บทที่ 36: โรคร้ายแต่กำเนิด! มีแค่ฉันเท่านั้นที่ช่วยเธอได้!
บทที่ 36: โรคร้ายแต่กำเนิด! มีแค่ฉันเท่านั้นที่ช่วยเธอได้!
ดวงตาของซูไป๋เปล่งประกายด้วยความดีใจเมื่อเขาได้ยินเสียงแจ้งเตือนของระบบและคำเตือนอันตรายสีดำและสีแดงที่ขยายออกมาในขอบเขตการมองเห็นของเขา
โดยไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งจากซูไป๋….จินหมั่นฝูก็ก้าวไปข้างหน้าและเคาะประตู
“ก็อกๆ”
"เข้ามา"
เสียงอันแผ่วเบาของเสี่ยวหว่านชิงดังลอดออกมา….หลังจากนั้นซูไป๋ก็เปิดประตูสำนักงานด้วยความตื่นเต้น
ทันใดนั้น ภาพในออฟฟิศก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าซูไป๋
มันเป็นสำนักงานที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 30 ตารางเมตร
สะอาด กว้างขวาง และสว่างไสว
ตรงข้ามกับประตูสำนักงาน มีโต๊ะและโซฟาไว้รับรองแขก ภายในมีโต๊ะของเสี่ยวหว่านชิง และตู้เอกกสารที่เธอใช้เก็บข้อมูลต่างๆ
ในขณะนี้เสี่ยวหว่านชิงกำลังตรวจเอกสารที่อยู่ตรงหน้าเธอ
ที่ด้านข้างโต๊ะเสี่ยวหว่านชิง มีโต๊ะตัวเล็กวางอยู่……ในขณะนี้มีเด็กผู้หญิงที่ดูเหมือนอายุไม่ถึง 20 ปีกำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะนั้น
ครั้งหนึ่ง, ซูไป๋เชื่อว่าเสี่ยวหว่านชิงเป็นผู้หญิงที่งดงามมากที่สุดในบรรดาผู้หญิงที่เขาเคยพบ
แม้ว่าเธอจะอายุมากกว่าเขา…. เเต่คงมีเพียงไม่กี่คนในอาคารสีขาวหลังน้อยที่สามารถเปรียบเทียบกับเธอได้
แต่…
เมื่อเขาเห็นลูกพี่ลูกน้องของเสี่ยวหว่านชิงในวันนี้….เขาก็รู้แล้วว่าความงดงามที่แท้จริงในโลกนี้คืออะไร!
ผมสีดำยาวสยายลงมาดูยุ่งเล็กน้อยเเละคลอเคลียอยู่บนไหล่
ใบหน้าที่บอบบางราวกับหยกสีชมพูแกะสลักเนื้อดี….ช่างเข้ากับผมสีดำเงาอย่างไร้ที่ติ
เมื่อเทียบกับใบหน้านี้…..แม้แต่เสี่ยวหว่านชิงที่อยู่ข้างๆ ก็หม่นหมองลงอย่างช่วยไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตาม….
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของซูไป๋มากที่สุดไม่ใช่รูปร่างหน้าตาของหญิงสาวผู้นี้….แต่เป็นท่าทางของเธอ!
ร่างกายของหญิงสาวดูเปราะบางทั้งยังขี้โรค
ใบหน้าที่สวยงามนั้นซีดเเละขาดสีสัน….ร่างเล็กๆที่อยู่บนโต๊ะทำงามดูผอมบางเป็นพิเศษ
แม้ว่าเธอจะนั่งอยู่บนโต๊ะโดยไม่ขยับเขยื้อนไปใหน, เเต่เธอก็จะไอเป็นครั้งคราว เเละทุกครั้งที่เธอไอ คิ้วของเธอจะย่นเล็กน้อย ราวกับว่าเธอกำลังระงับความเจ็บปวดในร่างกายของเธอ!
ในสภาพที่แสนบอบบางนี้…..ร่างกายของหญิงสาวแสดงออกถึงความอ่อนแอเหมือนอยากให้ทุกคนที่มองเห็นรู้สึกว่า"เธอคือลูกแพร์ที่เบ่งบานท่ามกลางสาทกฤดู" ซึ่งทำให้ผู้คนที่มองมา….อดรู้สึกสงสารเธอไม่ได้!
