18 ยิ่งกว่ามารผจญ
เกรเทลพูดลอย ๆ ออกมาไม่ได้คิดอะไร เนื่องจากเวลามีไม่มากเธอจึงต้องรีบจัดการเจ้างูตัวปัญหาให้เสร็จ มิฉะนั้นเข้าทำงานที่โรงครัวสายแน่
น่าประหลาดใจกว่าคืองูเหมือนเข้าใจคำพูดเธอเพราะอยู่ดี ๆ มันกลับหยุดดิ้นแล้วนอนนิ่งให้เธอเขี่ยตาข่ายออกให้ ทว่ามันพันจนเป็นปมแก้ยากเธอจึงต้องมองหากิ่งไม้อีกอันเพิ่มนอกจากขนาดงูใหญ่แล้วตาข่ายที่เธอตากเอาไว้ก็ใหญ่ไม่แพ้กัน
ไม่ใกล้ไม่ไกลเธอเห็นมีกิ่งไม้จึงเดินไปหยิบมา เขี่ยแก้ปมไปหวาดเสียวโดนงูฉกไปแต่สุดท้ายเธอก็ช่วยมันออกมาได้ แน่นอนว่าปาไปเกือบชั่วโมงกว่าเธอจะช่วยคลายปมสังกะตังนี้
…ฉันโดนดุหูชาแน่วันนี้…
แค่คิดก็จิตตกแล้วปกติเธอเป็นคนตรงต่อเวลาเสมอ เวลาไปทำงานก็เข้าตามเวลาเป๊ะ ๆ ไม่มีขาดไม่มีเกิน คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เด็กสาวเข้างานสาย
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าแกมาติดตาข่ายได้ยังไงแต่ฉันต้องไปก่อนแล้ว คราวหลังก็อย่าเลื้อยไปติดอะไรแบบนี้อีกนะ”
พูดเสร็จเธอก็วิ่งจากมาทันทีโดยไม่ได้สนใจเลยว่ามีสายตาสีแดงฉานมองตามหลังบางไม่ละสายตา มันได้เลื้อยตามเกรเทลไปโดยอ้อมไปอีกทาง
เมื่อล็อกบ้านเจ้านายเสร็จร่างเล็กวิ่งหน้าตั้งไปยังโรงครัว โชคดีที่บาสเตียนเข้าใจเธอเขาไม่ได้ตำหนิอะไรมาก แค่กล่าวตักเตือนเล็กน้อยแล้วก็แยกย้ายกันไปทำงานหน้าที่ของตน
สำหรับเย็นวันนี้ค่อนข้างสบายไม่มีใครมากวนใจได้พักผ่อนเต็มที่ เธอเลือกจะเดินสำรวจรอบ ๆ ตลาดค้าทาสอีกครั้ง เกรเทลเดินไปนึกไปว่าคนส่งของมักจะมาช่วงบ่าย ฉะนั้นครั้งนี้เธอต้องมีแผนสำรองกันเหนียวไว้เพราะรอบก่อนเธอไม่ได้คิดแผนสอง
แถมใครจะไปรู้ว่าคนที่นี่ดันมีพลังแปลก ๆ ด้วย ซึ่งตั้งแต่อยู่มาเธอเห็นแค่อีตาวอลล็อคเท่านั้นที่ใช้ คนอื่น ๆ นอกนั้นก็เหมือนคนปกติทั่วไปไม่เห็นใช้พลังวิเศษกันเลย เกรเทลไม่เข้าใจกระบวนการคนที่นี่แม้จะอยู่มาร่วมเดือนแล้วก็ตามที
เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก ครบสามวันตามกำหนดการที่เธอจะต้องหนีออกไปจากที่นี่ คนส่งของกำลังจะเข้ามาช่วงบ่ายเกรเทลต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งเสื้อผ้าและกระเป๋าเดินทาง โชคดีที่เธอมักพกกระเป๋าย่ามสะพายไปไหนมาไหนตลอดเวลาเสมอเลยกลายเป็นที่ชินตาของคนที่นี่
ไม่มีอะไรน่ากังวลไปกว่าการผิดสังเกตหรือคนงานที่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้านว่าคนนั้นคนนี้เป็นยังไง เธอห่วงแค่สิ่งนี้สิ่งเดียวนอกเหนือจากนั้นเธอยังพอจะแถสีข้างถลอกได้
