บทที่ 11: การเผชิญหน้าโดยบังเอิญ
บทที่ 11: การเผชิญหน้าโดยบังเอิญ
ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ พระอาทิตย์ค่อยๆ ร้อนแรงขึ้น
เส้นทางบนภูเขาปกคลุมไปด้วยหญ้าแห้ง มีรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างสบายๆ ลู่คังซึ่งกำลังขับรถม้าอยู่เองก็ร้องเพลงที่ไม่น่าพึงประสงค์ออกมาเป็นครั้งคราว
ลู่เทียนหูค่อยๆ ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจและเข้าร่วมการสนทนากับลู่หยุน
“ลู่หยุน เจ้าหายจากอาการป่วยได้ยังไง? พ่อของข้าเคยพูดก่อนหน้านี้ว่าด้วยสภาพเดิมของเจ้าแม้แต่การใช้ชีวิตปกติก็ยังยากเลย แบบนั้นแล้วทำไมเจ้าถึงกลายมาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้เร็วขนาดนี้?”
“เจ้าสงสัยคำถามง่ายๆ แบบนั้นเองหรอ?” ลู่เหลียงเผิงพูดอย่างเหยียดหยามว่า “แน่นอนว่าลู่หยุนกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วเพราะพรสวรรค์ของเขาเหนือกว่าเจ้ามากยังไงล่ะ สำหรับความบกพร่องแต่กำเนิด ตราบใดที่เขาสามารถพัฒนาวรยุทธ์ขึ้นมาได้สักเล็กน้อย มันก็จะทำให้ร่างกายของเขาดีขึ้นเอง”
เมื่อถูกลู่เหลียงเผิงเยาะเย้ย ลู่เทียนหูก็หน้าบูดบึ้ง เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าจะหาเรื่องข้าก็ให้มันหยุดอยู่ที่หมู่บ้านพอ ในอนาคตหากเราผ่านการประเมินและเข้าสู่สถาบันศึกษาวรยุทธ์ได้ เราก็จะเป็นชาวบ้านที่ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าเปลี่ยนอารมณ์และทัศนคติของเจ้าก่อนหน้านี้ซะ!”
“ฮึ่ม ถึงอย่างนั้น ข้าก็ยังไม่ใช่เพื่อนของเจ้าอยู่ดี เพื่อนของข้าควรจะเป็นคนที่น่ามองเหมือนลู่หยุน” ลู่เหลียงเผิงไม่สนใจลู่เทียนหูโดยสิ้นเชิง
เมื่อเห็นว่าทั้งสองเข้ากันไม่ได้ ลู่หยุนก็ไม่อยากเข้าไปแทรกแซง เขานั่งอยู่ตรงมุมแล้วค่อยๆ เปิดห่อของเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน
ตั้งแต่เริ่มการเดินทาง เขาก็รู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางอย่างหนักอยู่ข้างใน มันไม่เหมือนแค่เสื้อผ้าชิ้นหนึ่ง
เมื่อเปิดห่อของออกมา ชั้นนอกสุดก็เป็นชุดอาภรณ์สีดำเข้ม ผ้าเรียบและมีเนื้อนุ่ม
ลู่หยุนยกชายเสื้อขึ้นแล้วเห็นมัดที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าลินิน มันให้ความรู้สึกที่แข็งมาก
“นี่คือสิ่งที่ทำให้ห่อของหนักขนาดนี้หรอ?” ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ลู่หยุนเปิดมัดผ้าลินินออก และมีสิ่งแวววาวบางอย่างปรากฏขึ้น
“ว้าว เงินเยอะมาก” ลู่เหลียงเผิงบังเอิญเห็นเงินในห่อของของลู่หยุน
“ดูเหมือนมันจะมีอย่างน้อยห้าสิบตำลึงเลยนะ ดูเหมือนว่าพี่ชายและพี่สาวของเจ้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดีเลย” ลู่เทียนหูเองก็แสดงความคิดเห็น ใบหน้าของเขาแสดงความอิจฉา คราวนี้พ่อของเขาซึ่งเป็นหัวหน้าทีมล่าสัตว์ได้มอบเงินให้เขามาเพียงยี่สิบตำลึงเท่านั้น
