นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 590 - พร้อมแล้ว!!
ควับ!!!
เสียงตวัดดาบอย่างรวดเร็วดังขึ้น อากาศที่วางเปล่าแยกตัวออกปรากฏให้เห็นภาพของเมืองขนาดใหญ่เมืองหนึ่งตั้งอยู่ ก่อนที่มิติที่เปิดออกจะปิดตัวลงอย่างรวดเร็ว ไม่เหลือร่องรอยอะไรเหลืออยู่ ไม่มีแม้แต่การสั่นไหวของคลื่นพลังแม้แต่เพียงน้อยนิด
ชายหนุ่มที่ยืนถือดาบที่มีขนาดใหญ่มากกว่าตัวเอง 2 เท่ายืนดูภาพที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มอันพึงพอใจ ในที่สุดเขาก็รู้แจ้งกฎแห่งกาลอากาศถึงในระดับที่เปิดช่องว่างมิติได้ตามใจนึก หลังจากที่ใช้เวลาฝึกฝนมานานพอสมควร ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าน่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง นี่จะกลายเป็นอีกไพ่ตายของตัวเองในอนาคตได้อย่างแน่นอน
ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเดวิดที่ยืนถือเมกะตันเบลดเอาไว้ในมือราวกับว่ามันไม่มีน้ำหนักเลยแม้แต่นิดเดียว เขาพาตัวเองออกมาจากสนามรบโบราณได้เกือบ 4 เดือน และใช้เวลาทั้งหมดในการฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองขึ้นอย่างรอบด้าน และในวันนี้ สิ่งที่คิดจะทำเป็นอย่างสุดท้ายก็สำเร็จลงแล้ว
เดวิดไม่ได้มีเวลาดูดซับกลืนกินพลังของสนามรบโบราณมากนัก มันพังทลายลงไปหลังจากที่เขาเร่งฝึกทักษะกายาเทวราชได้เพียงไม่ถึง 1 อาทิตย์เท่านั้น ดูเหมือนว่าพลังที่ลดลงไปอย่างรวดเร็วจะยิ่งทำให้มันถึงจุบจบเร็วกว่าที่คาดเอาไว้ กายาเทวราชของเดวิดแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาลก็จริง แต่ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่บรรลุถึงระดับสมบูรณ์แบบ ในความรู้สึกของเขา มันยังไม่ได้ใกล้เคียงเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งความแข็งแกร่งของร่างกายเพิ่มขึ้น ความต้องการพลังงานในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเซลล์ก็ขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ จากการประเมินอย่างคร่าว ๆ ของเดวิด ร่างมนุษย์ของตัวเองในตอนนี้แข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับตอนที่กระตุ้นใช่ร่างผสมสามทางครั้งสุดท้ายเท่านั้น แข็งแกร่งและทรงพลัง! แต่มันยังไม่ถึงขึ้นที่จะท่องอวกาศด้วยตัวเปล่าได้ และอาจจะไม่เพียงพอในการต้านทานต่อสู้กับยอดฝีมือระดับครึ่งเทพโดยตรง ไม่ต้องพูดถึงการเอาชนะเลยด้วยซ้ำ อย่างมากสุดคือการหนีรอดมาได้ด้วยอาการสะบักสะบอมเท่านั้น
โชคดีที่สนามรบโบราณและทักษะกายาเทวราชไม่ใช่วิธีการเดียวที่จะยกระดับความแข็งแกร่งให้เพิ่มมากขึ้น เลือดของครึ่งเทพจำนวนมากที่ถูกใช้ซ่อมแซมร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่า มันทำให้ร่างแวมไพร์ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล พลังพันธุกรรมที่สะสมเพิ่มขึ้นจนเอ่อล้นอยู่ในโครงข่ายดีเอ็นเอทำให้เดวิดสามารถยกระดับร่างสมบูรณ์ของแวมไพร์ขึ้นสู่ระดับสูงสุดได้ เขาขาดเพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็จะยกระดับมันขึ้นเป็นอาตมัน แต่ไม่กล้า! ‘คำขู่’ ขององค์ราชา พ่อของเพอร์เซโฟนีหรืออีกนัยหนึ่งก็คือพ่อตาของตนยังก้องอยู่ในหัว และเดวิดไม่กล้าที่จะเสี่ยงกับจิตวิญญาณแห่งโลกที่ใจแคบของโลกใบนี้ด้วย สายฟ้าที่อยู่ในอกเป็นเครื่องเตือนใจให้นึกถึงความใจร้ายของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี!