“วันนี้นายน่าจะกลับมาช่วงบ่ายแล้วแหละ”
เฟียซแวะมาบอกเธอตอนเช้าขณะที่เธอกำลังเดินแบกกระเป๋าไปยังโรงครัว ใจเธอเต้นโครมครามลุ้นระทึกกลัวจะผิดสังเกตตามที่คิดเอาไว้ แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ แต่ก็ห้ามประมาทเด็ดขาด
“ขอบคุณมากเฟียซที่ท่านแวะมาส่งข่าวให้ข้า”
เกรเทลยังพยายามกดเสียงให้ทุ้มต่ำเหมือนเคย ตลอดเวลาที่วอลล็อคไม่อยู่ตลาดค้าทาส หลายวันมานี้เฟียซมักแวะมาเช็กดูเธอในทุก ๆ วันจริงตามที่พี่แกบอกเอาไว้วันนั้น
เธอเคยหลอกถามเขาว่าแวะมาดูบ่อยแบบนี้เนี่ย ตัวเองไม่มีงานมีการทำบ้างเลยเหรอเพราะระยะทางจากกระโจมด้านหน้าตลาดค้าทาสมันไม่ได้ใกล้ไม่ได้ไกลก็จริง แต่เดินมาก ๆ ก็หอบกินได้เช่นกัน แล้วคำตอบที่อีกฝ่ายได้กลับมาคือ
“อ่อมีสิ แต่นายสั่งไงข้าก็ต้องทำตาม ฮ่า ๆ ใครจะกล้าขัดจริงไหม”
เขาพูดติดตลกพร้อมยิ้มกว้างออกมาด้วยความจริงใจ ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าและท่าทางเกรเทลรู้เลยทันทีว่าเฟียซซื่อสัตย์ต่อนายตนเองแค่ไหน เธอยิ้มส่งให้แล้วไม่ได้ถามอะไรต่อ
กลับมา ณ เหตุการณ์ปัจจุบัน เธอหวังว่าเขาจะไม่ทันสังเกตเห็นขนาดกระเป๋าสะพายของเธอที่มีขนาดใหญ่กว่าปกตินะ ในนี้มีทั้งเสื้อผ้าสองสามชุด อาหารแห้ง อุปกรณ์เอาตัวรอดไม่กี่อย่าง เช่น มีดเล่มเล็ก เข็มกับด้าย กระจก และของใช้ส่วนตัว
“เจ้ากำลังจะไปโรงครัวสินะข้าขอเดินไปด้วยคนแล้วกัน ข้ากำลังจะไปคุยกับบาสเตียนพอดี”
เกรเทลยิ้มค้างด้วยสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอพยายามเก็บสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
“ได้สิไม่มีปัญหา แล้วท่านจะไปคุยเรื่องอะไรกับบาสเตียนแต่เช้า”
เพื่อที่เขาจะได้ไม่มาสังเกตพฤติกรรมของเธอ เกรเทลจึงต้องหาเรื่องชวนคุยเบี่ยงเบนความสนใจเพราะสายตาทีแรกที่เธอเห็นจากเฟียซคือเขามองมายังกระเป๋าเธอ จะให้เขารู้ไม่ได้ว่าเธอกำลังหนี
“อ่อก็พวกงบประมาณอาหารแต่ละมื้อนั่นแหละ อย่างที่เจ้าเห็นตอนนี้อาหารเพียงพอต่อคนงานทุกคนที่นี่แล้ว”
คนตัวเตี้ยกว่าพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจที่เขากำลังจะสื่อถึง เกรเทลพอรู้ข่าวมาบ้างจึงปะติดปะต่อเรื่องราวได้ง่าย
“ก็จริงพักหลังมานี้อาหารที่โรงครัวพอสำหรับทุกคน เชฟบาสเตียนกับป้ากันนาร์เคยเล่าให้ข้าฟังว่าเมื่อก่อนวัตถุดิบทำอาหารที่นี่มีน้อยมาก”
“ใช่เกรเทล มันมีการยักยอกงบประมาณกันระหว่างนักบัญชีกับคนในโรงครัว อาหารจะมีไม่พอกินก็ไม่แปลกใจนักหรอก”
