บทที่ 13 : ความก้าวหน้าและการเติบโต
บทที่ 13 : ความก้าวหน้าและการเติบโต
พระอาทิตย์อัสดงส่องแสงระยิบระยับ สายลมพัดเบาๆ และใบไม้บนต้นไม้ก็แกว่งไปมา
การต่อสู้บนถนนยังคงดำเนินต่อไป
ในขณะนี้ มีศพนับสิบศพนอนกองอยู่บนพื้น
แน่นอนว่าศพเหล่านี้เป็นพวกโจรทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ สภาพของลู่เทียนหูและลู่เหลียงเผิงก็ไม่ค่อยดีนัก ทั้งสองคนมีบาดแผลมากมายตามร่างกาย
“ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้มาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าในสักวันหนึ่ง” ลู่เหลียงเผิงพูดอย่างเย็นชา
“ฮ่าฮ่า ข้าเชื่อว่าจะมีโอกาสเช่นนี้อีกมากมายในอนาคต แต่มันมีเงื่อนไขที่เจ้าจะต้องบรรลุก่อนหนึ่งข้อ นั่นคือเจ้าจะต้องผ่านการทดสอบและเข้าสู่สถาบันศึกษาวรยุทธ์ให้ได้พร้อมกันกับข้า” ลู่เทียนหูหัวเราะโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของเขาเลย
“ข้าประทับใจในความกล้าหาญของพวกเจ้าที่ยังสามารถล้อเล่นกันได้แม้กระทั่งตอนอยู่หน้าประตูแห่งความตายจริงๆ”
ในขณะนี้ โจรก็ได้ลงมาจากหลังม้าแล้ว การแกว่งกระบี่ของเขาแต่ละครั้งทำให้เกิดเสียงโลหะปะทะกันดังคมชัด
เขารุกและทำให้พวกเขาทั้งคู่ต้องถอยร่นกลับไป การรุกของเขามีความเร็วสูงและพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัว เขาค่อยๆ ขยายความได้เปรียบของเขา ลู่เหลียงเผิงและลู่เทียนหูสามารถทำได้เพียงป้องกันเท่านั้น
“เมื่อไหร่หัวหน้าหมู่บ้านจะช่วยพวกเรากัน? หรือว่าจริงๆ แล้วเขากะจะปล่อยให้พวกเราตาย?” แม้ว่าภายนอกลู่เหลียงเผิงจะดูผ่อนคลาย แต่ความรู้สึกหวาดกลัวก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขาแล้ว
มันไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะกลัว พวกเขายังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ และพวกเขาก็ยังอายุไม่ถึงสิบสามปี ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง
ขณะเดียวกัน เมื่อความกลัวเริ่มก่อตัวขึ้น การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็เริ่มเผยให้เห็นจุดอ่อนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงถูกโจมตีบ่อยขึ้น
“เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนก่อนที่การทดสอบของสถาบันศึกษาวรยุทธ์จะเริ่มขึ้น หากอาการบาดเจ็บของพวกเขารุนแรงเกินไป ข้าเกรงว่ามันอาจจะส่งผลต่อโอกาสในการเข้าสู่สถาบันศึกษาวรยุทธ์ของพวกเขาได้” หลู่คังกล่าวอย่างกังวล
ลู่คังเซิงพยักหน้า “อืม นั่นก็จริง งั้นเจ้าก็ออกไปยืดกล้ามเนื้อสักหน่อยเถอะ”
“ข้าเข้าใจแล้วหัวหน้าหมู่บ้าน!”
ขณะที่ลู่เทียนหูและลู่เหลียงเผิงกำลังตกอยู่ในอันตราย จู่ๆ พวกเขาก็เห็นลู่คังปรากฏตัวขึ้นข้างหน้าพวกเขา
เขาถือกระบี่ด้วยมือทั้งสองข้างแล้วก้าวไปข้างหน้า
“ไม่ดีแล้ว ผู้ชายคนนี้เองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ด้วยเหมือนกัน!”
ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ โจรก็รู้สึกถึงวิกฤตได้ทันที่ลู่คังปรากฏตัวขึ้น
ถึงอย่างนั้นการเคลื่อนไหวของเขาก็ยังช้าไปเล็กน้อย ทันทีที่เขาหันหลังกลับ เขาก็รู้สึกได้ถึงลมกระโชกแรงที่พัดมาจากด้านหลัง จากนั้นมันก็ตามมาด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่บริเวณเอวของเขา
“ความเร็วของเขาเร็วมาก อย่างน้อยเขาก็อยู่ในระดับเดียวกันกับหัวหน้า นี่มันไม่ดีแล้ว!”
โจรตกอยู่ในความตื่นตระหนก เขาอดทนต่อความเจ็บปวดอันแสนสาหัสและรีบหนีไปทางชายหัวล้าน
เมื่อรู้ว่าเขาสู้อีกฝ่ายไม่ได้ โจรจึงวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุด ในชั่วพริบตา เขาได้หลบหนีไปไกลหลายสิบเมตรแล้ว
แต่ลู่คังจะปล่อยให้เขาหนีไปได้อย่างไร? ด้วยการกระโดดตามอย่างกะทันหัน เท้าขวาของเขาก็เหยียบลงบนลำต้นของต้นไม้ เขาใช้ต้นไม้ขับเคลื่อนตัวเองไปข้างหน้าและตามทันโจรได้ในพริบตา จากนั้นเขาก็ฟันดาบใส่อีกฝ่ายอย่างดุเดือด
ฉึบ!
บาดแผลยาวปรากฎขึ้นที่แผ่นหลังของโจร เลือดสดไหลทะลัก และบาดแผลก็ลึกถึงชั้นกระดูก
ในขณะนี้ โจรก็ได้สูญเสียแรงกำลังและตกลงไปในกองเลือดของตน
“ให้ตายเถอะ เจ้าเด็กพวกนี้มันมีคนคอยหนุนอยู่!” ชายหัวโล้นเห็นการปรากฎตัวขึ้นของลู่คังโดยทันที เขาไม่กล้าที่จะอยู่เฉยอีกต่อไป เขาดึงสายบังเหียนแล้วควบม้าออกไป
“วันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้กับพวกเจ้า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรู จงถอนรากถอนโคนมันทิ้งซะเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต!”
ในขณะนี้ จู่ๆ ลู่คังเซิงก็พุ่งออกมาจากรถม้าและปรากฏตัวต่อหน้าชายหัวโล้นโดยขวางทางเขาเอาไว้
“เจ้าโชคร้ายมาก เจ้าไม่เพียงแต่จะกลายเป็นตัวอย่างเชิงลบเท่านั้น แต่เจ้ายังต้องเสียชีวิตลงด้วย!”
ดวงตาของลู่คังเซิงเย็นชา พลังปราณแท้อันหนาแน่นของเขาไหลเวียนและแผ่ซ่านออกมา และทันใดนั้น เขาก็ก้าวไปข้างหน้าและฝ่ามือก็ฟาดเข้าหาอีกฝ่าย
พลังปราณแท้อันทรงพลังเล็ดลอดออกมาจากร่างกายที่ดูอ่อนแอของเขา และออร่าพลังที่พลุ่งพล่านก็คำรามออกมาและพุ่งสูงขึ้น
ในขณะนี้ ชายหัวโล้นก็ดูเหมือนกับเรือลำเล็กที่กำลังเผชิญหน้ากับพายุอันน่าสะพรึงกลัว ก่อนที่เขาจะทันได้รู้สึกหวาดกลัว เขาก็ได้ถูกการโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวซัดเข้าใส่แล้ว
“ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเส้นลม…” ชายหัวล้านกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ก่อนจะตายลงโดยพูดยังไม่ทันจบ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและความไม่เต็มใจ
“ถ้าตัดหญ้าไม่ถอนราก หญ้าก็จะงอกขึ้นมาใหม่ ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของหมู่บ้านธารวิญญาณในอนาคต ข้าจึงหวังว่าพวกเจ้าจะนำบทเรียนนี้ไปในภายภาคหน้า!” ลู่คังเซิงกลับมาพร้อมกับท่าทีอ่อนโยนแล้วถอนหายใจยาว
ทันทีหลังจากนั้น เขาก็มองย้อนกลับไปทางลู่หยุนและเร่งเร้าเขาว่า “เจ้าหนู ดวงอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว รีบยุติการต่อสู้ลงได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเราคงได้ค้างคืนในป่าเขาแน่!”
