บทที่ 12 : ปะทะกองโจร
บทที่ 12 : ปะทะกองโจร
“เข้ามา!” ดังคำพูดที่ว่า 'ลูกวัวไม่กลัวเสือ' สถานการณ์ของลู่เหลียงเผิงอธิบายได้อย่างเหมาะเจาะ เมื่อเผชิญหน้ากับโจรขี่ม้าที่บุกเข้ามาโจมตี เขาก็ไม่ได้ล่าถอย แต่กลับโจมตีรุกกลับไปแทน
เขากระโดดไปข้างหน้าโดยตรง ในขณะเดียวกัน เขาก็ชักกระบี่ของเขาออกมา และทำการเคลื่อนไหวสองรอบเกือบจะในทันที สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในวิชากระบี่ของเขา
“เจ้าเด็กเหลือขอนี่มันมีทักษะอยู่บ้างจริงๆ!” หม่าลาวซานหลบการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด เขามองไปที่ลู่เหลียงเผิงด้วยความหวาดระแวง
“ข้าคิดว่าโจรจะต้องแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายพวกมันก็เหมือนกับเจ้า… อ่อนแอและน่าสมเพช” เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้ของเขาเกือบจะถูกกระบี่ของเขาสังหารลง ความมั่นใจของลู่เหลียงเผิงก็เพิ่มมากขึ้น และความกลัวที่เหลืออยู่ในใจของเขาก็ได้หายไปจนหมด
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงได้ปลดปล่อยความแข็งแกร่งและความเร็วที่น่าอัศจรรย์ออกมา เขาโจมตีด้วยกระบวนท่าแรกของวิชากระบี่ทลายวายุ กวาดล้างกองทัพนับพัน ลมกระบี่ที่ส่งเสียงโหยหวนทำให้หม่าลาวซานไม่มีโอกาสทันได้ตอบสนอง และเขาก็ถูกฟันตกลงจากหลังม้าโดยทันที
“ไม่ดีแล้ว เจ้าเด็กคนนี้เป็นผู้ฝึกวรยุทธ์!” เมื่อเห็นคนของเขาถูกเด็กฆ่าตายลงในไม่กี่กระบวนท่า ชายหัวโล้นก็ชี้กระบี่ของเขาไปทางลู่เหลียงเผิงและออกคำสั่ง “ทุกคนโจมตีพร้อมกันและกำจัดเจ้าเด็กเหลือขอทั้งสามคนนี้ทิ้งซะ”
“ได้เลยหัวหน้า!”
โจรที่เหลือปฏิบัติตามคำสั่ง พวกเขากระตุ้นให้ม้าของพวกเขากระโดดและกวัดแกว่งกระบี่ขนาดใหญ่ของพวกเขาในขณะที่พวกเขาโจมตีลู่หยุนและคนอื่นๆ
“ลู่หยุน!”
ลู่เทียนหูหันหน้ามาทันทีโดยพูดว่า “ในบรรดาพวกเราสามคน เจ้าแข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นเจ้าจึงต้องรับผิดชอบมากที่สุด จัดการกับกองกำลังหลักเลย”
ลู่หยุนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม และชักกระบี่ออกมาจากเอวของเขาเขาเตรียมพร้อมที่จะโจมตี
“ข้าจะจัดการสามคนข้างหน้า” ลู่เหลียงเผิงได้สังหารโจรไปคนหนึ่งแล้ว และเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาแสดงท่าทางของผู้เชี่ยวชาญออกมาอย่างสงบนิ่ง
“เอาล่ะ แต่อย่าประมาทนะ คนเหล่านี้มันเป็นพวกสิ้นหวังกันอยู่แล้ว!” ลู่เทียนหูเตือนในขณะที่การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้น
“ฆ่ามัน!”
