ตอนที่ 12 การทำไร่นาเป็นเรื่องที่งดงาม
ภายในเขตแดนหุบเขาวารีนิลกาฬ มีป่าไม้และหุบเขาเขียวขจี
แม่น้ำน้ำดำไหลผ่านอย่างเงียบสงบ เป็นสักขีพยานแห่งการเปลี่ยนแปลงของดินแดนแห่งนี้
ปีนี้พืชผลทางการเกษตรภายในเขตแดนเติบโตได้อย่างน่าพอใจ ด้วยน้ำจากหิมะละลายบนภูเขาสูงที่หล่อเลี้ยง และโดยทั่วไปแล้วจะไม่ประสบภัยแล้ง แสงแดดในช่วงฤดูร้อนก็เพียงพอ ข้อเสียเพียงประการเดียวคือสามารถปลูกได้เพียงครั้งเดียว
ทุกอย่างภายในเขตแดนดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ น่าเสียดายที่ในชาติก่อนนั้นรีไวล์เป็นนักเรียนสายศิลป์ ไม่รู้เรื่องความรู้ทางด้านวิทย์และคณิตเลย และไม่รู้วิธีการสร้างสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์มากมายที่สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตได้
มิฉะนั้นคงสามารถทำได้เหมือนนักเดินทางข้ามเวลารายอื่น ๆ ที่ปลูกต้นไม้แห่งเทคโนโลยีในเขตแดนของตน สร้างการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ หรืออาจจะนำพาโลกที่ล้าหลังอย่างที่สุดนี้เข้าสู่ยุคไอน้ำก็เป็นได้
เขาไม่เก่งในการบริหารจัดการ และไม่เก่งในการทำไร่ทำนา
เขาทำได้เพียงหมกมุ่นอยู่กับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ส่วนเรื่องราวต่าง ๆ ภายในเขตแดนนั้นจะมอบหมายให้กับอัศวินเฟร็ดและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญคนอื่น ๆ จัดการ
สำหรับรีไวล์แล้ว การมีแผงความชำนาญนั้นเป้าหมายของเขามีเพียงหนึ่งเดียวมาโดยตลอด นั่นคือการแสวงหาชีวิตอมตะในโลกต่างแดนแห่งนี้ ฐานะและตำแหน่งของลอร์ดก็เป็นเพียงเครื่องมือในการแสวงหาพลังอำนาจเท่านั้น
ส่วนความมั่งคั่ง อำนาจ ความรัก และความทุกข์ยากทั้งหลายในโลกนี้ก็เป็นเพียงเมฆหมอกที่ล่องลอยไป
ปีศักดิ์สิทธิ์ 1004 เดือนเตาหลอม (สิงหาคม)
เดือนเตาหลอมนั้นโดยทั่วไปแล้วจะร้อนในแถบพื้นที่ตอนใต้ แต่หุบเขาวารีนิลกาฬทางตอนเหนือของอาณาจักรนั้นสูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก อากาศจึงกำลังดี
อัศวินเฟร็ดนำทหารรักษาการณ์สร้างคลองชลประทานเพื่อนำน้ำจากแม่น้ำน้ำดำมาใช้ในการเกษตร ดังนั้นในปีนี้พืชผลจึงงอกงามได้ดี
นอกจากนี้ ลอร์ดรีไวล์ยังได้ร้องขอให้ทาสเกษตรกรในเขตแดนจับปลาในแม่น้ำน้ำดำในช่วงเวลาที่ว่างจากการทำไร่ทำนา เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับเขตแดน
รีไวล์กลัวว่าวิญญาณชั่วร้ายจะเข้าสิง จึงไม่กล้าไปที่ริมแม่น้ำน้ำดำ น่าเสียดายที่ความฝันในชาติก่อนของเขาคือการไม่ต้องทำงาน เพียงแค่มีบุหรี่หนึ่งซอง เก้าอี้ตัวหนึ่ง และคันเบ็ดตกปลาหนึ่งคันก็ตกปลาได้ทั้งวัน
เมื่อพลังของเขามีมากขึ้นเรื่อย ๆ ปริมาณเนื้อที่บริโภคก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย รีไวล์สามารถกินเนื้อได้ถึงสิบกว่ากิโลกรัมต่อวัน แต่ปริมาณเนื้อวัวและเนื้อแกะในหุบเขาวารีนิลกาฬมีจำกัด ดังนั้นรีไวล์จึงคิดถึงเรื่องการกินปลา
ปลาในแม่น้ำน้ำดำส่วนใหญ่เป็นปลาบาร์สน้ำเย็น ปลาแซลมอน เนื้อหวาน อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ปลาในน้ำจืดมีก้างเยอะ แต่สำหรับรีไวล์แล้ว ก้างปลาเหล่านี้สามารถกลืนกินได้โดยตรง ไม่ได้สำคัญอะไร
