บทที่ 509: แผลงฤทธิ์ ย่อยยับ!
บนทุ่งหญ้าในขณะนี้ราวกับแดนมิคสัญญีได้อุบัติ
เปลวเพลิงลุกไหม้เป็นทางยาวอย่างกับมังกรไฟหลายสิบตัวแผดเผาอยู่ท่ามกลางกองทัพโคโบลด์อย่างไม่แยแส พวกที่ไม่อาจหลบหนีได้ต่างก็ถูกมันคลอกแหกปากกรีดร้องลงไปกลิ้งไปดิ้นอยู่บนพื้น
อย่างไรก็ตามเปลวไฟนี้กลับน่ากลัวเหลือเกิน นอกจากจะร้อนจนเหมือนเล่นตลกแล้วยังดับไม่ได้ไม่ว่าจะคลุกดินขนาดไหนก็ตามอีก ทำให้พวกที่ถูกไฟคลอกนั้นต้องถูกเผาจนกลายเป็นก้อนถ่านควันเขียวฉุย ๆ ในเวลาเพียงไม่นาน ซึ่งจะเห็นฉากแบบนี้ได้ทั่วทุกทิศ
ทำให้ทั้งค่ายตอนนี้ได้ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายไปแล้วเรียบร้อย พวกที่อยู่ใกล้กับทะเลเพลิงต่างรีบวิ่งหลบ เพียงพริบตาเดียวก็เห็นพื้นที่โล่ง ๆ ขนาดใหญ่โดยรอบบริเวณทะเลเพลิงเนื่องจากไม่มีใครอยู่ในนั้นต่อแล้ว
พวกโคโบลด์ที่โชคดีพอที่จะเอาชีวิตรอดออกมาได้ต่างก็ตาแดงก่ำมองดูลูกเผ่าของตนที่กำลังดิ้นรนจนตายคากองเพลิงโดยไม่มีความสามารถจะเข้าไปช่วยได้เลย
พวกมันแหกปากคำรามเห่าหอนกันระเบ็งเซ็งแซ่ ความเกลียดชังและเคียดแค้นได้ระเบิดอยู่ในใจปี๊ดขึ้นมาไม่หยุด!
“ไอ้สัดเชิ่งหลง ไอ้พวกมนุษย์ระยำ กูจะฆ่าพวกมึงให้โหมดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!”
นายพลโคโบลด์ที่ต้องเฝ้ามองน้องชายของตนโดนำฟคลอกตายได้ตะโกนเสียงดังสนั่นปานจะเป็นบ้าไปแล้ว
มันแหงนหน้าขึ้นฟ้าโดยหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าตัวเองจะสามารถกระโดดขึ้นไปจับไอ้นกยักษ์สีเงินนั่นแหวกอกแล้วกระชากตัวไอ้พวกมนุษย์ที่อยู่ข้างในมาฉีกเป็นชิ้น ๆ แล้วดื่มเลือดสด ๆ ให้หายแค้น
ทว่าในตอนนี้มันก็ได้เห็นว่าไอ้นกยักษ์พวกนั้นมีหลายตัวที่บินโฉบเข้ามาโดยพ่นเปลวไฟใส่หน้าตนแบบรัว ๆ
ปึ้ง ๆ ๆ!
มีกระสุนบินมาโดนที่อก ท้อง และหัวของไอ้เจ้านายพลโคโบลด์เรียงกันเหมือนนับเลข สองนัดแรกได้ฉีกร่างครึ่งบนของมันแหว่งข้าง และตามด้วยการระเบิดหัวมันจนแตกกระจายไม่ต่างจากแตงโมโดนสิบล้อบี้
ในชั่วพริบตาร่างของนายพลโคโบลด์ผู้เกรียงไกรก็ถูกฉีกออกจากกันแปรสภาพกลายเป็นก้อนเนื้อที่เต็นตุ้บ ๆ
ปั้ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ...
ห่ากระสุนได้ถาโถมลงมาจากฟ้าแปรสภาพเหล่าโคโบลด์ที่เกาะกลุ่มกันเป็นฝูงอยู่หนาแน่นให้กลายเป็นหมึกสีแดง ซึ่งถ้ามองจากบนฟ้าจะเห็นเหมือนมีพู่กันหมึกแดงที่มองไม่เห็นกำลังขีดเขียนภาพลงบนผืนผ้าใบที่ทำจากทุ่งหญ้าสีเหลืองจนหมึกกระเซ็นเลอะไปหมด!
