ตอนที่ 89 เดินทางอีกครั้ง
ในวินาทีที่เบร์โตริโอเพลี่ยงพล้ำ ไกลออกไปทางเมืองหลวงจักรวรรดิ ในห้องขนาดสองร้อยตารางเมตรที่สมเด็จพระสันตะปาปาแห่งเฮอราบอสทรงใช้ประชุมคณะนักบวช ท้องพระโรงแห่งนี้คือศูนย์รวมอำนาจของจักรวรรดิและศาสนจักรแห่งแสง
เหนือบัลลังก์ที่ประทับอยู่กึ่งกลางของห้อง มงกุฏสีทองมันวาวล่อยลอยอยู่ตรงนั้นพร้อมกับปลดปล่อยพลังในระดับศักดิ์สิทธิ์ออกมาอยู่ตลอดเวลา ภายใต้ของวิเศษระดับศักดิ์สิทธิ์เทียมทั้งสามชิ้น มงกุฏแห่งโอเรียมริมนั้นทรงพลังที่สุด หน้าที่ของมันในจักรวรรดิคือการปกป้องดินแดนและกำจัดภัยร้ายที่เหยียบย่างเข้ามาในแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์นี้
ท้องพระโรงใหญ่แห่งเฮอราบอส และมงกุฏแห่งโอเรียริม
แต่ก่อนที่เบร์โตริโอจะเดินทางไปมอเดส เขาได้มาที่นี่ก่อนเพื่อเตรียมการบางอย่าง หลังจากที่สมเด็จพระสันตะปาปาเฒ่ารู้ว่าตนไม่อาจยืนหยัดได้ต่อไปอีก สิ่งที่เขาเตรียมการเอาไว้ก็ส่งผล พลังแห่งกฎเอ่อล้นออกมาจากตัวมงกุฏ อำนาจแห่งกฎขยับขยายออกไปไกลถึงแดนเหนือใต้หุบเขาดำมืด ภาพสัญลักษณ์ฉายภาพของมันอยู่เหนือร่างทุรนทุรายของสมเด็จพระสันตะปาปาเฒ่า แสงของภาพนั้นกระพริบหนึ่งที ร่างที่กำลังทุรนทุรายก็กลายเป็นแสงกลุ่มหนึ่งและพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่ตาเปล่ามองไม่เห็น ทิศทางของมันคือเมืองหลวงจักรวรรดิ
อำนาจกฎนี้พวกอวาเรย์ออนเคยเห็นเป็นครั้งแรก
กฎศักดิ์สิทธิ์ [การเดินทางของแสง]
“หนีไปจนได้”
คุณแม่อธิการกลับมาอยู่ในสภาพปกติหลังจากที่พลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าหมดลง แสงสีทองบนร่างของหล่อนหายไปแล้ว อวาเรย์ออนเองก็ไม่ต่างกัน
“นึกว่าเราจะต้านทานเอาไว้ไม่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นแผนสำรองคงต้องเอาออกมาใช้”
อัคราธิการดูแมนพูดด้วยเสียงแหบแห้ง ลมหายใจของดูเหมือนจะไม่สม่ำเสมอนัก ร่างกายของเขาแทบยืนไม่ไหวในตอนนี้
“แผนสำรองอะไร? เราไม่ใช่ขุมกำลังเดียวที่ท่านเตรียมเอาไว้หรือ?”