รีไวล์ยังได้สอนวิธีการปรุงปลาแม่น้ำของชาวจีนในชาติก่อนให้กับพ่อครัวในเขตแดน เพื่อให้พวกเขาทำปลาให้ตนเองและทหารกิน
นึ่ง ปรุงรสด้วยซอสเปรี้ยวหวาน ปิ้งย่าง วิธีการปรุงแตกต่างกันไป รสชาติย่อมเทียบไม่ได้กับชาติก่อน เพราะอาณาจักรเอมเมอรัลด์นั้นเทียบได้กับยุโรปในยุคกลางก่อนการค้นพบเส้นทางเดินเรือครั้งใหญ่ ไม่มีเครื่องเทศใด ๆ เลย บางครั้งก็มีการนำเข้ามาจากการค้าขายกับต่างประเทศ แต่ก็ถูกขุนนางและราชวงศ์ผูกขาด แม้แต่รีไวล์ก็ยังกินไม่ได้
แต่ก็ยังอร่อยกว่าอาหารมืดมนที่พวกเขาเคยทำมาก่อน น้ำในแม่น้ำน้ำดำมีคุณภาพดีมาก เนื้อปลามีกลิ่นคาวน้อยมาก
ด้วยวิธีนี้จึงถือว่าได้แก้ไขปัญหาเรื่องเนื้อสัตว์ของตนเองและทหารในเขตแดน
อัศวินเฟร็ดก็กินปลาแม่น้ำตามรีไวล์ไปด้วย จริง ๆ แล้วตั้งแต่ที่กลายเป็นอัศวินแล้ว อัศวินเฟร็ดก็แทบไม่ได้กินปลาแม่น้ำเลย ในสายตาของขุนนางและอัศวินในโลกนี้ ปลาแม่น้ำเป็นอาหารของชนชั้นต่ำ
แต่เมื่อเห็นว่ารีไวล์ประหยัดค่าใช้จ่ายของเขตแดน กินปลาแม่น้ำเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย อัศวินเฟร็ดก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
"คุณชายรีไวล์เป็นคนที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ"
...
เวลาผ่านไปทีละวันอย่างสงบสุข จนกระทั่งเดือนแห่งทุ่งข้าวสาลีมาถึง
ข้าวสาลีในเขตแดนนั้นเป็นสีเหลืองทองอร่าม ความยินดีในการเก็บเกี่ยวแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าของลอร์ดรีไวล์
"การทำไร่นาเป็นเรื่องที่งดงามจริง ๆ"
วันนี้เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ รีไวล์ดื่มไวน์ ขณะเฝ้ามองทาสเกษตรกรที่อยู่ด้านล่างของภูเขาเก็บเกี่ยวข้าวสาลี
ปีนี้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล รีไวล์คิดว่าผลผลิตข้าวสาลีจะต้องสูงกว่าปีที่แล้วอย่างแน่นอน
แต่เมื่อเดือนแห่งการเก็บเกี่ยว (ตุลาคม) มาถึง รีไวล์ก็ถึงกับอึ้ง
เมื่อเทียบกับปีที่แล้วแล้ว ผลผลิตก็เพิ่มขึ้นเพียงไม่ถึงร้อยละหนึ่ง
เขาเรียกอัศวินเฟร็ดและหัวหน้าคนงานในเขตแดนมา
เมื่อตรวจสอบข้อมูลจากปีก่อน ๆ ก็พบเรื่องน่าสนใจอย่างหนึ่ง
ไม่ว่าปีนั้นสภาพอากาศจะเป็นเช่นไร ผลผลิตข้าวสาลีในแคว้นก็แทบไม่เปลี่ยนแปลง
หลังจากที่ศึกษาอยู่พักใหญ่ รีไวล์ก็พบว่านโยบายของแคว้นมีปัญหา
ตามธรรมเนียมของโลกนี้ ชาวนาในแคว้นเป็นสมบัติส่วนตัวของเจ้าครองแคว้น และที่ดินก็เป็นสมบัติส่วนตัวของเจ้าครองแคว้นที่ได้รับพระราชทานจากกษัตริย์
ผลผลิตของชาวนา ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลีหรือพืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ นอกจากที่เก็บไว้ส่วนตัวเล็กน้อยแล้ว ที่เหลือจะต้องส่งให้เจ้าครองแคว้น เจ้าครองแคว้นจะนำข้าวมาแลกเป็นเงิน จากนั้นก็ส่งส่วนหนึ่งให้เจ้าครองแคว้นที่ใหญ่กว่าตนเอง และสุดท้ายก็ส่งต่อไปยังเจ้าครองแคว้นที่ใหญ่ที่สุด นั่นก็คือราชวงศ์ของอาณาจักรเอมเมอรัลด์ ซึ่งพวกเขาเรียกว่า "ค่าช่วยเหลือ"