แน่นอน! จิตใต้สำนึกของมนุษย์หมาป่าไม่มีทางยินยอมตกเป็นเบี้ยล่าง และไม่ยอมที่จะอ่อนแอกว่าแวมไพร์แน่ มันทั้งประท้วง ขู่คำราม และอาละวาดอยู่ทุกวิถีทางที่ทำได้ จนในที่สุด เดวิดก็ตัดสินใจกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า และปล่อยให้มันยึดครองร่างชั่วคราว จัดการกลืนกินศพของครึ่งเทพลงไปรวดเดียว 6 ร่าง พลังงานอันมหาศาลที่ได้รับ มันยกระดับร่างมนุษย์หมาป่าขึ้นสูงระดับสูงสุดได้ในที่สุด
และนั่นหมายความว่า ร่างผสมของเขาเป็นร่างสมบูรณ์ระดับสูงสุดแล้วเช่นเดียวกัน!
ร่างมังกร!? จุดเชื่อมต่อทั้ง 7 จุดในโครงข่ายดีเอ็นเอถูกกระตุ้นสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว การกลืนหัวใจของอาซีลลงไปส่งผลให้สีสันเปลี่ยนจากสีเหลืองเข้มเป็นสีม่วงเลยด้วยซ้ำ แผนที่พันธุกรรมของมังกรในร่างกายถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ แต่มันยังถึงกระตุ้นได้แค่เพียง 6 จุดเท่านั้น ถ้าวัดกันตามจำนวนยีนและกลิ่นอายที่ร่างมังกรสร้างได้ เดวิดในตอนนี้ถือว่าเป็นเฟสเซอร์ระดับจ้าวแห่งสัตว์ร้าย และไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าต้องใช้หัวใจมังกรอีกกี่ดวงถึงจะยกระดับขึ้นไปเป็นร่างสมบูรณ์ที่แท้จริงได้ จะหวังพึ่งทักษะกลั่นร่างมังกร? มันคงจะต้องใช้เวลาอีกยาวนานแน่
ผลพลอยได้อีกอย่างที่น่าพอใจของการที่ร่างกายถูกทำลายและซ่อมแซมแบบนับครั้งไม่ถ้วน คือร่างเงินของเดวิดถูกยกระดับขึ้นเป็นร่างทองได้ในที่สุด! นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความแข็งแกร่งที่เขาเฝ้าถวิลหามาโดยตลอด หลังจากที่บรรลุร่างเงินมาเป็นปี ในที่สุดมันก็ยกระดับขึ้นจนได้
ในเวลาเกือบ 4 เดือนหลังจากออกมาจากสนามรบโบราณที่พังทลาย เดวิดใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพัฒนาความเข้มข้นของคลื่นสมองและคร่ำเคร่งศึกษากฎเบื้องต้นของกาลอากาศ เขาเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาและกลิ่นอายของตัวเองด้วยทักษะพันเปลี่ยนแปลง ตระเวนไปตามหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อเสาะหาสมุนไพรหรือเซรั่มที่ช่วยเพิ่ม ‘พลังจิต’ ให้เข้มข้นขึ้นมาใช้ ข้าวของอุปกรณ์ที่ซื้อสะสมมาในสถาบันถูกขายเปลี่ยนเป็นเหรียญดาวไปจนเกือบหมด และเดวิดไม่สนใจด้วยว่าจะถูกหลอกหรือไม่ อะไรที่มีสรรพคุณเกี่ยวกับพลังจิต! เขาทุ่มเงินไปแบบไม่อั้นเพื่อซื้อมันมาทดลองใช้ น่าเสียดาย! หลังจากที่ยกระดับคลื่นสมองขึ้นมาเป็นผู้ก่อปฐพีชั้นสมบูรณ์แล้ว เดวิดไม่มีทางไปต่อ เขาไม่รู้วิธีที่จะยกระดับของตัวเองให้ขึ้นไปเป็นผู้ก่อสวรรค์ และไม่คิดที่จะเสียเวลาเดินทางกลับไปที่สำนักซิกนิสด้วย