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ เสี่ยวหว่านชิงจะไม่เคยยอมให้ลูกพี่ลูกน้องของเธอไปที่ย่านบันเทิง
หากผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวในย่านบันเทิงและมีแขกมาพบเห็นเข้า เธอคงทำให้หลายคนคลั่งไคล้เป็นแน่ (งดงามเเละเปราะบางจนน่าถนุถนอม)
เมื่อซูไป๋สังเกตเห็นหญิงสาวคนนี้….แน่นอนว่าเสี่ยวหว่านชิงก็สังเกตเห็นซูไป๋ด้วยเช่นเดียวกัน
เสี่ยวหว่านชิงได้ยินข่าวเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนี้ ที่อ้างตัวว่าเป็นหลานของจินหมั่นฝูแล้ว - ทั้งหลังจากนั้นจินหมั่นฝูก็พาเขาเข้ามาและเขาก็สร้างความยุ่งยากครั้งใหญ่ทันทีที่เขามาถึง
แต่ทว่า…..
หลังจากใช้เวลาหลายปีในซินเซียง จนได้พบปะกับบุคคลสำคัญมากมายนับไม่ถ้วน
ความสามารถในการจับอารมณ์และสังเกตการณ์ของเสี่ยวหว่านชิงนั้นดีเลิศชนิดที่ว่าคนทั่วไปทาบไม่ติด
เธอสามารถบอกได้ทันที...ความสัมพันธ์ระหว่างจินหมั่นฝูและชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่อย่างที่พวกเขาอ้าง
จินหมั่นจะต้องถูกบงการโดยชายหนุ่มคนนี้เป็นแน่!
ไม่ว่าเขาจะพยายามปกปิดมันแค่ไหน….เเต่ยามที่จินหมั่นฝูมองชายหนุ่ม ความรู้สึกหวั่นเกรงที่เขาเผลอเเสดงมาจากสัญชาตญาณนั่นไม่สามารถปกปิดได้!
เสี่ยวหว่านชิงไม่สนใจที่มาของชายหนุ่มผู้เแสนย็นชานี้ แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วยว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจินหมั่นฝูเเท้จริงเป็นอย่างไร
เธอแค่รู้ว่า
สายตาชายหนุ่มผู้เย็นชาคนนี้มองมาที่เย่ซินหยิงนั้น…..มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัด!
“คุณจิน”
ริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มเปิดขึ้นเล็กน้อย จากนั้นมันก็มาพร้อมคำพูดที่ฟังดูเย็นชา: "ถ้าคุณต้องการอะไรก็บอกฉันมา แต่ถ้าไม่มีอะไร….รบกวนออกไปด้วย, ฉันมีงานต้องทำอีกมาก"
ประโยคนี้ดูเหมือนเธอพูดกับจินหมั่นฝู.…แต่จริงๆแล้วเธอกำลังพูดกับซูไป๋
ก่อนที่จินหมั่นฝูจะได้ตอบอะไร….ซูไป๋ก็ก้าวไปข้างหน้า และจ้องมองไปที่หญิงสาวที่อ่อนแออย่างใกล้ชิด
ซึ่งสิ่งนี้ทำให้หญิงสาวที่ขี้อายอยู่แล้วยิ่งรู้สึกกดดันมากยิ่งขึ้น เธอรีบขยับตัวเพื่อซ่อนอยู่หลังคอมพิวเตอร์อย่างระมัดระวัง
"ในโลกนี้ มีเแค่ฉันเท่านั้นที่จะช่วยเธอได้!"
"คุณพูดอะไรน่่ะ?!"
ความสับสนและตกใจฉายชัดในดวงตาหยกอันเฉี่ยวคม….และตอนนี้เสี่ยวหว่านชิงก็อดไม่ได้ที่จะเพิ่มระดับเสียงของเธอให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อย
เเต่ซูไป๋ไม่ได้สนใจเสี่ยวหว่านชิง, เขาก้าวเดินไปรอบๆโต๊ะพลางจ้องมองหญิงสาวที่อ่อนแอเหมือนนกกระทา…..เเละในที่สุดก็พูดออกมาเบาๆ
"ถ้าฉันเดาถูก เธอคงจะป่วยเป็นโรคที่ชื่อว่าอะบอร์ทิซึมใช่รึเปล่า แถมยังเป็นโรคระยะสุดท้ายด้วยใช่ไหม?”