เสียงกรีดร้องดังระงมขึ้นอีกระลอก เครื่องบินที่คร่าชีวิตพวกมันจากบนท้องฟ้าเปรียบดังยมทูตถือเคียวที่มาเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณของพวกมัน
ห่างออกไปไม่ไกลมากนักก็ได้มีเสียงระเบิดดังขึ้นไม่หยุดพร้อมกับเศษซากร่างโคโบลด์นับตัวไม่ถ้วนที่ปลิวกระเด็นขึ้นฟ้า แขนขาลำไส้ฉีกขาดปลิวว่อนมาตกใส่ตัวพวกที่ยังรอดจนสภาพพวกมันที่แต่เดิมน่าเกลียดอยู่แล้วต้องน่ารังเกียจเพิ่มเติมไปด้วย
ควันหนาทึบ ระเบิด เปลวไฟลุกไหม้ และเสียงกรีดร้องประกอบกันจนก่อให้เกิดฉากวันสิ้นโลก!
เครื่องบินรบบนท้องฟ้าได้แสดงโชว์อันยอดเยี่ยมในโลกโหลวเฉิงโดยการสร้างฉากสังหารหมู่กองทัพโคโบลด์จนแหลกสลาย!
องค์ชายใหญ่แห่งเผ่าโคโบลด์ที่ตอนนี้สภาพโคตรจะน่าสมเพชตอนนี้ใบหน้าบิดเบี้ยวไปหมด ตัวมันที่มีนักเวทให้การคุ้มกันอยู่นั้นได้แหงนหน้ามองเครื่องบินพลางส่งเสียงขู่คำรามและสู้กลับ
เพียงแต่ไม่ว่าจะธนู หน้าไม้ หรือกระทั่งการใช้เวทมนตร์โจมตีก็ไม่อาจยิงไปถึงเครื่องบินรบเหล่านั้นได้เลย
ทุกอย่างที่ทำไปล้วนสูญเปล่า พวกหลากเผ่าพันธุ์ได้แต่มองดูเครื่องบินรบเหล่านั้นอาละวาดฆ่าล้างพวกตนอยู่บนท้องฟ้าและฉีกค่ายทัพโคโบลด์ออกเป็นชิ้น ๆ
เมื่อเครื่องบินรบเหล่านี้เสร็จสิ้นภารกิจโจมตีแล้วก็หันหัวบินกลับเมืองเชิ่งหลงไป ส่วนค่ายทัพโคโบลด์ตอนนี้คือถูกทำลายล้างไปแล้ว ทุกหนแห่งมีแต่ซากศพที่ดูน่าสังเวชใจเต็มไปหมด
กลิ่นเลือดประกอบกับกลิ่นเหม็นไหม้ได้คละคลุ้งและลอยไปไกล ในหูได้ยินแต่เสียงคร่ำครวญด้วยความทรมานของพวกที่กำลังจะตาย
ใบหน้าของโคโบลด์แต่ละตัวเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความเกลียดชัง เสื้อผ้าและชุดเกราะของพวกมันจากแต่เดิมใหม่ ๆ ตอนนี้เหมือนเอาเศษขยะมาสวม ขนาดขาที่เดินตอนนี้ยังไร้เรี่ยวแรงจนเดินเซเลย
มีพวกตัวจ่าฝูงได้นำกำลังออกลาดตระเวนในค่าย เมื่อพบศพก็จะนำออกมากองรวมกันในพื้นที่โล่งข้าง ๆ กัน
หากพบตัวที่บาดเจ็บสาหัส หากยืนยันแล้วว่าช่วยไม่ได้แน่นอนแล้วก็จะเข้าไปเอาหอกแทงใส่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องทรมานต่อไป
ศพถูกนำออกจากค่ายไปวางไว้ในพื้นที่โล่งกว้างด้านข้างอยู่เรื่อย ๆ
องค์ชายใหญ่ยืนดูฉากนี้ด้วยอาการเศร้าหมอง ข้างหลังไม่ไกลเป็นพวกขุนนางที่กำลังหวาดผวา
ในการโจมตีจากบนฟ้าเมื่อกี๊มีขุนนางโชคร้ายโดนเข้าไปด้วยไม่น้อย ตอนนี้เหลือแต่ซากศพเป็นชิ้น ๆ ถูกขนมาวางไว้รวมกันด้วย
การได้เห็นแขนขา ซากศพไหม้เกรียม หรือฉากที่ราวกับแดนมิคสัญญีนี้ได้ทำให้พวกขุนนางของเผ่าโคโบลด์ต่างหนาวไปจนจับขั้วหัวใจ
บางตัวเอาไม่อยู่อีกต่อไป ที่เป้ากางเกงมันมีรอยเปียกเข้มขึ้น ๆ
กระนั้นเมื่อได้เห็นใบหน้าขององค์ชายใหญ่แล้วทั้งหมดต่างก็ก้มหน้างุดอย่างชาญฉลาดหลีกเลี่ยงการกระตุ้นความโกรธขององค์ชายที่กำลังจะระเบิดอยู่รอมร่อ
“ไอ้พวกเชิ่งหลงงงงงงงงงงงงง กูจะจับพวกมึงทั้งเมืองออกมาฉีกให้เป็นหมื่น ๆ ชี้นนนนนนนนนนนนนนนนนน ถ้าพวกมึงไม่แหลกกูก็ไม่มีวันหายแค้นหรอกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!”