เรื่องนี้เธอรู้อยู่แล้วเพราะตนเองก็เข้ามาช่วยงานในโรงครัวทุกวัน จะไม่รู้วีรกรรมของคนครัวเก่าเลยก็ไม่ใช่เพราะคนอื่นเขาพูดกันเต็มไปหมด ขนาดเธอยืนหั่นผักเงียบ ๆ คนเดียวก็ยังมีคนใจดีคาบข่าวมากรอกหูให้ฟัง คิดดูว่าเป็นที่ฮือฮาแค่ไหนนั่งเมาท์กันสามสี่ห้าวันติดจนเธอเริ่มรำคาญ
“ที่แปลกใจคือนายออกคำสั่งไล่เด้งเรียงคนทันทีที่รู้ว่าใครทำแล้วให้เจ้าอารอล์ฟมาทำบัญชีแทน ข้าจำได้เลยว่านายโมโหมากแต่พยายามเก็บอาการไว้”
เป็นถึงนายใหญ่ของที่นี่ ไหนจะต้องคอยคุมงาน คุมทาส อีกทั้งบริหารจัดการสิ่งต่าง ๆ จะไม่โมโหเลยก็ไม่ใช่คนแล้ว เธอเดินไปด้วยฟังไปด้วยเกี่ยวกับนิสัยเจ้านายคนนี้จากปากคนสนิทขอเขา
“เป็นข้าก็โกรธเฟียซ”
“ใช่เป็นใครก็โกรธ ถึงนายจะทำอาชีพเป็นพ่อค้าซื้อขายทาส แต่การดูแลปากท้องคนในค่ายนายให้ความสำคัญที่สุด”
รูปประโยคหลังทำเอาคิ้วเกรเทลกระตุกเล็กน้อย อดสงสัยไม่ได้จึงปากไวถามออกไปจะตะครุบปากตนเองก็ไม่ทันเสียแล้ว
“แล้วทำไมถึงให้ทาสกินแต่ขนมปังแข็ง ๆ กับน้ำถ้วยเล็ก ๆ แค่นั้นล่ะเฟียซ?”
เธอแทบจะเอามือตีปากตนเองทันที เธอไม่รู้หรอกว่าเฟียซทำสีหน้าแบบไหนออกไปเพราะเธอพยายามหันหน้าไปมองชมนกมองไม้ไปเรื่อย ก็เล่นถามคำถามชวนวงแตกขนาดนี้แถมเธอยังเป็นทาสมันก็ดูไม่เจียมเนื้อเจียมตัวอยู่หรอก
“อ่อ มันมีสาเหตุแต่เหตุการณ์มันก็นานแล้วแหละ เจ้าอยากฟังไหมล่ะเกรเทล?”
“อยากสิ”
ใบหน้าหวานพยักหน้าแรงจนเฟียซอดเอ็นดูเจ้าหนูข้าง ๆ ไม่ได้นอกจากเป็นเด็กช่างพูดมากแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นก็มีเยอะเสียด้วย มิน่าล่ะคนในค่ายถึงพูดต่อกันว่ามันเป็นเด็กฉลาดช่างคิดช่างถาม
“อืม…หลายปีก่อนอาหารไม่ใช่แบบนี้หรอกเกรเทล เราก็ให้ข้าวให้น้ำเหมือนคนงานเราดี ๆ นี่แหละ”
ร่างเล็กตั้งใจฟังเป็นอย่างดีดูสนอกสนใจเรื่องราวที่เขากำลังเล่า
“แต่อยู่มาวันหนึ่งพวกทาสพร้อมใจแหกกรงหนีออกไปกันเกือบหมด ภาพยังติดตาข้าอยู่ว่านายวอลล็อคหัวหมุนอีกทั้งหัวเสียเหมือนกับตอนนี้ วันนั้นเขาต้องเรียกคนงานทั้งค่ายมาช่วยกันตามจับทาสกลับมา”
เป็นเหตุการณ์ที่ชุลมุนวุ่นวายที่สุดเท่าที่เขาทำงานที่นี่มาเพราะนอกจากทาสมีการขัดขืนไม่ยอมแล้วพละกำลังแรงกายก็ยังมีเยอะกว่าเดิมส่งผลให้การรวบตัวเข้ากรงเป็นไปด้วยความยากลำบาก
“สาเหตุก็มาจากอาหารที่พวกเราให้กินนั่นแหละ เจ้าอยู่ในครัวรู้ใช่ไหมว่าวัตถุดิบแต่ละอย่างช่วยเรื่องอะไรบ้างแก่คนงาน”