อวาเรย์ออนเก็บคฑาสีทองในมือลงไปในพื้นที่มิติของตนเอง นี้ถือว่าเป็นสินสงครามของเขาเอง นางชีเฒ่ากับดูแมนจะไม่แย่งมันไปจากเขา
แต่การยึดถือมันไว้อาจทำให้ศาสนจักรเริ่มประกาศสงครามอีกครั้ง อวาเรย์ออนนั้นไม่เกรงกลัวเบร์โตริโอก็จริงแต่ไม่ใช่กับประชาชนชาวเกลิออนของเขา ดังนั้นหากศาสนจักรส่งค่าไถ่มาไถ่คฑาด้ามนี้คืนเขาก็ยินดีจะคืนให้
“กษัตริย์แห่งชาวเงือกยินดีที่จะเข้าร่วมกับเราด้วย แต่เป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่เป็นพระหัตถ์ของเบร์โตริโอในเฮอราบอส เอเลนอร์ เราจะโจมตีเอลฟ์ตนนั้นเพื่อดึงเบร์โตริโอกลับไปหากเราสู้ไม่ไหว”
ดูแมนนั่งลงบนขั้นบันไดขั้นแรกหน้าวิหารคนตาบอด พวกเฟโอโดรากับอวาเรย์ออนเดินเข้ามานั่งข้างๆ ด้านหน้าของวิหารตอนนี้ถูกสาวกในคณะนักเทศน์เก็บกวาดซากปรักหักพังออกไป เสาวิหารที่ล้มลงถูกพลังเวทย์ดึงขึ้นมาตั้งไว้อีกครั้ง
เฟโอโราล้วงเข้าไปในอกเสื้อของนาง ขวดยาสีฟ้าสามขวดถูกนำออกมาและแจกจ่ายให้กับผู้ทรงพลังขั้นครึ่งก้าวระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคนที่มารวมกันอยู่ที่นี่
อวาเรย์ออนรับมาและดื่มลงไปทันที ดูแมนลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็รับมันไป ยาสีฟ้าสามขวดนี้เขารู้อยู่แก่ใจว่าล้ำค่าขนาดไหน มันอาจเป็นสามขวดสุดท้ายในชีวิตของเฟโอโดรา
“ข้าไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้ว หลังจากศึกนี้จบลงข้าจะไปที่แดนรกร้างเสื่อมทราม”
นางชีเฒ่ายิ้มให้กับอัคราธิการผู้แก่ชราพอๆกัน ในบรรดาพวกเขาสามคนอวาเรย์ออนนั้นอายุมากที่สุด แต่กลับอ่อนเยาว์ที่สุด นี่คือเอกสิทธิ์ที่มอบให้กับเผ่าพันธุ์เอลฟ์เท่านั้น
ในบรรดาผูัทรงพลังระดับเดียวกัน อายุขัยจะผันแปรตรงกับเผ่าพันธุ์ของตน การบรรลุระดับขั้นที่สูงขึ้นไม่ได้แปลว่าท่านจะอายุยืนยาวกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ระดับตำนานที่เป็นมนุษย์อาจมีอายุยืนยาวได้หลายร้อยปี แต่กับระดับตำนานของเอลฟ์นั้นต่างออกไป พวกเขาอาจมีอายุยืนยาวได้นับพันนับหมื่นปี เหมือนกับอวาเรย์ออน กฎข้อนี้ยังใช้ได้กับมังกรและสัตว์วิเศษที่มีสายเลือดทรงพลังแต่กำเนิดด้วย
แต่นี่ก็มาพร้อมกับข้อจำกัดมากมายในการสืบพันธุ์ พวกเอลฟ์มีลูกยาก และมีทายาทแต่ละรุ่นน้อยมาก ในประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปี มนุษย์อาจมีลูกหลานไปแล้วหลายสิบรุ่น แต่พวกเอลฟ์อาจมีแค่รุ่นเดียวเท่านั้น
“เอเลนอร์จะถือเป็นคนนอกได้หรือไม่ เราไม่ได้ล้ำเส้นของเบร์โตริโอใช่หรือเปล่า หากเขาบ้าขึ้นมาใครจะรู้ว่าสมเด็จพระสันตะปาปาคนนั้นจะทำอะไรได้ อาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์เทียมของเขามีตั้งสาม…ตอนนี้อาจเหลือแค่สองชิ้น แต่ก็ไม่แน่ เขาอาจได้คฑาสีทองกลับไปและรวมพวกมันออกมาเป็นอาวุธระดับอนุเทพ เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราก็ขุดหลุมศพเตรียมรอไว้คนละหลุมได้เลย”
