1341 - ค้นพบความลับก่อนตาย
1341 - ค้นพบความลับก่อนตาย
เย่ฟ่านอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสองเดือน เขาละทิ้งความคิดเก่าๆ และยอมรับสิ่งใหม่ในดินแดนนี้ ในเวลาเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ถึงร่องรอยของการมีชีวิตอยู่ของผู้สูงสุดอยู่ในดินแดนนี้จริงๆ
เสี่ยวซ่งมีความสุขมาก มันชื่นชอบในการอยู่ร่วมกับกลุ่มอสูรตัวน้อย แต่อย่างไรก็ตามกระรอกน้อยยังคงต้องฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่ง
ทุกคืนมันจะเอาพระพุทธรูปออกมาฝึกฝนท่ามกลางแสงจันทร์และทำให้ฐานการบ่มเพาะของมันแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
เย่ฟ่านเดินทางมาถึงหูเป่ยซึ่งเป็นดินแดนของแคว้นฉู่เดิมแล้ว เขาต้องการรู้เรื่องราวของฉือซ่งจื้อผู้อมตะจากยุคโบราณเป็นอย่างมาก
เพราะก่อนหน้านี้เขาเห็นกระบี่เจ็ดเล่มถูกฝังอยู่ในหลุมศพเซียน และได้รู้มาว่าสำนักกระบี่ซูซานก็คือทายาทของฉือซ่งจื้อนั่นเอง
ซุนหงอคงหัวเราะแล้วพูดกับเย่ฟ่านว่า “ฉือซ่งจื้อไม่ได้มาจากแคว้นฉู่ในหูเป่ยแต่มาจากเจ้อเจียง เขามาที่แคว้นฉู่เพื่อบรรยายเต๋าและสร้างสำนักเท่านั้น บ้านเกิดที่แท้จริงของเขาอยู่ในเจ้อเจียง”
เย่ฟ่านคิดได้ทันทีว่า เมื่อเขาค้นพบมรดกที่ฉือซ่งจื้อทิ้งไว้ได้มีการกล่าวถึงภูเขาจินฮั่ว และดินแดนอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งสถานที่เหล่านั้นล้วนอยู่ในเจ้อเจียงทั้งสิ้น
ในขณะเดียวกันเรื่องราวของแคว้นฉู่ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักกระบี่ซูซานกลับถูกบันทึกไว้น้อยมาก
ฉือซ่งจื้อเป็นนักพรตที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยโบราณ เขาได้รับมรดกของเสินหนงและบรรลุการเป็นเซียนในที่สุด
แน่นอนว่าเมื่อได้รับมรดกเซียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นนี้ ฉือซ่งจื้อก็ยากที่จะไม่ประสบความสำเร็จในการฝึกฝนได้
“เจ้ารู้ไหมว่า ทำไมฉือซ่งจื้อมาที่ภูเขาหมื่นอสูรและฝึกฝนอยู่ที่นี่อย่างยาวนาน” ซุนหงอคงถามด้วยรอยยิ้ม
“ยังมีความลับอะไรซ่อนอยู่หรือ?” เย่ฟ่านตะหงิดใจ
“แน่นอนว่ายังมีอยู่บ้าง” ซุนหงอคงพยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า
“ฉือซ่งจื้อตามหาบางสิ่งตลอดชีวิต จนกระทั่งก่อนที่เขาจะตายเขายังคงหลงไหลต่อสิ่งนั้นอยู่เสมอ
ว่ากัยว่าฉือซ่งจื้อมีคุณสมบัติทุกอย่างที่จะกลายเป็นเซียนอมตะ แต่น่าเสียดายที่บรรพชนของเขาเป็นอสูร ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถบรรลุการเป็นเซียนอมตะด้วยวิธีการของมนุษย์ได้ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องหาเส้นทางอื่น” ซุนหงอคงกล่าว
หลังจากที่ฐานการบ่มเพาะของเขาไปจนถึงจุดสูงสุดในระดับเซียนอสูรแล้ว จะมีอะไรที่สามารถถึงดึงดูดเขาได้อีก?