เกรเทลถึงบางอ้อทันทีที่เฟียซพูดขึ้น อาหารทุกเมนูในค่ายที่เชฟทำจะปรุงเสริมให้ร่างกายมีพละกำลังวังชา ไล่ความอ่อนล้าอ่อนเพลีย ขับเลือดลมให้ไหลเวียนมีสุขภาพดี ทุกอย่างผสมด้วยสมุนไพรธรรมชาติอย่างพิถีพิถันตามสูตรเฉพาะ
แม้จะไม่ใช่เมนูพิเศษเหมือนของวอลล็อค แต่บาสเตียนมักพูดอยู่เสมอว่าถ้าคนงานร่างกายแข็งแรงก็จะไม่ป่วย พอพวกเขาไม่ป่วยก็ไม่ต้องหาคนมาทำแทนให้เสียเวลาหรือจ้างคนเพิ่ม
ดูเหมือนว่าอาหารที่เอาให้พวกทาสกินกันก็คงมาจากหม้อเดียวกับคนงานงั้นสินะ
“พอเอาให้ทาสกินมันก็เสริมภูมิในร่างกายให้กลับมาแข็งแรง ข้าสังเกตตลอดทั้งก่อนและหลังจากที่ทาสคนคนหนึ่งมาที่นี่ ขาเข้ามาสภาพผอมแห้งดูโทรมแต่พอถูกขายออกไปหน้าตาดูแจ่มใสมีกำลัง”
อีกไม่ไกลนักพวกเราทั้งคู่ก็จะเดินมาถึงโรงครัวแล้วเฟียซจึงรีบเล่าส่วนที่เหลือให้จบ
“นายจึงสั่งให้เปลี่ยนอาหารทุกอย่างให้เหลือแต่ขนมปังกับน้ำเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ทาสมีแรงแหกกรงหนีไปได้”
คงเป็นสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมตอนนั้นเธอถึงได้กินแต่ขนมปังแข็ง ๆ กับน้ำถ้วยน้อย เกรเทลนิ่งเงียบไม่ได้กล่าวแทรกหรือถามอะไรออกไป
เฟียซจึงพูดปิดท้ายให้เจ้าหนูมันเข้าใจซึ่งเขาไม่รู้หรอกว่ามันจะเข้าใจพวกเขาได้แค่ไหน แต่อย่างน้อยการบอกความจริงให้เจ้าหนูนี้รับรู้ก็ดีกว่าปล่อยให้มันเข้าใจผิดไปอีกทาง
“เจ้าฟังมาทั้งหมดมันอาจดูโหดร้ายทารุณสำหรับเจ้าที่เป็นทาสก็จริง แต่นี่มันธุรกิจเทา ๆ เกรเทลมีคนขายมาพวกเราก็รับซื้อแล้วแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองหรือของมีค่าให้ ในเมื่อสินค้าหายพวกเราก็สูญเสียมูลค่านั้นไปโดยเปล่าประโยชน์”
กว่าพวกเขาจะมายืนถึงจุดนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนเด็กเล่นขายของ บทเรียนในวันนั้นทำให้พวกเขาต้องปรับเปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่างไปมาก
“ข้าไม่โทษพวกท่านหรอกข้าพอเข้าใจ คนทำธุรกิจใครจะยอมมาเสียเปรียบล่ะ”
เกรเทลเอ่ยขึ้นมาหลังจากเงียบไปพักใหญ่ เธอมาจากอีกโลกจึงเข้าใจเป็นอย่างดีว่าในวงการธุรกิจเรื่องต้นทุนขาดทุนถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่ขณะเดียวกันในสายตาเธอการเป็นชนชั้นทาสถือว่าลำบากมากเพราะไม่มีใครอยากถูกกดขี่ ไม่มีใครอยากถูกมองว่าเป็นสิ่งไร้ค่า
แม้ว่าตอนนี้เธอจะอยู่สบายกว่าทาสคนอื่น ๆ ในตลาดที่อาจไม่ได้รับโอกาสจากนายใหญ่ ซึ่งอย่างน้อยเธอก็ยังพออดทนกัดฟันสู้อยู่ได้ไม่ต่างจากการทำงานในบริษัทใหญ่เท่าไรนัก