“หัวหน้า!”
โจรที่กำลังต่อสู้กับลู่หยุนอยู่ตกใจมากเมื่อเห็นสหายของเขาจมลงในกองเลือด และมาตอนนี้ เขาก็ได้เห็นหัวหน้าของพวกเขาถูกชายชราสังหารลงในกระบวนท่าเดียวอีก สิ่งนี้ทำให้จิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้าน เขาสูญเสียแรงกำลังและแทบจะเป็นลมล้มหมดสติไป
“โอกาสนี้แหละ” ลู่หยุนคว้าโอกาสที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัวรีบโจมตีกลับไป
“กวาดล้างกองทัพนับพัน!”
พรึ่บ!
ศีรษะของโจรปลิวหลุดจากบ่า เขาตายลงโดยที่ยังลืมตากว้าง
“การฆ่าคนรู้สึกยังไงบ้าง?” ลู่คังเดินเข้ามาในเวลานี้ เขามองดูเด็กหนุ่มทั้งสามคนด้วยความสนใจและยิ้มแย้ม
“ก็ไม่มีอะไรมาก ไม่มีความรู้สึกใดเป็นพิเศษ” ลู่เหลียงเผิงโพล่งออกมาอย่างตรงไปตรงมา
ลู่เทียนหูส่ายหัวเล็กน้อย ใบหน้าของเขาค่อนข้างซีด “ถ้าข้าไม่ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็จะฆ่าข้า ดังนั้นภายใต้การเลือกว่าข้าจะตายหรือพวกเขาจะตาย แม้ว่าข้าจะรู้สึกอึดอัด แต่ฉันก็ทำได้เพียงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองได้เท่านั้น”
ลู่คังพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันไปมองลู่หยุนอย่างสงสัย
“ใครจะไปรู้ว่ามีผู้เคราะห์ร้ายกี่คนแล้วที่ต้องเสียชีวิตลงภายใต้น้ำมือของพวกโจรเหล่านี้? ในสายตาของข้า พวกมันก็ไม่ได้แตกต่างจากสัตว์อสูรมากนัก และการฆ่าสัตว์อสูรก็ไม่ได้สร้างภาระทางจิตใจให้ข้ามากนัก”
ลู่หยุนเช็ดเลือดออกจากกระบี่ของเขา จากนั้นเขาก็ทำความสะอาดสนามรบ
“พวกเจ้าทุกคนทำได้ดีมาก โดยเฉพาะลู่หยุน เจ้าเหมาะที่จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์จริงๆ!” ใบหน้าของลู่คังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาพึงพอใจอย่างไม่อาจบรรยายได้
“ข้าจำได้ว่าในตอนที่เจ้าอายุเท่าพวกเขา แม้แต่การฆ่าไก่ก็ยังทำให้เจ้าตัวสั่น ในแง่นั้น เจ้าก็ยังแย่กว่าพวกเขามาก” ลู่คังเซิงเดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวล้อเลียน
เมื่อเห็นการเติบโตของเด็กหนุ่มทั้งสาม เขาก็มีความสุขอย่างแท้จริง
“ฮ่าฮ่า หัวหน้าหมู่บ้านอย่าพูดให้ข้านึกถึงความอับอายในอดีตเลย!” ลู่คังกล่าวอย่างขบขัน
“เอาล่ะ เตรียมตัวออกเดินทางกันได้แล้ว” จากนั้นลู่คังเซิงก็หยุดชั่วครู่และสั่งว่า “เราไม่ควรอยู่ที่นี่นาน ทำความสะอาดสนามรบให้เร็วและเดินทางต่อไปกันเถอะ”