ก็มีเพียงการเป็นอมตะเท่านั้น และในช่วงท้ายแห่งชีวิตเขาจึงมาที่แคว้นฉู่เพื่อก่อตั้งสำนักกระบี่ซูซาน และค้นหาความหวังในการกลายเป็นอมตะจากมรดกของอสูรผู้ยิ่งใหญ่เมื่อหลายล้านปีก่อน
“เขาได้อะไรหรือไม่?” เย่ฟ่านถาม
“ในตอนที่อยู่ในเจ้อเจียงเขาค้นพบกระดูกเซียนอมตะชิ้นหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้ว่ามีเซียนอมตะที่แท้จริงในโลก เขาตามหาความลับนั้นจนกระทั่งมาถึงแคว้นฉู่ น่าเสียดายที่จนกระทั่งถึงช่วงท้ายของชีวิตเขาก็ยังไม่อาจค้นพบสิ่งนั้นได้”
เมื่อเย่ฟ่านได้ยินเช่นนั้นเขารู้สึกสงสัยอย่างมาก มีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอมตะ
เป็นไปได้ไหมว่าดินแดนสุดท้ายอยู่ที่ซูซาน แต่มันผ่านมาแล้วปีแล้วยังจะมีร่องรอยหลงเหลืออยู่หรือไม่?
มีความลับมากมายในแคว้นฉู่ ปรมาจารย์หุบเขาทุกรุ่นของหุบเขาหมื่นอสูรล้วนพยายามค้นหาสิ่งที่ฉือซ่งจื้อพยายามค้นหาเช่นกัน
“เจ้าหุบเขาได้ค้นหาสมบัติของฉือซ่งจื้อ พวกเขาเกือบประสบความสำเร็จแล้ว โดยเฉพาะประมุขหุบเขาเมื่อหาร้อยปีก่อนที่ค้นพบสิ่งน่าอัศจรรย์บางอย่าง แต่โชคร้ายที่เขากลับตายไปก่อนที่ความลับนั้นจะถูกบอกเล่าออกมา” ซุนหงอคงถอนหายใจ
หุบเขาหมื่นอสูรใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากเพื่อหา สมบัติเช่นนั้นในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบว่ามันถูกฝังไว้ในโลงศพโบราณชิ้นหนึ่งท่ามกลางโรงศพโบราณมากมาย
หลังจากนั้นโลงศพโบราณที่ถูกฝังไว้ในภูเขาแห่งนี้ก็ถูกเปิดออก
พวกเขาเก็บหยกโบราณได้หลายชนิด และยังมีความลับในการเป็นผู้อมตะอย่างคลุมเครือถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณหลายเล่ม
หลังจากอนุมานอย่างจริงจังในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าสิ่งมีชีวิตอมตะตนนั้นยังคงนอนหลับไหลอยู่ในโลงศพโบราณที่ยังไม่ถูกค้นพบของหุบเขาหมื่นอสูร
แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่มีส่วนร่วมในการเปิดโลงศพโบราณต่างๆ ล้วนต้องพบกับจุดจบอย่างน่าเศร้าในเวลาต่อมา นั่นเป็นเหตุผลให้ไม่มีใครเปิดโลงศพโบราณเพื่อค้นหาผู้อมตะคนนั้นอีก
“ยังมีโลงศพมากกว่าครึ่งที่ห้อยอยู่บนหน้าผาและไม่ถูกเปิดออก เราไม่มีความกล้าถึงขนาดนั้น”
ทุกคนล้วนเป็นผู้บ่มเพาะที่มีสติปัญญาสูงส่ง พวกเขาคาดคำนวณว่าสิ่งที่ฉือซ่งจื้อตามหาก็คือผู้อมตะคนนั้นนั่นเอง
ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำได้จึงมีเพียงค้นหาร่องรอยจากหยกโบราณหลายชิ้นที่รวบรวมมาจากโลงศพโบราณหลายแห่ง
เย่ฟ่านถือหยกโบราณเหล่านั้นไว้ในมือ แม้ว่าพวกมันจะไม่มีความอบอุ่นเหมือนเช่นในอดีตอีกแล้ว แต่หยกโบราณเหล่านี้มีความใสเป็นอย่างมาก เพียงแค่หยกชิ้นเดียวก็น่าจะมีราคาหลายสิบล้านหยวนแล้ว!