เฟโอโดราถอนหายใจออกมา แผนสำรองนี้ของดูแมนเธอไม่เคยรู้มาก่อน นครชาวเงือกที่อยู่ทางทะเลทิศใต้ของมหาทวีปก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ศาสนจักรต้องการกำจัดเช่นกัน แต่ด้วยภูมิประเทศที่แตกต่างจึงทำให้นักบวชเหล่านั้นได้แต่กัดฟันทนมาจนถึงตอนนี้ อย่าลืมว่าชาวเงือกต่อสู้ในน้ำได้เก่งกาจนัก
นี่จึงเป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่ศาสนจักรพยายามผูกสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไฮเฟล เพราะพวกเขาเชี่ยวชาญการรบทางน้ำเช่นเดียวกัน เวทมนตร์ธาตุน้ำของไฮเฟลนั้นขึ้นชื่อที่สุด ผู้ใช้เวทมนตร์ที่นั่นสืบทอดระบบการฝึกตนที่เป็นเอกลักษณ์ พวกเขามียาปลุกพลังเช่นเดียวกับระบบวอร์ล็อค และมีระบบสายเลือดเหมือนกับพวกพ่อมด มันคือการผสมผสานกันที่หาไม่ได้ที่ไหนอีกในมหาทวีป
ในตำนานโบราณของชาวไฮเฟล พวกเขาเชื่อว่าตนสืบเชื่อสายมาจากเทพผู้สร้างโลกและจักรวาลในอดีตที่เรียกว่า “ฟานกัส” แต่นั่นก็เป็นแค่ตำนาน ตัวตนของฟานกัสกลับไม่ได้รับการพิสูจน์จนถึงตอนนี้ และชาวไฮเฟลเองก็ไม่เคารพบูชาฟานกัส แต่เคารพบูชาเทพเจ้าหลายองค์ที่แตกต่างกัน ในบรรดาเทพเจ้าที่มีความสำคัญเป็นลำดับต้นๆในไฮเฟล มีอยู่หกองค์ที่มีผู้ศรัทธามากที่สุด
ได้แก่เทพแห่งแสง ของศาสนจักร ,เทพแห่งมหรรณพ ของราชวงศ์ไฮเฟล ,เทพแห่งการเก็บเกี่ยว ของกลุ่มชนทางเหนือ ,เทพแห่งพืชพันธุ์เขียวขจี ของกลุ่มชนทางเหนือ ,เทพชาวประมง ของกลุ่มชนทางใต้ ,และเทพแห่งพายุและคลื่นลมบ้าคลั่ง ของกลุ่มชนทางใต้เช่นเดียวกัน เทพทั้งหกองค์สามารถเผยแพร่ศาสนาในไฮเฟลได้อย่างอิสระ แต่ทุกวันที่หนึ่งของเดือนแรกในฤดูฝน ราชวงศ์ไฮเฟลจะต้องประกอบพิธีใหญ่เพื่อบูชาเทพแห่งมหรรณพหนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นพิธีที่จัดขึ้นก่อนการประกอบพิธีมิสซาใหญ่ประจำปีของศาสนจักร ในวันที่ยี่สิบห้าของเดือนสุดท้ายในปีนั้น
“พวกเราไม่มีทางเลือก การล่มสลายลงของกลุ่มผู้เชื่ออื่นแม้แต่กลุ่มเดียว อาจทำให้ศาสนจักรทรงพลังมากขึ้นอีกหลายเท่า”
ดูแมนดื่มยาขวดสีฟ้าลงไปแล้ว ร่างกายของเขาเริ่มมีสีเลือดฟาดมากขึ้น สายตาที่ขุ่นมัวของวัยชรามองไปที่แขนข้างซ้ายของนางชีที่ขาดหายไป เมื่อนึกถึงคำพูดของเฟโอโดราที่ว่าตนจะเดินทางไปที่แดนรกร้างเสื่อมทรามหลังจากจบศึกนี้ ดูแมนก็อดสำนึกขอบคุณไม่ได้ที่นางเสียสละแขนหนึ่งข้างที่ไม่อาจงอกใหม่ขึ้นมาได้อีกเพื่ออัญเชิญกฎ[สาปแช่งทั้งโลก]ออกมา ที่นางทำเช่นนี้เพราะนางเตรียมตัวที่จะตายในแดนรกร้างเสื่อมทรามแล้วอย่างแน่นอน ดูแมนล้วงเข้าไปในอกเสื้อ สัญลักษณ์ของเทพเจ้าแบบเดียวกับที่เขาห้อยเอาไว้ที่คอปรากฎอยู่ในมือ เขาส่งมันไปทางแม่ชีเฒ่า