“ใช่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าอาจไม่รู้เกรเทล แม้พวกเราจะค้าทาสแต่เวลาชาวบ้านในเขตนี้เดือดร้อนก็มีแต่นายใหญ่วอลล็อคนี่แหละที่คอยเป็นคนดูแลจัดการปัญหาให้”
เกรเทลมองไปยังเฟียซที่เล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอไม่รู้ว่าตนเองควรรู้สึกแบบไหนดีเมื่อได้ยินสิ่งที่เฟียซพูดเกี่ยวกับวอลล็อค
ทั้งสองคนเดินมาจนถึงโรงครัวเฟียซพาเกรเทลเข้าไปในครัวทั้งสองแยกย้ายกันไปทำงานของตนเองทันที เฟียซเดินไปคุยกับบาสเตียน ส่วนเกรเทลรีบเอากระเป๋าไปวางหลบมุมให้พ้นจากสายตาคนครัวเพราะไม่อยากให้ใครผิดสังเกตเห็นว่ากระเป๋าดูขยายใหญ่ต่างจากปกติ
เธอรีบไปล้างผักหั่นผักตามตารางงานที่ถูกจัดไว้ล่วงหน้าทันที ก่อนจะรีบขอตัวไปทำความสะอาดบ้านพักวอลล็อคต่อเพื่อที่เธอจะได้ดำเนินแผนการที่วางเอาไว้
โดยแผนที่คิดถ้าวอลล็อคกลับมาถึงก่อนผิดไปจากที่เฟียซบอกไว้ เธอจะรีบทำงานของตนเองให้เสร็จไว ๆ แล้วอ้างว่าลืมของไว้ที่โรงครัวขอวิ่งกลับไปเอาสักครู่ แล้วถ้าเขาถามว่าลืมอะไรเธอจะตอบว่าลืมยาทาแผลทิ้งไว้ว่ามันจะกลัวหายเพราะเป็นของอารอล์ฟ
แต่ถ้าเขายังไม่กลับมาเธอต้องเป็นฝ่ายระมัดระวังจังหวะที่เขากลับเข้ามาให้ดีเพราะเธอก็ไม่รู้ว่าจะเป็นตอนไหน ก่อนหน้านี้เคยเห็นการส่งของแล้วเธอจะแอบปีนขึ้นท้ายขบวนรถขลังแล้วซ่อนตัวจนกว่ารถขนส่งจะออกจากตลาดค้าทาส
นาฬิกาตีบอกเวลา 12:30 น. วอลล็อคยังไม่กลับมาที่บ้านเธอภาวนาหวังว่าเขาจะกลับมาหลังขบวนขนส่งสินค้ากลับไปแล้ว ตอนนี้เธอจึงรีบจัดการเก็บข้าวของล็อกประตูบ้านพักแล้ววิ่งหลบเลี่ยงไปตามทางเพื่อไปยังเส้นทางที่ขนส่งกำลังมาถึง
ระหว่างทางไม่ง่ายเลยที่จะหลบพ้นจากสายคนงาน อุปสรรคเดียวเลยคือส่วนคนใหญ่มักทักทายเธอเพราะเธอกลายเป็นคนดังในหมู่คนงานจากการช่วยงานพวกป้า ๆ อาวุโสทั้งหลาย กว่าจะเดินมาถึงเอก็เห็นขบวนรถขนส่งมาจอดรออยู่แล้ว
พวกพนักงานในชุดยูนิฟอร์มน้ำตาลเข้มไปทางดำกำลังทยอยยกข้าวของลงจากรถทีละอย่างสองอย่าง มันเป็นรถลากเลื่อนที่มีขนาดกลางด้านหน้าจะมีม้าประมาณ 5 - 6 ตัวคอยลากเพื่อเคลื่อนที่ แต่ถ้าของที่มีน้ำหนักมากเขาจะใช้สัตว์ที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 4 เมตร แม้รูปร่างคล้ายช้างก็จริงแต่ไม่ใช่ช้างแบบที่เรารู้จักกันด้วยซ้ำ
โดยก่อนหน้านี้ช่วงที่เธอว่างจากงานต่าง ๆ มักแอบไปช่วยพวกป้า ๆ ทำงานจิปาถะเล็กน้อย ขาเดินกลับบ้านพักวอลล็อคเธอจึงได้เห็นพวกมันเสมอ จึงถามคนรอบตัวว่ามันคือสัตว์อะไรดูแล้วแปลกตามากสำหรับเธอเพราะทั้งสองชนิดมันไม่ได้มีลักษณะเหมือนโลกของเธอเท่าไร
