ มณฑล มันมีประชากรหลายสิบล้านคน มีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วน และเนื่องจากมันเป็นเมือที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด มันจึงมีผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลังมากมายเป็นธรรมดา สำหรับขอบเขตของพวกเขา นั่นก็เกินความรู้ของเราในฐานะมนุษย์ธรรมดาไปไกลแล้ว”
“แต่วันหนึ่ง พวกเจ้าก็อาจจะได้ไปเห็นมันกับตาตัวเองก็ได้”
“วันนั้นอยู่อีกไม่ไกลแล้ว!” ลู่หยุนจ้องมองไปที่กำแพงเมืองในระยะไกล เขากำหมัดแน่นและแอบสาบานในใจ
แม้ว่าปัจจุบันเขาจะเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ตัวเล็กๆ แต่เขาก็บรรลุความก้าวหน้าดังกล่าวได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปีนับตั้งแต่เขาก้าวเข้าสู่โลกแห่งวรยุทธ์ ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงมั่นใจมากในการก้าวไปสู่ขอบเขตเส้นลมปราณและขอบเขตอื่นๆ
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขามีหน้าจอค่าคุณสมบัติ ตราบใดที่เขาสะสมคะแนนพลังงานได้มากเพียงพอ เขาก็จะสามารถปีนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของโลกแห่งวรยุทธ์ได้
“เราเข้าเมืองกันเถอะ ไม่งั้นแล้วเมื่อมืดลงเราจะไม่สามารถเข้าไปได้” ลู่คังกล่าวขณะขับรถม้าไปข้างหน้า
ในไม่ช้า รถม้าก็วิ่งตามกระแสผู้คน ผ่านประตูเมือง และเข้าไปในเมือง
“ตามที่คาดไว้ แม้แต่ยามที่เฝ้าประตูเมืองอยู่ก็ยังให้ความรู้สึกที่ทรงพลังมาก” ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในเมือง ลู่เหลียงเผิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“ยานเหล่านี้ได้ฝึกฝนวรยุทธ์ขั้นสามอย่างน้อยหนึ่งอย่างจนไปถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว และพวกเขาก็สวมชุดเกราะอยู่ ดังนั้นแรงกดดันและผลกระทบที่พวกเขาแผ่ออกมาจึงแข็งแกร่งมากโดยธรรมชาติ” ลู่คังอธิบายด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ขับรถม้าไปข้างหน้า
เมื่อเข้าสู่เมืองหลวงของมณฑล สิ่งสำคัญอันดับแรกของพวกเขาก็คือการหาโรงเตี๊ยมเพื่อลงหลักปักฐาน
ยังมีเวลาอีกระยะหนึ่งก่อนการทดสอบของสถาบันศึกษาวรยุทธ์จะเริ่มขึ้น และลู่เหลียงเผิงกับลู่เทียนหูก็จำเป็นต้องหาสถานที่พักฟื้นจากอาการบาดเจ็บของพวกเขาด้วย
เนื่องจากการทดสอบที่กำลังจะมาถึง ชายหนุ่มและหญิงสาวจำนวนมากจากหมู่บ้านต่างๆ จึงได้เดินทางเข้าเมืองมาด้วย นอกจากนี้ มันก็ยังมีผู้ฝึกยุทธ์พเนจรอีกจำนวนมากที่ผ่านทางมา ดังนั้นโรงเตี๊ยมขนาดเล็กในเมืองหลวงของเทศมณฑลจึงถูกจองเต็มทั้งหมด
หลังจากค้นหาโรงเตี๊ยมมากกว่าสิบแห่ง ในที่สุดลู่หยุนและคนอื่นๆ ก็พบโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง แต่เมื่อถึงเวลานี้ ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
“ในเวลานี้ ที่นี่จะเป็นที่พักชั่วคราวของเราจนกว่าการทดสอบจะเริ่มขึ้น” หลังจากกลับมาที่ห้องของเขาแล้ว ลู่หยุนก็นั่งลงบนเตียง เขาหลับตาและเริ่มฝึกฝนวิชาฐานรากผสม
[ วิชาฐานรากผสม: ขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อย (4%) ไม่สามารถพัฒนาได้ ]
[ คะแนนพลังงาน: 0.1 ]
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ค้นพบว่าวิชาฐานรากผสมมีความก้าวหน้าขึ้นมา 1% แล้ว ลู่หยุนก็แสดงรอยยิ้มอย่างพึงพอใจออกมา
เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้คะแนนพลังงานเพื่อพัฒนาวรยุทธ์แล้ว ลู่หยุนก็ชอบวิธีการฝึกเองมากกว่า
แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่มีคะแนนพลังงานพอที่จะใช้ด้วย
ก๊อกก๊อก!
ทันใดนั้น เสียงคนเคาะประตูก็ดังมาจากด้านนอก และลู่หยุนก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่อของเขา
“ลู่หยุน เจ้าตื่นรึยัง?”