“ใช่แล้ว! พี่ชายและพี่สาวของข้าดูแลข้าเป็นอย่างดี” ลู่หยุนพยักหน้า เขาห่อเงินกลับแล้วจับมันไว้แน่น หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่น
เขารู้ดีว่าเงินห้าสิบตำลึงอาจเป็นทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัว
แต่บัดนี้ พวกเขาก็ได้มอบมันให้เขามาแล้ว
ความรักเช่นนี้เป็นสิ่งที่หนักและตราตรึงใจเขามาก
“ทุกคนระวังตัวด้วย” ในเวลานี้ ลู่คังซึ่งกำลังขับรถม้าอยู่ก็ตะโกนว่า “มันมักจะมีโจรซุ่มอยู่บนถนนสายนี้”
“โจร?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทั้งลู่เหลียงเผิงและลู่เทียนหูก็ตื่นตัว เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเดินทางไกลจากบ้าน พวกเขาจึงอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกภายนอกและยังหวาดกลัวมันอีกด้วย
ลู่หยุนเองก็เครียดเช่นกัน เขามองไปที่ทางลาดทั้งสองด้านถนน
เขายังไม่แน่ใจถึงความแข็งแกร่งของพวกโจรในโลกนี้ หากพวกเขาเป็นคนธรรมดา มันก็จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา
แต่หากพวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ นั่นก็อาจจะยากลำบากสักหน่อย
เมื่อรถม้าเคลื่อนไปข้างหน้า ต้นไม้ทั้งสองข้างถนนก็ค่อยๆ หนาแน่นมากขึ้น หากจู่ๆ มีคนโจมตีจากภายในต้นไม้ มันก็จะเป็นการยากที่จะตอบสนองและตอบโต้ได้ทัน
“ระวังมีคนอยู่!”
ในขณะนี้ ลู่คังก็ดึงสายบังเหียน และม้าก็ร้องครวญครางออกมาขณะที่รถม้าหยุดกะทันหัน
ปรากฎว่าหน้าถนนบนภูเขา ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีโจรกำลังยืนรอพวกเขาอยู่มากกว่าหนึ่งโหล
ในหมู่พวกเขา ผู้นำกลุ่มเป็นชายหัวล้าน
เขาสวมเสื้อคลุมขาดรุ่งริ่ง กล้ามเนื้อแขนโป่ง และใบหน้าของเขาก็มีรอยย่นแนวนอน เมื่อมองแวบแรก เขาก็ดูเหมือนผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลัง
ด้านหลังชายหัวล้านมีชายหลายสิบคนกำลังขี่อยู่บนหลังม้า แต่ละคนดูไม่เหมือนคนธรรมดา พวกเขาถือกระบี่ในมือแน่น และจับจ้องไปที่รถม้าที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา
โจรคนหนึ่งถือพัดและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ภูเขาลูกนี้เป็นของข้า ต้นไม้ต้นนี้…”
ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ เขาก็ถูกชายคนหนึ่งเตะเข้าที่ก้นและเกือบสะดุดล้มลงจากหลังม้า
“การปล้นก็คือการปล้น! เจ้าไม่ต้องมาเล่นลิ้นเล่นคำให้เสียเวลา!” โจรอีกคนสบถออกมาในขณะที่ขู่ว่าจะเตะโจรคนก่อนหน้านี้อีกครั้ง
“เอาน่า ข้าคิดว่ามันก็ทำให้เราดูมีระดับขึ้นดีเหมือนกัน!” ชายหัวโล้นหยุดพวกเขาและสั่งโจรที่ถือพัดว่า “พูดให้ดังขึ้นอีก! แสดงจิตวิญญาณออกมาให้มากขึ้นกว่านี้! แล้วข้าจะให้รางวัลเจ้า!”
“รับทราบแล้วหัวหน้า!” โจรตบรอยเตะที่ก้น จัดเสื้อผ้าใหม่ เปิดพัด ทำท่าทาง แล้วมองไปที่ลู่หยุนกับคนอื่นๆ พร้อมโบกพัดในมือแล้วพูดว่า“ภูเขาลูกนี้เป็นของข้า ต้นไม้ต้นนี้ข้าก็ปลูกเอง หากพวกเจ้าต้องการจะผ่านทาง พวกเจ้าก็จงจ่ายค่าผ่านทางมาซะดีๆ!”