ทั้งตัวม้ามีสีน้ำตาลแต่แผงขนต่าง ๆ เป็นเส้นเถาวัลย์และใบไม้แทน แต่ม้าบางตัวก็มีดอกไม้เล็ก ๆ เบ่งบานรอบแผงคอ ประเภทนี้ถูกเรียกว่า ‘ฮอร์สอันเดอร์’ ใช้ในพวกขนส่งทางบกกันอย่างแพร่หลาย
แต่ถ้าใช้ทางการทหารหรืองานทั่วไปก็จะมี ฮอร์สเบลซ, ฮอร์สมารีน, ฮอร์สสตอร์ม และฮอร์สโบล์ท
ส่วนสัตว์ตัวใหญ่ที่คล้ายช้างคือ ‘เอลเบาเซียส’ มีลำตัวสีขาวอมเทา มันแวววาวระยิบระยับ งายาวใหญ่โค้งงอขึ้นสวยงาม แต่มีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปจึงเป็นที่มาว่าทำไมเกรเทลถึงรู้สึกขนลุกทุกครั้งเวลาเห็นมันมาที่ตลาดค้าทาส
นั่นก็เพราะเอลเบาเซียสไม่มีงวงช้าง มันมีแค่รูจมูกสองรูแบน ๆ ที่ดูลึกตันเข้าไป จึงทำให้หน้าตาดูน่าขนลุกขนพองซึ่งตัดกับสีมันวาวบนตัวมันอย่างแปลกประหลาด
แม้หน้าตาของมันจะดูไม่เป็นมิตรเท่าไร ทว่าทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้าทำให้มันไว้ใจได้ก็ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงเชื่อง ๆ ตัวหนึ่งเช่นกัน ขอพนันได้เลยว่าเธอจะขอยืนมองห่าง ๆ แทนดีกว่าไม่ขอเข้าใกล้ใครอยากตีสนิทกับมันก็เชิญตามสบาย
เกรเทลกลัวหน้าตาของมันมาก
เมื่อเห็นว่าเหล่าพนักงานขนสินค้าต่างเริ่มทยอยเดินหายไปในกระโจมเพื่อพูดคุยเรื่องค่าจ้างตนเอง ฉะนั้นเวลานี้จึงปลอดคนแทบ 100% เธอต้องรีบใช้จังหวะนี้กระโดดขึ้นท้ายรถสักคันแล้วนั่งเงียบ ๆ จนกว่าจะพ้นเขตตลาดค้าทาสไปด้านนอก
เด็กสาวผมสั้นติดหัวเบี่ยงตัวแนบชิดขอบรถเลื่อน แล้วหันศีรษะซ้ายทีขวาทีอย่างรุนแรงเพื่อรีบดูว่ามีใครเดินผ่านมาหรือแอบอยู่แถวนี้หรือเปล่า เพราะถ้ามีแผนการที่เธออุตส่าห์คิดไว้ต้องล้มเหลว
จนเธอแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้จริง ๆ จึงตัดสินใจปีนกระโดดขึ้นไปยังรถที่มีผ้าคลุมขนาดใหญ่ปิดกรอบแผ่นไม้ที่ถูกตีล้อมรอบเป็นสี่เหลี่ยมคล้ายท้ายรถบรรทุก เกรเทลเลือกเบียดตนเองเข้าไปด้านในเกือบสุดทางแล้วนอนราบลงไปแล้วขดตัวเองให้เล็กที่สุด
สักพักเธอก็ได้ยินเสียงคนงานพูดคุยดังแว่วออกมาจากกระโจม เธอคิดว่าพวกเขาคงพูดคุยเสร็จธุระกันแล้วจึงออกมาเตรียมกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อน
หัวใจภายในอกของเด็กสาวเริ่มเต้นโครมครามเธอไม่เคยได้ก้าวเท้าออกไปนอกเขตตลาดค้าทาสเลยสักครั้ง สภาพภายนอกจะแย่ขนาดไหน ทุรกันดารมากไหม เธอจะเอาตัวรอดได้จริงตามที่ตนเองคิดไหม เกรเทลตอบไม่ได้เลยแต่เธออยากเสี่ยงออกไปเพื่อที่จะได้หาทางกลับบ้าน
ฮี้! โฮรก!