ลู่เหลียงเผิงและลู่เทียนหูทั้งคู่ล้วนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยและกลับไปที่รถม้าเพื่อรับยา มันเหลือเพียงลู่หยุนและลู่คังเท่านั้นที่กำลังทำความสะอาดสนามรบ
หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อย ลู่หยุนก็เก็บรวบรวมเงินมาจากศพของพวกโจร มันรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 75 ตำลึง
จากนั้นเขาก็พบหนังสือเล่มสีเหลืองบนร่างของชายหัวโล้น มันเป็นคัมภีร์ลับวรยุทธ์ขั้นสาม
หลังจากฝึกฝนวิชากระบี่ทลายวายุแล้ว ลู่หยุนก็ไม่ได้สนใจสิ่งนี้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงส่งมอบมันให้กับลู่คังเซิงต่อ
ส่วนม้าของพวกโจร พวกมันก็ได้ตกใจกลัวและวิ่งหนีไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ด้วยวิธีนี้ ลู่หยุนและคนอื่นๆ จึงเริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง
[ชื่อ]: ลู่หยุน
[ที่อยู่]: หมู่บ้านธารวิญญาณ
[วรยุทธ์]: วิชากระบี่ทลายวายุ (วรยุทธ์ขั้นสาม ไม่สามารถพัฒนาได้อีกต่อไป) วิชาฐานรากผสม ( ขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อย 3%)
[พรสวรรค์โดยกำเนิด]: ขั้น 5
[ขอบเขตวรยุทธ์]: ขอบเขตยุทธ์ขั้นต้น
[คะแนนพลังงาน]:0.1
“แน่นอนอยู่แล้ว การฆ่าคนจะไม่ได้รับคะแนนพลังงาน” ลู่หยุนแอบคิดขณะมองหน้าจอค่าคุณสมบัติ
นับตั้งแต่ค้นพบหน้าจอค่าคุณสมบัติ เขาก็พบว่ามีเพียงสองวิธีเท่านั้นในการจะได้รับคะแนนพลังงาน
วิธีแรกคือการได้รับพวกมันมาโดยอัตโนมัติ หากเขาได้รับสารอาหารจากภายนอกเพียงพอในแต่ละวัน คะแนนพลังงานหนึ่งคะแนนก็จะถูกสะสมในทุกๆ สิบวัน
อีกวิธีหนึ่งคือการกลืนวัตถุวิญญาณเช่น โสมโลหิต โดยการกลืนมัน พลังยาที่อยู่ภายในจะสามารถเปลี่ยนเป็นคะแนนพลังงานได้
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการพัฒนาวรยุทธ์ ผลของคะแนนพลังงานก็จะยิ่งลดลง
ตัวอย่างเช่น ในตอนที่เขาฝึกวรยุทธ์ขั้น 3 กระบี่ทลายวายุ หนึ่งคะแนนพลังงานก็สามารถเพิ่มความก้าวหน้าได้ 30%
และหลังจากบรรลุขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อย หนึ่งคะแนนพลังงานก็สามารถเพิ่มความก้าวหน้าได้เพียง 20% เท่านั้น
และหลังจากบรรลุขั้นเชี่ยวชาญ หนึ่งคะแนนพลังงานก็สามารถเพิ่มความก้าวหน้าได้เพียง 10% เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง คะแนนพลังงานที่ต้องใช้ในการพัฒนาวิชาฐานรากผสมเองจึงจะมากขึ้นตามไปด้วย