“ข้ามอบให้เจ้า แม้นร่างกายของเจ้าจะต้องกลบฝังอยู่ในแดนอื่นที่ไม่ใช่บ้าน แต่มันจะเป็นตัวแทนข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าตลอดไป ข้าอยากจะบอกว่าให้เทพเจ้าคุ้มครองเจ้า แต่เราต่างรู้กันดีว่า เทพเจ้าทอดทิ้งพวกเราไปนานแล้ว แต่ข้านั้นต่างกันข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอ”
เฟโอโดรารับมันมาถือเอาไว้ น้ำตาเอ่อนองที่หางตาทั้งสองข้าง ภาพในวัยเยาว์หวนกลับเข้ามาในความคิดของนาง เสียงหัวเราะของเด็กสาวที่กำลังเล่นซนอยู่ในแปลงดอกไม้กับเพื่อนในวัยเดียวกัน ที่ห่างออกไปไม่ไกลชายหนุ่มที่ตาบอดทั้งสองข้างแต่ไม่มีผ้าปิดเอาไว้เหมือนในตอนนี้กำลังยิ้มออกมาด้วยใจเปี่ยมสุขเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของนาง แต่อดีตล่วงพ้นไปแล้ว อนาคตเองก็ยังมาไม่ถึง ปัจจุบันเท่านั้นที่สำคัญ
“ขอบคุณมากดูแมน ฉันจะคิดถึงคุณ”
เฟโอโราลุกขึ้นยืน เวลาของพวกเขาหมดลงแล้ว ถึงเวลาที่นางจะต้องออกเดินทางอีกครั้ง
อวาเรย์ออนลุกขึ้นยืนตามนางชีเฒ่า เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กับดูแมนมากนัก ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อตอบแทนน้ำใจของเฟโอโดราที่แบ่งปันความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าให้กับเขาเพื่อช่วยให้ฝ่าทะลุไประดับศักดิ์สิทธิ์ แต่เพราะความศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่เข้ากันกับเขา ผลกระทบของมันจึงทำให้อวาเรย์ออนแทบจะกลายเป็นสตรีคนหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่นับว่าเป็นอันใดเลยหากเทียบกับอายุขัยที่กำลังจะหมดลง
ร่างของเฟโอโดราเดินหายเข้าไปในเส้นทางดำมืดใต้หุบเขา อวาเรย์ออนเดินตามไปติดๆ ภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืน ดูแมนมองส่งร่างของคุณแม่อธิการผู้นำภราดรแห่งคำสรรเสริญไปจนลับสายตา ใต้ผ้าปิดตานั้นชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา เสียงของหัวใจร่ำร้องออกมาเป็นคำพูดที่ไม่อาจเปร่งออกไปได้
…ลาก่อนเฟโอโดรา ผมรักคุณนะ…
-
ตอนที่เบร์โตริโอกลายเป็นแสงและพุ่งหายวับไปบนขอบฟ้า ไม่ถึงเสี้ยววินาทีร่างของเขาก็มาปรากฎอยู่ในหอคอยเสียดฟ้าของมหาวิหาร ทั่วร่างในชุดคลุมแดงเต็มไปด้วยรัศมีสีดำของคำสาปแช่ง พลังแห่งชีวิตของสมเด็จพระสันตะปาปาเฒ่าไหลออกไปอย่างรวดเร็ว ผิวหนังนั้นแห้งเหี่ยวดุจซากศพ กลิ่นอายความตายอบอวนไปทั่วหอคอย
“ซาฟารัส”
เสียงของเบร์โตริโอแหบเครือเหมือนคนป่วยใกล้ตาย แต่มันก็ดังพอที่จะส่งออกไปนอกห้อง ไม่นานร่างบางของบิชอปซาฟารัสก็เดินเข้ามา นักบวชชั้นสูงคนนี้คือพระราชเลขาของเบร์โตริโอ
“ฝ่าบาทเกิดอะไรขึ้น?!”