รถเริ่มมีการสั่นไหวรุนแรงเล็กน้อยเพราะขบวนขนส่งกำลังเคลื่อนตัวออกเดินทางต่อ ทำให้เหล่าเอลเบาเซียสและฮอร์สอันเดอร์ส่งเสียงร้องกึกก้อง จนเธอต้องเอามืออุดหูเพราะไม่คิดว่าเสียงพวกมันจะดังได้ขนาดนี้
แรงเขย่าไปมาทำให้เกรเทลตัวไหลจนต้องคอยเกาะขอบไม้ไว้ พลันเหลือบสายตามองออกไปตามช่องว่างระหว่างไม้ที่ปิดไม่สนิทนัก ภาพวิวทิวทัศน์แปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จากที่มีต้นไม้เต็มไปหมดเริ่มกลายเป็นลานทะเลทรายกว้างที่เธอเคยจะได้ออกไปเมื่อตอนนั้น มันเป็นลานโล่ง ๆ ไม่มีอะไรนอกจากทรายและต้นหญ้าขึ้นเล็กน้อย
เธอเห็นว่าอีกเพียงแค่นิดเดียวก็จะถึงรั้วเขตตลาดค้าทาสแล้ว หัวใจเธอตอนนี้เต้นลุ้นระทึกจนเหมือนมันจะกระเด็นออกมาข้างนอกให้ได้ เด็กสาวมั่นใจว่าตนเองไม่เคยรู้สึกตื่นกลัวแบบนี้มาก่อนในชีวิต
มันเป็นเพราะอะไรกันแน่? แถมร่างกายเธอในตอนนี้ก็สั่นไปหมด ยิ่งตรงส่วนกลางหน้าผากเริ่มมีไอร้อนระอุขึ้นมาจาง ๆ เกรเทลเอื้อมมือเล็กขึ้นมาแตะหน้าผากตนเอง ผลปรากฏว่ามันเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เธอลองเอาฝ่ามือตนเองกวาดแตะไปรอบกรอบหน้าจนทั่ว ทั้งผม หน้าผาก แก้มและลำคอ
พบว่ามันมีไอร้อนโผล่ขึ้นมาแค่จุดเดียวคือ กลางหน้าผากเท่านั้น
ขณะนี้หน้าผากร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหาย ยิ่งเธอเข้าใกล้เขตรั้วของตลาดมากเท่าไร มันยิ่งเปลี่ยนจากความร้อนเป็นปวดแสบระบมพร้อมลุกลามกลายเป็นปวดหัวในที่สุด นอกจากอาการหนักหัวนี้แล้วเกรเทลคล้ายรู้สึกหายใจไม่ออก มันแน่นหน้าอกเหมือนกำลังถูกใครบางคนบีบรัดตนเองตลอดเวลา
เธอตัดสินใจลุกขึ้นนั่งหอบหายใจแรงเพื่อกอบโกยเอาอากาศเข้าปอดให้ได้มากที่สุด เหงื่อไหลเต็มท่วมตัวจนเสื้อแขนยาวเปียกชื้น มือไม้สั่นไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย อาการปวดแสบปวดร้อนทวีคูณความรุนแรงมากกว่าเดิมเมื่อรถคันที่เธอแอบซ่อนอยู่ใกล้ถึงปากทางออก
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ตอนนี้สมองเธออื้ออึงไปหมด เธอคิดอะไรไม่ออกแล้วเพราะสติเริ่มขาด ๆ หาย ๆ หูอื้อไม่ได้ยินเสียงอะไร หัวเหมือนกำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ ไม่สามารถควบคุมอะไรได้
เธอไม่มียาหรือสิ่งของที่จะแก้ปัญหาฉับพลันนี้ได้ มือบางยกขึ้นกุมบีบหัวตนเองและพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่เพราะแรงสั่นของรถทำให้เธอล้มลงไปนอนดิ้นที่พื้นไม้แทน