เมื่อเวลาผ่านไป ชาวนาหลายคนก็เริ่มขี้เกียจ ไม่ว่าจะเป็นการหว่านเมล็ดหรือการใส่ปุ๋ย ล้วนทำแบบขอไปที เพราะสุดท้ายก็ต้องส่งให้เจ้าครองแคว้นอยู่ดี ถึงจะเก็บเกี่ยวได้มากแค่ไหนก็ไม่เกี่ยวกับฉัน แล้วฉันจะต้องทำงานหนักไปทำไม ขอแค่ผลผลิตที่ส่งไม่น้อยเกินไป เจ้าครองแคว้นก็คงไม่ตำหนิชาวนา เพราะผลผลิตของทุกคนก็ไม่ได้สูงมากอยู่แล้ว
รีไวล์คิดว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายภายในแคว้นแล้ว
เขาเรียกเซอร์เฟร็ดมาและเล่าความคิดของตนให้เซอร์เฟร็ดฟัง เซอร์เฟร็ดรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
"ตั้งแต่โบราณกาลมา ไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน ท่านเป็นเจ้าครองแคว้น หากท่านรู้สึกว่าชาวนาเหล่านั้นขี้เกียจ ท่านก็แค่กำหนดเป้าหมายที่เข้มงวดให้พวกเขาในแต่ละปีก็พอ หากทำไม่ได้ก็ลงโทษอย่างรุนแรง ไม่จำเป็นต้องให้ความเมตตาพวกเขามากขนาดนี้ ท่านใจดีเกินไปแล้ว"
รีไวล์ส่ายหัว "วิธีที่ดีที่สุดในการกระตุ้นให้คนเหล่านี้ขยันไม่ใช่การลงโทษ แต่คือการทำให้พวกเขา... กินอิ่ม"
เซอร์เฟร็ดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "เช่นนั้นก็ลองดูเถอะ หากไม่ได้ผลก็กลับมาใช้แบบเดิม ก็ไม่ได้เสียหายอะไร"
หลังจากผ่านช่วงเดือนแห่งการเก็บเกี่ยวไปแล้ว นโยบายใหม่ก็เริ่มบังคับใช้ในแคว้น
เจ้าหน้าที่ไปเคาะประตูบ้านทีละหลังเพื่อบอกข่าวดีครั้งใหญ่ให้ชาวนาเหล่านั้นทราบ
"ท่านเจ้าครองแคว้นประกาศว่า ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป แต่ละครัวเรือนจะต้องส่งข้าวสาลีที่เก็บเกี่ยวได้ในปีนั้นให้เจ้าครองแคว้นเพียงหกส่วน นอกจากนั้นข้าวสาลีที่เหลือจะเป็นของชาวนาเองทั้งหมด"
ชาวนาในกระท่อมไม้แสดงสีหน้าไม่เชื่อสายตา
"นี่เป็นความจริงหรือ ท่านผู้เมตตาจิตอยู่เบื้องบน ท่านเจ้าครองแคว้นไม่ได้หลอกพวกเราใช่ไหม"
"พวกเจ้ากำลังตั้งคำถามต่ออำนาจของท่านเจ้าครองแคว้นหรือ"
"ไม่... ไม่ได้เป็นเช่นนั้น"
สุดท้ายเพื่อขจัดความกังวลของชาวนาเหล่านี้ รีไวล์จึงต้องออกมาปราศัยด้วยตนเอง เพื่อประกาศว่าจะบังคับใช้กฎหมายนี้
เมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องจริง ชาวนาก็ดีใจจนตัวลอย พวกเขารู้สึกเป็นครั้งแรกที่ชีวิตมีความหวังและอนาคตที่สดใส
รีไวล์ก็ไม่รู้ว่ากลยุทธ์นี้จะได้ผลหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่างแล้ว
ฤดูใบไม้ร่วงในหุบเขาวารีนิลกาฬมักจะสั้นเกินไป ในพริบตาเดียวก็ถึงเดือนแห่งสายลมเหนือแล้ว
ในสนามฝึกด้านล่างปราสาท รีไวล์สั่นสะเทือนร่างกายและแขนจนเกิดเงาแวบ ๆ ดาบฟรอสต์มอร์นในมือฟันออกเป็นรูปกากบาทที่สวยงาม!
เสาไม้มังกรดำที่แข็งแกร่งเต็มไปด้วยร่องรอยการฟันต่าง ๆ นานา ตรงหน้าเขาในที่สุดก็แยกออกเป็นสี่ส่วน!
เสียงดังกรอบแกรบ รอยตัดเรียบเนียน
[ความชำนาญในการฟันกางเขนทองคำ +1]
เสียงแจ้งเตือนของระบบดังขึ้น
รีไวล์ถอนหายใจและใบหน้าก็เต็มไปด้วยความยินดี อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้น!
มีความสุขเหมือนเด็กอายุสิบกว่าปี
"ก้าวข้ามแล้ว!"
รีไวล์—————
เทคนิคการหายใจงูทมิฬ: ระดับสอง (4,502/5,000)
การฟันกางเขนทองคำ: ระดับสาม (1/10,000) เอฟเฟกต์พิเศษ: การสั่นสะเทือนขั้นสูง