เสียงของเขาทุ้มลึกและสง่างามราวนักปราชญ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ที่หยาบกร้านและเสื้อผ้าที่ทรุดโทรมของเขาแล้ว มันก็ดูไม่เข้ากันเอาซะเลย
“ฉากนี้… ดูคุ้นๆ แหะ!”
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ลู่หยุนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากหนึ่งจากรายการทีวีในชีวิตก่อนของเขา มันดูเหมือนกันทุกประการ
ในความเป็นจริง เมื่อเขาเห็นโจรเหล่านี้ ความไม่สบายใจของลู่หยุนก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาโจรเหล่านี้คือผู้นำหัวโล้น แต่กระนั้น ขอบเขตของเขาก็อยู่แค่เพียงขอบเขตยุทธ์ขั้นกลางเท่านั้น
สำหรับโจรคนอื่นๆ มันก็มีเพียงหนึ่งถึงสองคนเท่านั้นที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ในขณะที่ที่เหลือเป็นเพียงคนธรรมดา พวกเขายังไม่สามารถคุกคามลู่หยุนและสหายของเขาได้ในเวลานี้
แน่นอนว่านั่นก็ต่อเมื่อหัวหน้าหมู่บ้านลู่คังเซิงเคลื่อนไหวด้วยเท่านั้น
“คนเหล่านี้เป็นเพียงกลุ่มโจรธรรมดาๆ ที่ไม่มีภูมิหลังใดๆ นี่นับเป็นการฝึกที่ดีเหมือนกัน”
ในเวลานี้ ลู่คังเซิงในที่สุดก็พูดออกมา
ลู่คังดูเป็นกังวล “แต่หัวหน้าหมู่บ้าน คนพวกนี้เป็นพวกคนสิ้นหวัง มันจะเสี่ยงเกินไปไหมที่จะให้เด็กๆ เหล่านี้ไปเผชิญหน้ากับพวกมันตามลำพัง?”
“ไม่มีปัญหา ข้าจะคอยดูจากด้านข้างเอง” ลู่คังเซิงโบกมือของเขา
เมื่อเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านได้ตัดสินใจแล้ว ลู่หยุน, ลู่เหลียงเผิงและลู่เทียนหูต่างก็จ้องมองกัน พวกเขากระโดดลงจากรถม้าและเดินไปต่อหน้าพวกโจร
ลู่เหลียงเผิงพูดขึ้นก่อนและขู่ว่า “พวกเราเป็นคนของหมู่บ้านธารวิญญาณที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมการสอบคัดเลือกของสถาบันศึกษาวรยุทธ์ ถ้ารู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง พวกเจ้าก็จงหลีกทางให้พวกเราซะ ไม่งั้นข้าจะตัดหัวพวกเจ้าทั้งหมดและเอาไปเสียบประจาน!”
เมื่อเห็นลู่เหลียงเผิงพูดจาเปิดตัวอย่างโผงผางเช่นนั้น ลู่หยุนก็ขมวดคิ้วแต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ท้ายที่สุดแล้ว ชะตากรรมของโจรเหล่านี้ก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าต้องตายลงในวันนี้
“ฮ่าฮ่า ลูกใครวะเนี่ย? อายุยังน้อยแต่กลับกล้าพูดจาหยาบคายเช่นนี้แล้วเรอะ!”
ชายหัวโล้นลูบหัวแล้วพูดกับคนที่อยู่ข้างหลังเขาว่า “พี่น้อง ใครอยากจะสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าเด็กสารเลวพวกนี้บ้าง? ทำให้พวกมันได้รู้ถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้หน่อย!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ โจรที่ดูโรคจิตก็ยิ้มเยาะเย้ยและขี่ม้าพุ่งไปข้างหน้า “หัวหน้า! ให้ข้า หม่าลาวซาน จัดการเจ้าหนูน้อยเหล่านี้เอง!”
หลังจากพูดจบ หม่าลาวซานก็กวาดสายตาอันเย็นชาและจ้องมองชายหนุ่มทั้งสามอย่างน่ากลัว เขาหยุดจ้องไปที่ลู่เหลียงเผิง ร่างของเขาขยับ และกระบี่ยาวของเขาก็ชักออกมาจากฝักในขณะที่เขาสับมันลงอย่างดุร้าย