มันคือลู่เหลียงเผิง ลู่หยุนจำเสียงนั้นได้ในทันที จากนั้นจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู
“เมืองหลวงมีชีวิตชีวามากในขณะนี้ และผู้มีความสามารถมากมายก็ได้มารวมตัวกัน เจ้าอยากจะออกไปเดินเล่นด้วยกันหน่อยไหม?” ทันทีที่ประตูเปิดออก ลู่เหลียงเผิงก็ยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูและเชิญลู่หยุน
ลู่หยุนไม่ได้ตอบกลับทันที เขากลับมองไปที่ลู่เหลียงเผิงแทน ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เพ่งไปที่ลู่เทียนหูซึ่งยืนอยู่ด้านหลังลู่เหลียงเผิง
ในขณะนี้ ลู่เทียนหูก็ได้หันมาสบตากับลู่หยุนด้วยเช่นกัน หลังจากที่พวกเขาสบตากันแล้ว เขาก็ขดริมฝีปากแล้วพูดว่า “ยังมีเวลาก่อนการประเมินจะเริ่ม และตอนนี้ข้าก็ว่างอยู่ ดังนั้นมันจึงอาจเป็นการดีที่จะออกไปข้างนอกและไปรู้จักกับอัจฉริยะคนอื่นๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ การประเมินที่กำลังจะเกิดขึ้น”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลู่หยุนก็พยักหน้า ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็กำลังคิดที่จะออกไปหาของและสะสมคะแนนพลังงานสำหรับตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “เป็นความคิดที่ดี ออกไปเดินเล่นด้วยกันเถอะ”
“เยี่ยมมาก ยอดฝีมือทั้งสามแห่งหมู่บ้านธารวิญญาณพร้อมออกเดินทางแล้ว!” ลู่เหลียงเผิงพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ลู่หยุนก็ส่ายหัว สิ่งที่เรียกว่า “ยอดฝีมือทั้งสามแห่งหมู่บ้านธารวิญญาณ” นั้นไม่ได้มีค่าอะไรมากนัก อย่างไรก็ตาม เขาก็ค่อนข้างสงสัยว่าทำไมลู่เหลียงเผิงซึ่งไม่ชอบหน้าลู่เทียนหูบัดนี้ถึงได้มาด้วยกันได้
แต่แม้จะสงสัย เขาก็ไม่ได้ถามมันออกไป
“หื้ม?” ขณะที่ทั้งสามเดินออกจากโรงเตี๊ยม ทันใดนั้นสายตาของลู่หยุนก็จ้องมองไปที่กลุ่มอาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน
มันเป็นโรงเตี๊ยมที่ดูหรูหราอย่างไม่มีใครเทียบได้
ลู่เทียนหูมองตามลู่หยุนและพูดพร้อมกับยักไหล่ “นั่นคือโรงเตี๊ยมมังกรทะยาน มันหรูหราอย่างไม่น่าเชื่อและให้บริการเฉพาะอัจฉริยะที่แท้จริงเท่านั้น”
“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ใครก็ตามที่สามารถเข้าไปพักในโรงเตี๊ยมมังกรทะยานได้นั้นย่อมจะได้กลายเป็นศิษย์ของสถาบันศึกษาวรยุทธ์กันทั้งนั้น”
ลู่หยุนพยักหน้าเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดูเหมือนว่าคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาในครั้งนี้จะเป็นหนึ่งในอัจฉริยะที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้
เมื่อมาถึงจุดนี้ จู่ๆ ลู่เหลียงเผิงก็เสนอแนะว่า “ฮ่าๆ ด้วยความแข็งแกร่งและความสามารถของเจ้า เจ้าก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะพักและกินอาหารที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้เช่นกัน เพราะงั้นแล้วทำไมเราไม่ลองเข้าไปดูล่ะ? หากเจ้าเข้าไปที่นั่นได้จริง มันก็จะนำความรุ่งโรจน์มาสู่เราด้วยเช่นกัน!”