สภาพเธอตอนนี้เหมือนปลาขาดน้ำนอนดิ้นไปมา เกรเทลคิดว่าเธอกำลังจะตายจากอาการปวดแสบปวดร้อนเหล่านี้ น้ำตาเริ่มเอ่อนองไหลไม่หยุดจนตาพร่ามัว เธอยังไม่อยากตายตอนนี้ภาวนาว่าใครก็ได้มาช่วยที แต่อีกใจหนึ่งก็ยังเป็นห่วงเรื่องการหลบหนีออกไป
…ฉันจะทำยังไงดี…
ความหวังที่จะได้กลับบ้านมันช่างดูห่างไกลจากตัวเธอเหลือเกิน เธอเริ่มสะอื้นร้องไห้เงียบ ๆ บนรถขนส่งเพื่อกันพนักงานมาได้ยิน เธออยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ ทุกอย่างมันตีรวนขึ้นมามากมาย แต่ทว่าเวลานั้นเองรถคันหน้าดันหยุดชะงักการเคลื่อนตัวทำให้คันหลังที่ตามมาต้องจอดตามไปด้วย
พอทุกอย่างหยุดนิ่งเธอก็รับรู้สถานการณ์รอบตัวได้ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย หางตาเห็นภาพจากช่องไม้ว่ารถคันของเธอจอดอยู่ตรงกลางอาณาเขตระหว่างโลกภายนอกกับรั้วเขตตลาดทาสพอดิบพอดี
เธอไม่รู้ว่ารถหยุดจากสาเหตุอะไรแล้วคันหน้าเกิดปัญหาอะไรหรือเปล่า สิ่งเดียวที่เธอสัมผัสได้ในตอนนี้คือความแสบร้อนที่หน้าผากอย่างเดียวเท่านั้น พยายามหายใจเข้าออกลึก ๆ ตั้งสติให้ดีตอนนี้เธอมาถึงครึ่งทางแล้วต้องอดทนอีกหน่อย
“ข้าว่าแล้วไม่มีผิดไอ้เจ้าหนู ยังแสบเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ เลย”
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นท้ายรถคันที่เธอซ่อนตัวอยู่
…วอลล็อค? เขากลับมาแล้วเหรอ?…
เกรเทลยกศีรษะตนเองขึ้นมาดูทางต้นเสียง ปรากฏภาพตรงหน้าคืออีตาหัวเขียวเจ้านายใหญ่ของเธอที่กำลังยืนกระชากรอยยิ้มเย้ยหยัน สายตาเยือกเย็นจนน่าขนลุก ส่วนมือหนาได้จับยกผ้าคลุมสูงให้พ้นจากสายตา
“ข้าแค่ไม่อยู่ไม่กี่วันเจ้าคิดอยากเล่นแมวไล่จับหนูกับข้าอีกว่างั้นสินะ”
------
คอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ไรท์ได้นะคะ
หากพบคำผิด แก้ไขติชมโปรดคอมเมนต์อย่างสุภาพไรท์ยินดีปรับปรุงแก้ไขค่ะ
***
Talk with writer
ที่มาของการได้กินขนมปังแข็ง ๆ และน้ำอันน้อยนิดในตอนนั้นนั่นเองค่ะคุณผู้อ่าน เห็นไหมว่าวอลล็อคเขาก็ไม่ได้แย่เสมอไป(ละมั้ง) แต่อย่างที่เฟียซบอกค่ะ พวกเขาทำธุรกิจกันอะไรที่เสี่ยงก็ต้องป้องกันเอาไว้ ความใจดีใช้ไม่ได้กับทุกคนเสมอไป น้องเกรเทลหนูเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ที่เรารู้แน่นอนเลยก็คือน้องแผนล่มอีกแล้วค่ะสาว ตามชื่อบทเลยนะคะว่ามารผจญมันมีหน้าตาแบบนี้เลยค่ะแบบอีตาวอลดี้หัวผักของเรา รี้ดบางคนบอกนางมาในรูปแบบเจ้ากรรมนายเวรแน่นอน ฟันธง!
****
แวะมาพูดคุยเล่นหรือดูอัพเดตเกี่ยวกับนิยายไรท์ได้ที่
Facebook : C.T.Tiana
X (Twitter) : @Ccttiana