4 เดือน! มันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกินไปแล้ว เดวิดไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าอาจารย์ของตัวเองจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะลองเดินทางไปที่ตระกูลฮันเตอร์ดูสักครั้ง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดไม่ใช่หรือ? อย่างน้อย ๆ เขาก็จะสามารถบอกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าพยายามอย่างเต็มที่แล้ว
“ฟลินท์! กลับมาให้ไวเลย ฉันจะไปแล้ว!” เดวิดส่งเสียงเรียกออกมาไม่ดังมากนัก แต่มันถูกถ่ายทอดออกไปทั่วทั้งภูเขาที่กำลังนั่งอยู่ด้วยคลื่นสมองจนไม่ต้องกลัวว่าเจ้าตัวน้อยจะไม่ได้ยิน และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ร่างที่สูงใหญ่กว่า 7 เมตรสีดำเหลือบแดงก็วิ่งตะลุยขึ้นมาจากเนินเขาด้วยความเร็วสูง ในปากคาบซากอะไรบางอย่างที่ใหญ่พอ ๆ กับตัวของมันติดมาด้วย
ตุบ!!
เจ้าฟลินท์น้อยตัวใหญ่ไม่พูดพร่ำทำเพลง มันเหวี่ยงซากสัตว์ร้ายตัวนั้นลงบนพื้นตรงหน้าเดวิด ก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมาเบา ๆ
“กรรซซ์!”
หลังจากสั่งงานเสร็จ มันก็ลดขนาดตัวเองกลับไปอยู่ในรูปลักษณ์ของลูกแมว และกระโจนหายไปในหน้าอกของเดวิดทันที ปล่อยให้ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัวดิก ก่อนจะกวาดมือออกมาเก็บซากสัตว์ร้ายส่งตามเข้าไปในโลกใบเล็กตามคำสั่งของสัตว์เลี้ยงตัวเองอย่างไม่มีทางเลือก ใครใช้ให้เขาไปเก็บมันมาเลี้ยงเอาไว้เองล่ะ?
ยันต์เคลื่อนย้ายที่สาวน้อยแอลลิสันให้ไว้ถูกนำออกมาถือเอาไว้ในมือ เดวิดจ้องเขม็งที่มันก่อนจะขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เมกะตันเบลดในมืออีกข้างถูกตวัดเฉือนมิติให้เปิดออก เขาเหลือบตามองมันแวบหนึ่งก่อนจะปล่อยให้มิติปิดตัวลงไป เก็บเมกะตันเบลดใส่แหวนเก็บของ หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาเปลี่ยน สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะฉีกยันต์เคลื่อนย้ายในมืออย่างไม่เหลือความลังเลอยู่ในจิตใจอีกเลย
…..
วูบ!!!!
ร่างของเขามาปรากฏตัวอยู่บนหลังคาของบ้านหลังหนึ่ง หลังจากที่กวาดตามองดูสภาพแวดล้อมรอบตัวแล้ว เดวิดก็พึมพำออกมาอย่างพึงพอใจ “อืม? ไม่ได้ไกลจากจุดที่ฉันเปิดมิติเองมากนัก ไม่เลว!”