บิชอปหนุ่มร้องออกมาด้วยท่าทีกระวนกระวาย สมเด็จพระสันตะปาปาผู้ทรงเป็นเสาหลักของจักรวรรดิกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่ดีเอาเสียเลย หรือพระองค์กำลังจะสิ้นพระชนม์
“ยกเลิกการประชุมคณะนักบวช และสภานักบวชตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ประกาศออกไปว่า ข้ากำลังเข้าสู่สภาวะบำเพ็ญเพียรเพื่อสื่อสารกับพระผู้เป็นเจ้าแห่งเรา…ไม่มีกำหนด”
เบร์โตริโอลังเลที่จะพูดในประโยคสุดท้าย เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะทำลายคำสาปนี้ลงได้ เขาอาจต้องขอความช่วยเหลือจากเทพแห่งแสง
“ตามเอเลนอร์และลิกนิสมาพบข้าด้วย”
บิชอปซาฟารัสรีบวิ่งออกไปทันที มันรู้ว่าเวลาเช่นนี้มันไม่อาจชักช้าได้ ข่าวที่สมเด็จพระสันตะปาปาทรงป่วยหนักจะเล็ดลอดออกไปสู่โลกภายนอกไม่ได้เด็ดขาด
เบร์โตริโอขับเคลื่อนพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งแสงในร่างอย่างยากลำบาก พลังคำสาปบั่นทองอายุขัยและสติปัญญาของเขาอย่างมาก แม้พลังของชุดคลุมจะยังส่งผลอยู่บ้าง แต่กฎของมันไม่อาจชำระล้างคำสาปได้ เบร์โตริโอต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานนี้ด้วยตนเอง มันโบกมือขึ้นไปทางอากาศเหนือลิ้นชักเก็บของที่ลงกุญแจเอาไว้ ขวดแก้วสีเขียวลอยออกมาจากลิ้นชักไม้ เบร์โตริโอรีบคว้าจับไปที่ขวดใบนั้น
ไม่นานเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบก็ดังมาจากหน้าประตู เบร์โตริโอเปิดขวดด้วยมืออันสั่นเทาและรีบดื่มน้ำยาขวดสีเขียวลงไป น้ำยาไม่มีผลอะไรต่อคำสาปแต่มันสามารถทำให้สมเด็จพระสันตะปาปาเฒ่าสามารถกลับมาสุขภาพดีอีกครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ บุรุศสูงวัยในชุดคลุมนักบวชสีขาวสะอาดวิ่งตรงเข้ามาในห้อง เขาเห็นสภาพร่างกายของสมเด็จพระสันตะปาปาแล้ว มันดูปกติอย่างมาก
เบร์โตริโอเดินมานั่งอยู่บนเก้าอี้สีทองด้านข้างหน้าต่างของหอคอย ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนานนัก เขาหันไปมองตามที่มาของเสียง เพื่อนนักบวชของเขามาถึงแล้ว
“ลิกนิสเพื่อนเอ๋ย สหธรรมมิกของข้า ข้าอยากถามเจ้าอย่างตรงไปตรงมา เรื่องที่ข้าไปมอเดสมีกี่คนที่รู้ นอกจากเจ้าและเอเลนอร์”
เสียงของสมเด็จพระสันตะปาปาเฒ่านั้นทรงอำนาจ เขาดูไม่เจ็บป่วยเลย
ลิกนิสขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่จากนั้นก็รีบกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“พระคาร์ดินัลสององค์ของท่านย่อมรู้ พระคาร์ดินัลของสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ก่อนก็อาจจะรู้ รวมถึงราชเลขาของท่านด้วย”
“มีอีกหรือไม่ เพื่อนข้า ได้โปรดบอกข้ามาเถิด”
ลิกนิสทำท่าครุ่นคิดพอเป็นพิธี สุดท้ายเขาก็บอกคำตอบเดิมออกไป
“ไม่ควรมีมากกว่านี้”
“เช่นนั้นเราก็มีคนทรยศแล้ว”
เบร์โตริโอมองออกไปนอกหอคอย ท้องฟ้าเบื้องบนนั้นปกคลุมไปด้วยดวงดาวมากมายนับล้าน พวกมันแข่งกันส่องแสงลงมายังโลกมนุษย์
คำพูดของเบร์โตริโอทำให้ลิกนิสถึงกับเปลี่ยนสีหน้า มันรีบคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังปัง
“ไม่ใช่ข้า!”
“เราจะรู้กันในอีกไม่ช้า ออกไปเถอะ”
สมเด็จพระสันตะปาปาไม่ทรงสนใจลิกนิสอีก สงครามครั้งนี้แค่เริ่มต้นเท่านั้น