ราคาของมันไม่ได้ทำให้เย่ฟ่านเกิดความสนใจ สิ่งที่เขาตื่นเต้นอย่างถึงที่สุดก็คือมีอักษรโบราณจำนวนนับไม่ถ้วนถูกสลักไว้ในหยกเหล่านี้
มีหยกโบราณหกชิ้นสีของพวกมันค่อนข้างแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นสีเหลืองอำพัน สีแดงเหมือนโลหิต สีม่วง สีน้ำเงิน สีขาว และสีเขียว
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเจ้าหุบเขาหมื่นอสูรแต่ละรุ่นใช้ชีวิตของตัวเองรวบรวมมา
โลงศพจำนวนมากถูกเปิดออก ชิ้นที่เก่าแก่ที่สุดถูกเปิดออกตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน
เย่ฟ่านพลิกเหลี่ยมหยกโบราณภายใต้แสงอาทิตย์และอ่านบันทึกที่อยู่ข้างในนั้นอย่างระมัดระวัง พวกมันเป็นตัวหนังสือโบราณที่มีลักษณะคล้ายกับรูปสัตว์ต่างๆ ซึ่งยากจะอ่านเข้าใจได้
เช่นเดียวกับที่ซุนหงอคงพูดไว้ พวกเขาศึกษาตัวอักษรเหล่านี้มาแล้ว และพวกมันเป็นวิธีการบ่มเพาะความเป็นอมตะที่ค่อนข้างคลุมเครือเป็นอย่างมาก
“ฉือซ่งจื้อได้โครงกระดูกชิ้นหนึ่งซึ่งชี้มายังแคว้นฉู่ เขามาที่นี่เพื่อค้นหาสิ่งที่ถูกซ่อนไว้ในโลงศพโบราณ น่าเสียดายที่ไม่ว่าเขาจะเปิดโลงศพมากมายแค่ไหนเขาก็ไม่อาจค้นพบผู้อมตะคนนั้น” ซุนหงอคงกล่าว
หยกโบราณหกชิ้นเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์โบราณอันยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ยังมีหยกลักษณะเดียวกันอีกมาก หากรวบรวมพวกมันทั้งหมดเข้าด้วยกันได้เย่ฟ่านจึงจะค้นพบวิธีการบ่มเพาะความเป็นอมตะนั้น
“ทุกวันนี้พวกท่านยังค้นหามรดกเหล่านั้นหรือไม่?” เย่ฟานถาม
“ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุดแม้ว่าช่วงชีวิตนี้ของข้าจะไม่ได้รับอะไรเลยก็ตาม”
ซุนหงอคงกล่าวว่านี่เป็นพันธกิจของเจ้าหุบเขาหมื่นอสูรทุกคน พวกเขาจะต้องค้นหาร่องรอยของผู้อมตะคนนั้น และรวบรวมเบาะแสให้ได้มากที่สุด
สักวันหนึ่งพวกเขาเชื่อมั่นว่าเจ้าหุบเขาหมื่นอสูรคนต่อๆ ไปอาจมีใครบางคนประสบความสำเร็จในการกลายเป็นผู้อมตะที่แท้จริงได้
เย่ฟ่านพยักหน้าด้วยความเข้าใจ ก่อนจะหยิบแผ่นกระดูกของเสินหนงออกมาพร้อมกับสอบถามซุนหงอคงว่าแผนที่ที่อยู่ในกระดูกนี้อยู่ที่ไหนกันแน่
“ข้าไม่เคยเห็นดินแดนนี้มาก่อน มันจะต้องเป็นดินแดนปิดผนึกอย่างแน่นอน”
“ท่านบอกว่าเจ้าหุบเขาเมื่อห้าร้อยปีก่อนค้นพบความลับบางอย่าง เขาหมายถึงอะไรหรือ?” เย่ฟ่านถาม
“แม้ว่าก่อนที่เขาจะตายเขาก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นอะไร แต่เขาชี้ไปที่สถานที่หนึ่งที่พวกเราไม่มีใครเข้าไปได้” ปรมาจารย์สามหุบเขาตอบ
“มันอยู่ที่ไหน?”เย่ฟ่านถาม
“ที่ที่ฉือซ่งจื้อก่อตั้งสำนักกระบี่ซูซาน มันถูกเรียกว่าเทียนฉือ”
………