ไม่รู้ว่าลู่เหลียงเผิงรับคำเตือนหรือไม่ในขณะที่เขารีบเร่งเข้าไปต่อสู้
ภายในป่าทึบ พระอาทิตย์อัสดงส่องแสงกระจายไปตามใบไม้และไปตามทาง เด็กหนุ่มทั้งสามพุ่งเข้าโจมตีพวกโจรบนหลังม้า
คนแรกที่เข้าร่วมการต่อสู้อย่างใกล้ชิดกับกองโจรคือลู่เหลียงเผิง แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่ความเชี่ยวชาญในวิชากระบี่ทลายวายุของเขานั้นก็ทำให้เขามีความเร็วและความแข็งแกร่งเกินกว่าผู้ใหญ่ธรรมดาทั่วไปแล้ว
ด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียว เขาก็ได้เตะโจรคนหนึ่งตกลงไปจากหลังม้าแล้ว ในขณะเดียวกัน เขาก็กวาดกระบี่ไปที่แขนขวาของอีกฝ่ายด้วย
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าคู่ต่อสู้จะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีและมีประสบการณ์โชกโชน เขาหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดายและตอบโต้กลับไปอย่างรวดเร็ว พลังของการโจมตีโต้กลับนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าพลังของลู่เหลียงเผิงเลย
ขณะเดียวกัน โจรอีกคนหนึ่งก็ได้พุ่งเข้ามาโจมตีลู่เหลียงเผิงจากทางด้านข้างด้วย กระบี่อันเฉียบคมของเขากำลังจะโจมตีโดนลู่เหลียงเผิง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาวิกฤตินี้เอง การโจมตีปริศนาก็ได้พุ่งเข้ามาขัดขวางการโจมตีดังกล่าวเอาไว้ได้ทัน มันทำให้ลู่เหลียงเผิงมีโอกาสพักหายใจหายคอ
ลู่หยุนสังเกตเห็นฉากนี้ และหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น “หัวหน้าหมู่บ้านอย่างน้อยๆ ก็จะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเส้นลมปราณแน่นอน ไม่เช่นนั้น เขาก็คงจะไม่สามารถป้องกันการโจมตีของโจรจากระยะไกลได้”
เมื่อรู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างหัวหน้าหมู่บ้านกำลังแอบเฝ้าดูพวกเขาอยู่ ลู่หยุนจึงไม่ลังเลอีกต่อไปและเข้าร่วมรบกับกลุ่มโจรที่กำลังจะมาถึง
ฉวิ้งง!
กระบี่ชักออกมาจากฝัก ประกายแสงส่องเย็นวูบวาบ และทันใดนั้น โจรคนหนึ่งก็ตกลงมาจากหลังม้า พร้อมกันนั้น หัวศีรษะของเขาก็ได้หล่นแยกออกมาจากร่างของเขา
นี่คือความแข็งแกร่งและความเร็วของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตยุทธ์ขั้นกลาง
“นี่คือความรู้สึกของการฆ่าใครสักคนงั้นหรอ? มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ดูเหมือนว่าฉันจะเกิดมาเพื่อเป็นเพชฌฆาตสินะ” ลู่หยุนตระหนักถึงอารมณ์ในระหว่างการสังหารครั้งแรก เขาไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรเลย
“ตายซะ!”
ในขณะนั้นเอง โจรอีกคนหนึ่งก็ได้ขี่ม้าพุ่งเข้ามาด้วยสายตาอาฆาตพยาบาท
ขณะที่กระบี่กำลังจะฟาดลงใส่หน้าผากของลู่หยุน เขาก็เอนตัวไปข้างหลังและหลบการโจมตีที่ร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็ส่งลูกเตะข้างเข้าใส่ท้องของม้า ด้วยความแข็งแกร่งอันทรงพลังของเขา มันจึงทำให้ม้าล้มลงกับพื้น
โจรที่อยู่บนหลังม้าเองก็ล้มลงกับพื้นด้วยเช่นกัน และก่อนที่เขาจะลุกขึ้นได้ ความรู้สึกอันเย็นยะเยือกก็ได้พุ่งเข้ามาใกล้แล้ว
“ไม่ดีแล้ว!” เมื่อตระหนักได้ถึงอันตราย โจรก็เพิกเฉยต่อความเจ็บปวดและชักกระบี่ออกมาเพื่อพยายามจะสกัดกั้น
เคร้งงง!
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีอันทรงพลัง กระบี่ยาวก็กระเด็นออกไปไกล และจากนั้นแสงเย็นวาบก็ฟาดลงไปที่ไหล่ซ้ายของโจร
เลือดสดพุ่งออกมา และความเจ็บปวดก็ทำให้การมองเห็นของโจรพร่ามัวก่อนที่จะทำให้เขาหมดสติลงไปในไม่ช้า
ลู่หยุนรีบจัดการโจรอย่างรวดเร็วด้วยการโจมตีครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงพยายามฆ่าอีกคนหนึ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
การโจมตีอย่างฉับไวเกิดขึ้นอีกครั้ง และโจรอีกคนก็เสียชีวิตลง
เพียงไม่กี่ลมหายใจ ครึ่งหนึ่งของกองโจรก็ได้สิ้นชีพลงไปแล้ว ในตอนนี้ มันก็เหลือโจรเพียงเจ็ดคนเท่านั้น
“ให้ตายเถอะ เราเจอตัวปัญหาเข้าให้แล้ว” เมื่อเห็นลูกน้องของเขาล้มตายไปทีละคน กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหัวหน้าโจรหัวล้านก็กระตุกไม่หยุด เขาชี้กระบี่ไปที่ชายสองคนข้างเขาแล้วสั่งว่า “พวกเจ้าสองคนเข้าไปตัดหัวเจ้าเด็กสามคนนั่นมาซะ!”