อะบอร์ทิซึมเป็นโรคหายากร้ายแรงที่คล้ายกับตำนานของเมือง
สาเหตุที่เรียกว่าตำนานของเมืองก็เนื่องมาจาก จำนวนของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้หายากเกินไป…..แม้ว่าจะนับจำนวนผู้ป่วยจากทั่วทั้งโลกมันก็ยังมีไม่เกินสิบราย
ทั้งโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุไม่ว่าจากปัจจัยภายนอกหรือภายใน….อาการเดียวที่มีคือผู้ป่วยจะอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง, จนในที่สุดมันก็จะนำไปสู่ความตาย
โรคชนิดนี้ไม่มีใครทราบสาเหตุของโรค, ทั้งยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
นอกจากนี้, การพยายามประคับประคองอาการไม่ให้ทรุดตัวลงก็ยังทำได้ยากยิ่ง... เพราะงั้นมันจึงกลายมาเป็นโรคที่เหมือนตำนานของเมืองในที่สุด
“เสี่ยวหยิง...เธอกำลังทรมานจากโรคอะบอร์ทิซึมอยู่จริงๆ”
เสี่ยวหว่านชิงไม่ได้ปฏิเสธ ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความรักใคร่
"เมื่อคุณรู้อยู่แล้วว่านี่คือโรคอะบอร์ทิซึม คุณก็ควรรู้ด้วยว่าเธอไม่ควรถูกรบกวน"
เมื่อได้ยินเช่นนี้, รอยยิ้มเย็นชาก็ปรากฏบนใบหน้าของซูไป๋ และเขาก็พูดขึ้นมา
"ฉันบอกไปแล้วนะ, ว่าฉันเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่สามารถช่วยเธอได้!"
"นั่นมันเป็นไปไม่ได้!" เสี่ยวหว่านชิงรู้สึกไม่สบายใจอีกครั้ง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอได้พาเย่ซินหยิงไปยังเมืองหลวงของไท่เซี่ย และอเมริกา
แม้แต่โรงพยาบาลและสถาบันการแพทย์ชั้นนำของไท่เซี่ยและอเมริกาก็ยังทำอะไรไม่ได้เลย
ย่างมากพวกเขาก็แค่จ่ายยาราคาแพงบางชนิดมาเพื่อชะลอการเสียชีวิตของเย่ซินหยิงเท่านั้น...เเล้วชายหนุ่มผู้ดูเย็นชาเเละไม่ทราบที่มาที่ไปคนนี้กลับมาบอกว่าเขาสามารถช่วยเธอได้งั้นหรือ?
“มันอาจจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้……เเค่ลองดูแล้วคุณจะรู้เอง”
ซูไป๋ไม่ได้โต้แย้งกับเสี่ยวหว่านชิงอีกต่อไป…..เขาขอให้จินหมั่นฝูหาเข็มฉีดยาที่สะอาดกับน้ำอุ่นมาหนึ่งแก้ว
เมื่อจินหมั่นฝูกลับมาพร้อมกับกระบอกฉีดยาและแก้วน้ำ
ซูไป๋ก็ทำเหมือนล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเขา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาหยิบ [ยาฟื้นฟูฉับพลัน] คุณภาพหายากสีเขียวออกมาจากกระเป๋าเป้สะพายหลังของระบบ!
[ยาฟื้นฟูฉับพลัน] ถูกสร้างขึ้นหลังจากผสมผสานแกนคริสตัลแห่งชีวิตระดับสอง…..แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับสองก็สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและความแข็งแกร่งทางร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาเลย
ซูไป๋ไม่รู้ว่ายาฟื้นฟูฉับพลันนี้จะสามารถรักษาสาวน้อยคนนี้ได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่…..เเต่มันคงจะสามารถชะลออาการป่วยของเธอ, ทั้งยังช่วยยืดอายุขัยของเธอได้อย่างเเน่นอน!
แต่ยาเเรงเเบนี้, มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถใช้มันได้ทั้งหมดอย่างเเน่นอน
ดังนั้น, ซูไป๋จึงใช้เข็มฉีดยาดูดมันขึ้นมาหนึ่งในสิบ แล้วเทลงในน้ำอุ่น….จากนั้นจึงยื่นถ้วยน้ำอุ่นให้เสี่ยวหว่านชิง
"ลองดูสิ"
………………….