องค์ชายใหญ่ที่เงียบอยู่นานสุดท้ายก็ทนไม่ไหวและแหกปากตะโกนออกมา
การโจมตีจากบนฟ้าในครั้งนี้ได้ปลุกองค์ชายใหญ่ของเผ่าโคโบลด์ให้ตื่นจากความฝันอันหอมหวานที่ว่าตัวเองคือผู้ยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งปกครองทั้งดินแดนไปแล้ว เมื่ออาวุธสงครามที่เมืองเชิ่งหลงถือครองได้แผลงฤทธิ์ให้เห็นกันในระยะประชิดแบบนี้ มันจึงต้องตื่นจากความเพ้อฝันและตั้งคำถามถึงผลลัพธ์ของสงครามในครั้งนี้เป็นครั้งแรก
ตามสถานการณ์ปกติแล้วกองทัพโคโบลด์ซึ่งเดินทัพกันมาไกลหลายพันลี้จะต้องตั้งค่ายทัพที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้ปักหลักเตรียมตัว และสุดท้ายก็จะต่อสู้แลกชีวิตกันกับเมืองเชิ่งหลง!
ทว่าการโจมตีทีเผลอของอีกฝ่ายทำให้ไม่มีใครโง่พอที่จะกล้าปักหลักอีกต่อไป หากยังคิดจะปักหลักอยู่อีกล่ะก็เกิดไอ้พวกเชิ่งหลงมันมาแบบเดิมอีกจะทำยังไงล่ะ
แบบนั้นกองทัพของตนคงถูกกวาดล้างจนสิ้นตั้งแต่ไก่โห่เอาน่ะสิ!
คิดได้ดังนี้แล้วองค์ชายใหญ่ก็ออกคำสั่งเดินทัพต่อทันที โดยวิธีการเดินทัพในครั้งนี้คือให้กระจายตัวกันออกไปให้ได้มากที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการตายหมู่!
คำสั่งของทหารแม้จะกดขี่แต่ก็ต้องเชื่อฟัง แม้กองทัพจะเสียหายหนัก แม้ผู้บาดเจ็บจะอาการสาหัส แต่เมื่อคำสั่งได้ลงมาแล้วก็มีแต่ต้องปฏิบัติตามเท่านั้น
ทำให้ไม่นานนักกองทัพก็เริ่มเดินทัพกันอีกรอบ แต่เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ก่อนหน้านี้อันเนื่องมากจากการกระจุกตัวกันแล้ว ครั้งนี้มีการกระจายตัวกันออกไปทำให้กินพื้นที่กว้างขึ้นหลายเท่าจนแผ่ขยายออกไปทั่วบสถานที่ จนหากพูดว่าปกคลุมทั้งที่ราบและขุนเขาก็ไม่ได้เกินจริง!
และสิ่งที่ต่างจากเดิมอีกอย่างคือบรรยากาศอึมครึมและดำดิ่ง กองทหารที่เดินทางอย่างเหลวเป๋วนี้ไม่เหลือร่องรอยของความอหังการ์ใด ๆ อีกต่อไป
สีหน้าขององค์ชายใหญ่มืดหม่นราวกับหมึก ตอนนี้ต้องคอยตรวจเช็กข้อมูลที่รายงานจากทัพหน้าอยู่ตลอด ซึ่งคิ้วที่ขมวดมุ่นยิ่งเกร็งขึ้นเรื่อย ๆ
“สัดเอ๊ย ทำไมไอ้พวกเชิ่งหลงมันมาถึงเร็วกันจังวะ!”