“โรงเตี๊ยมนี่ก็ค่อนข้างดีแล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นหรอก” ลู่หยุนส่ายหัวและละสายตาไป
ในมุมมองของลู่หยุน มันเป็นเรื่องโง่ที่จะเปิดเผยความแข็งแกร่งและเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาเพียงเพื่อหาที่พัก
อย่างไรก็ตาม มันก็มีหลายครั้งที่ปัญหามักจะกระตือรือร้นมาหาพวกเขาแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มองหามันเลยก็ตาม
“ฮึ่ม ช่างตลกและน่าหัวเราะจริงๆ ที่คนชนบทอย่างพวกเจ้ากล้าคิดที่จะไปพักอยู่ในโรงเตี๊ยมมังกรทะยาน” เสียงเยาะเย้ยอันเย็นชาดังมาจากระยะไกล
ขณะที่ลู่หยุนและเพื่อนทั้งสองคนของเขากำลังจะจากไป ร่างหนึ่งก็ได้เดินเข้ามาจากทิศทางของโรงเตี๊ยมมังกรทะยาน มันทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นรอบตัวพวกเขา
เมื่อจู่ๆ ก็มีคนมาสบประมาทเขาและพรรคพวกโดยไม่มีเหตุผล ลู่หยุนจึงอดไม่ได้ที่จะหันศีรษะไปมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นเพื่อดูว่าบุคคลนี้เป็นใคร
มันเป็นเด็กหนุ่มผมยาวอายุราวๆ สิบสามถึงสิบสี่ปี เขามีสีหน้าเย่อหยิ่งในขณะที่เขาไขว้มือไปทางด้านหลัง เขาพ่นลมหายใจออกมาด้วยความรังเกียจเมื่อเห็นสายตาของพวกเขา
“นี่คือมู่ชิงหยุน นายน้อยจากศาลาขุนเขาลมหวนนี่ เขามาถึงขอบเขตยุทธ์ขั้นปลายแล้วและว่ากันว่าได้รับตำแหน่งในสถาบันศึกษาวรยุทธ์มาล่วงหน้าแล้ว”
เมื่อคนรอบข้างเห็นชายหนุ่มคนนี้ พวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันถึงตัวตนของเขาโดยทันที เมื่อได้ยินว่าเขาได้เข้าสู่ขอบเขตยุทธ์ขั้นปลายแล้ว บางคนก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความชื่นชม
โดยปกติแล้ว คนธรรมดาก็จะไม่สามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้จนกว่าจะถึงวัยผู้ใหญ่ แต่นายน้อยของศาลาขุนเขาลมหวนนี้ก็กลับกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ตั้งแต่อายุเพียงสิบสามถึงสิบสี่ปีเท่านั้น นอกจากนี้ เขายังมาถึงขอบเขตยุทธ์ขั้นปลายด้วย พรสวรรค์ดังกล่าวนับเป็นหนึ่งในผู้ที่เก่งที่สุดในมณฑลเมฆาวารีอย่างแน่นอน
“สุนัขที่ดีไม่กีดขวางทาง คนทุรกันดารคนไหนที่ไม่รู้เรื่องนี้?”
มู่ชิงหยุนเดินมาข้างหน้าอย่างเย่อหยิ่งโดยเอามือไพล่หลัง เมื่อเห็นหน้าลู่หยุนและเพื่อนทั้งสองคนของเขาที่ยืนอยู่กลางถนน เขาก็เยาะเย้ยอย่างเย็นชา
“เจ้าสิเป็นสุนัข! ครอบครัวของเจ้าก็เป็นสุนัข!” เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลู่เหลียงเผิงก็โกรธทันทีและตอบกลับไปด้วยคำพูดที่รุนแรง
“หึหึ…” มู่ชิงหยุนมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม
“พวกเจ้าไม่ใช่แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่พวกเจ้ายังต้องการจะเข้าร่วมสถาบันศึกษาวรยุทธ์อีกงั้นหรอ? ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าพวกเจ้าไปเอาความกล้ามาจากไหน แต่ข้าจะแนะนำอะไรให้นะ พวกเจ้ากลับไปที่หมู่บ้านบนภูเขาที่ยากจนๆ ของพวกเจ้าเพื่อที่จะได้ไม่ทำให้ตัวเองต้องอับอายเถอะ”
“เจ้า…” ร่างกายของลู่เหลียงเผิงสั่นเทาด้วยความโกรธ เขาอยากจะต่อยอีกฝ่ายแต่ลู่หยุนก็หยุดเขาไว้
“ถ้าสุนัขกัดเจ้า เจ้าจะกัดมันกลับหรอ?” ลู่หยุนพูดอย่างเฉยเมยแล้วหันไปจากไป
ลู่เทียนหูดึงชายผ้าของลู่เหลียงเผิงแล้วรีบตามไป แม้ว่านายน้อยคนนี้จะหยิ่งผยอง แต่เขาก็มีความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัว ดังนั้นการท้าทายเขาจึงมีแต่จะทำให้เรื่องราวเลวร้ายลงเท่านั้น
แม้ว่าลู่เหลียงเผิงจะหุนหันพลันแล่น แต่เขาก็ไม่ได้โง่เขลาและเข้าใจข้อเท็จจริงข้อนี้อย่างถ่องแท้ แม้ว่าดวงตาของเขาจะยังคงเต็มไปด้วยความโกรธ แต่เขาก็ติดตามคนอื่นไปอย่างไม่เต็มใจ
ในขณะที่มองดูลู่หยุนและเพื่อนๆ ของเขาเดินจากไป มู่ชิงหยุนก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างเหยียดหยาม “หึ! พวกกบก้นบ่อ!”