“น่าสมเพช ดีแล้วที่พวกมันตาย เจ้าพวกคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ไม่สมควรอยู่ในกองโจรของเรา” โจรคนหนึ่งพึมพำเบาๆ จากนั้นเขาก็ปฎิบัติตามคำสั่งของชายหัวโล้นและโจมตีร่วมกับสหายของเขา
เมื่อจัดการกับโจรอีกคนเสร็จ ลู่หยุนก็เห็นโจรทั้งสองพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
“ความเร็วนี้!”
ลู่หยุนตกใจมาก
ความเร็วของโจรทั้งสองคนนี้เร็วกว่าโจรคนก่อนๆ มาก ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ยังเหนือกว่าลู่เทียนหูและลู่เหลียงเผิงด้วย
ลู่หยุนรู้ได้ทันทีว่าโจรทั้งสองเป็นผู้ฝึกยุทธ์
“เจ้าเด็กเหลือขอ ยอมรับความตายจากข้าซะเถอะ!” ในเวลาเพียงสองลมหายใจ โจรคนหนึ่งก็ได้พุ่งมาถึงตรงหน้าเขาแล้ว กระบี่ของเขาฟันเข้าใส่ลู่หยุนอย่างรวดเร็ว
“การโจมตีอันทรงพลังเช่นนี้ เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์จริงๆ ด้วย!”
ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน ลู่หยุนก็เข้าใจพลังของอีกฝ่ายดี
อย่างไรก็ตาม ด้วยการฝึกวิชาฐานรากผสมจนไปถึงขั้นเชี่ยวชาญเล็กน้อย มันจึงทำให้เขามีความแข็งแกร่งและความเร็วที่มากกว่าอีกฝ่าย ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงไม่ได้กลัวเลยและยังสามารถหลบการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็น
“เจ้าหนู เจ้าก็พอมีทักษะอยู่บ้าง แต่มาดูกันสิว่าถ้าผู้ฝึกยุทธ์สองคนโจมตีเจ้าพร้อมๆ กัน เจ้าจะยังสามารถต้านทานพวกเราได้อยู่ไหม!” โจรอีกคนเข้ามาเสริมและโจมตีลู่หยุนด้วย เขาแสดงทักษะวิชากระบี่อันโหดเหี้ยมและไม่เปิดช่องว่างให้ลู่หยุนได้หลบ
เคร้งง!
ลู่หยุนบังคับคู่ต่อสู้ของเขาให้ถอยกลับไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว จากนั้นเขาก็ปล่อยลมกระบี่ใส่โจรคนนั้น สิ่งนี้ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถหลบได้ทัน
เคล็ดวิชากระบี่ทลายวายุนั้นเป็นวรยุทธ์ขั้นสามชั้นยอด ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเปรียบเทียบกับวิชาของโจรแล้ว ลู่หยุนจึงมีข้อได้เปรียบเหนือกว่า
ในขณะนี้ ภายในรถม้า ลู่คังเซิงก็แสดงความคิดเห็นออกมา “เสี่ยวคัง เจ้าคิดยังไงกับเด็กสามคนนี้”
“หัวหน้าหมู่บ้าน แม้ว่าลู่หยุนจะสามารถปราบศัตรูได้อย่างอยู่หมัด แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ยังขาดประสบการณ์อยู่”
“ส่วนลู่เทียนหูและลู่เหลียงเผิง พวกเขาก็สามารถจัดการกับโจรธรรมดาๆ ได้ แต่หนึ่งในนั้นก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชน ดังนั้นข้าจึงเกรงว่าพวกเขาคงจะทนได้อีกไม่นานนัก”
“ใช่แล้ว ศัตรูเป็นเพียงแค่โจรธรรมดาๆ เท่านั้น แต่พวกเขาก็กลับต้องดิ้นรนกันถึงขั้นนี้แล้ว แบบนี้เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลังและมีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาจะทำยังไงกัน?” ใบหน้าที่แก่ชราของลู่คังเซิงแสดงให้เห็นถึงความกังวล
“เฮ้อ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าการส่งพวกเขาออกไปจากหมู่บ้านธารวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่”
ลู่คังตอบว่า “หัวหน้าหมู่บ้าน ข้าอาจไม่ฉลาดเท่าท่าน แต่ข้าก็รู้เรื่องหนึ่งดี นั่นคือในที่สุดนกอินทรีจะต้องโผบิน พวกเขาอายุยังน้อยและยังขาดประสบการณ์ ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาได้รับประสบการณ์มามากขึ้น พวกเขาก็จะค่อยๆ เติบโตได้แน่”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลู่หยุน เขายังอายุน้อยมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สามารถปราบปรามผู้ฝึกยุทธ์ได้แล้ว ความสำเร็จในอนาคตของเขานั้นไร้ขอบเขต”
“ใช่ เจ้าพูดถูก ดังนั้นเรามาช่วยพวกเขาเท่าที่เราจะทำได้กันเถอะ” ดวงตาของลู่คังเซิงจ้องมองไปที่ลู่หยุนและอีกสองคนด้วยความคาดหวัง