องค์ชายใหญ่อารมณ์แย่ลงเมื่อได้เห็นรายงานว่ายานพาหนะขนส่งกำลังพลที่วิ่งเร็วมากใกล้จะมาถึงแล้ว มือก็ขยำกระดาษรายงานแล้วปาทิ้ง สายตาก็เงยขึ้นมาจ้องไปยังเส้นขอบฟ้าตรงหน้าอย่างเย็นชา
ตอนนี้ในภาพที่เห็นแม้จะสุดสายตาแล้วก็ตามก็ยังไม่เห็นวี่แววของไอ้พวกเชิ่งหลงเลยก็ตาม แต่องค์ชายใหญ่ก็เชื่อว่าอีกไม่นานเดี๋ยวก็ต้องปะทะกันแน่ ๆ
ที่แย่คือสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เอื้อให้ฝั่งตนเองเลย
หันไปมองไปพวกขุนนางโคโบลด์ที่ตามหลังมาซึ่งครั้งหนึ่งเคยโอหังปากแจ๋วขนาดจะจับไอ้พวกเชิ่งหลงมาทำอย่างนู้นอย่างนี้กันสนุกปากแต่ตอนนี้ขาจะเดินยังไม่มีแรงเหลือแล้วด้วยซ้ำ องค์ชายใหญ่ก็พ่นลมอย่างโมโห
เห็นได้ชัดว่าไอ้พวกนี้ยังไม่หายผวาจากการโจมตีก่อนหน้า แต่ละตัวคอยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอยู่บ่อย ๆ เพราะกลัวว่าไอ้ฝูงนกยักษ์สีเงินนั่นจะบินมาถล่มพวกตนอีกรอบ
‘ไอ้พวกขยะไร้ประโยชน์นี่แม่งเป็นตัวอับอายขายขี้หน้าของเผ่าโคโบลด์แท้ ๆ!’
องค์ชายใหญ่ระงับความโกรธในใจแล้วเบือนหน้าไปมองทางอื่นเพราะกลัวว่าถ้าขืนยังมองพวกมันต่อไปตัวเองจะทนไม่ไหวจนระเบิดความโกรธใส่
หากไม่ใช่ว่าต้องรักษาสถานะของตนให้มั่นคงล่ะก็คงจะไม่เอาไอ้พวกวุฒิภาวะทางการทหารต่ำเตี้ยเหล่านี้มาด้วยให้ตัวเองหงุดหงิดแบบนี้แต่แรกหรอก!
หรือก็คือองค์ชายใหญ่ตอนนี้โกรธจัดจนลืมไปแล้วว่าก็เป็นตัวเองนั่นแหละที่เคยดื่มด่ำกับคำเยินยอของไอ้พวกขุดนางก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเมามายขนาดนับญาติกับพวกมันซะด้วยซ้ำไป
เป็นเรื่องปกติที่ตระกูลของราชวงศ์มักจะเหี้ยมโหดแม่กระทั่งต่อคนในตระกูลเดียวกัน นอกจากพวกตัวเองแล้วคนอื่น ๆ ที่สถานะต่ำต้อยกว่าล้วนเป็นเพียงมด และยิ่งเป็นในเผ่าโคโบลด์แล้วหลักการนี้ก็ยิ่งเข้มข้นเป็นพิเศษ!
ขณะที่องค์ชายใหญ่กำลังคิดอยู่ว่าจะจัดการกับไอ้พวกขุนนางขี้เท่อเหล่านี้ยังไงเพื่อเพิ่มพูนขวัญกำลังใจให้แก่กองทัพอยู่นั้นเอง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแว่วเข้ามาในหู
กองทัพโคโบลด์ที่เดินทัพอยู่ก็เกิดความโกลาหลขึ้นทันที ผู้คนจากหลากเผ่าพันธุ์ในกองทัพต่างก็รีบเงยหน้าขึ้นมองฟ้าด้วยอารมณ์ที่ทั้งโกรธทั้งกลัวผสมปนเปกันไป
และในตอนนี้เองเสียงดังกล่าวก็ได้ดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับปรากฏจุดสีดำขนาดใหญ่ที่บินตรงเข้ามายังกองทัพของตน
“ศัตรูมาแล้ว หลบเรวววววววววววววว...!”
เสียงตะโกนเตือนดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงกรีดร้องและเสียงโจมตี