“เฮ้!” เสียงตะโกนที่ดังมาจากด้านล่างทำให้ความคิดหลงตัวเองของเดวิดชะงักลง เขาก้มลงมองไปตามเสียง ก็พบว่ามีสาวน้อยน่าตาน่ารักคนหนึ่งกำลังเงยหน้ามองอยู่ด้วยดวงตาถมึงทึง
“นายขึ้นไปทำอะไรอยู่บนหลังคาบ้านของคนอื่น! ไสหัวลงมาเดี๋ยวนี้!”
“โอ้! ขอโทษที!” สีหน้าของเดวิดกลายเป็นบิดเบี้ยวดำคล้ำไปในทันที ก่อนที่ร่างของเขาจะกระพริบหายไปจากจุดที่ยืนอยู่ ปล่อยให้สาวน้อยเจ้าของบ้านยืนตาค้างอยู่ที่เดิมคนเดียว เธอไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าบนหลังคาเคยมีคนยืนอยู่จริง ๆ หรือเปล่า
เดวิดพาตัวเองซอกแซกเก็บข้อมูลตรวจสอบสภาพเมืองใหญ่แห่งนี้คร่าว ๆ ก่อนจะสรุปกับตัวเองได้ว่า แม่สาวน้อยแอลลิสันไม่ได้โกหกเรื่องจุดหมายปลายทางของยันต์เคลื่อนย้าย ที่นี่คืออาณาเขตของตระกูลฮันเตอร์จริง ๆ หรือจะพูดออกมาให้ชัดเจน มันคือเมืองขนาดใหญ่ที่พวกเขาเป็นผู้ปกครองอยู่ ความหรูหราทันสมัยและความพลุกพล่านของผู้คนไม่ได้แตกต่างจากเมืองของตระกูลเคียร์รินเลยด้วยซ้ำ ไม่สิ! ขนาดของเมืองแห่งนี้น่าจะใหญ่กว่าหลายเท่าตัว แค่ภูเขาขนาดมหึมาที่สูงจนมองไม่เห็นยอดใจกลางเมืองก็ใหญ่พอ ๆ กับเมืองขนาดกลางเมืองหนึ่งแล้ว
ยังไม่ถึงเวลาที่จะตามหาแอลลิสัน เดวิดคิดที่จะใช้เวลาตรวจสอบสภาพพื้นที่ให้ได้กว้างมากที่สุดก่อน และมั่นใจว่าแม่สาวน้อยคนนั้นจะเป็นฝ่ายติดต่อเขามาเองด้วยซ้ำ ไม่รีบร้อน! เดวิดเดินเล่นอยู่ในตลาดที่ค่อนข้างคึกคักอย่างสบายใจ ไม่มีการปกปิดซ่อนเร้นกลิ่นอายใด ๆ ทั้งสิ้น แค่ลดระดับคลื่นพลังลงไม่ให้สร้างความแตกตื่นมากเกินไปเท่านั้น สายตาสอดส่ายมองหาร้านอาหารหรือภัตตาคารที่น่าสนใจ หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว เขาตั้งใจที่จะนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงนอนนุ่ม ๆ สักคืนด้วยซ้ำ
ดูเหมือนว่าถนนเส้นนี้จะไม่มีร้านอาหารหรือโรงแรมตั้งอยู่เลย เดวิดเสเดินเข้าไปหยิบจับเครื่องประดับที่วางโชว์อยู่บนเคาน์เตอร์ของร้านแห่งหนึ่งมาชื่นชม สายตาจับจ้องไปที่สร้อยคอเส้นหนึ่งที่วางอยู่ในตู้โชว์ ในใจคิดถึงสภาพมันตอนสวมอยู่บนคอของเพอร์เซโฟนี แล้วก็ยิ้มกว้างออกมาก ก่อนจะเอ่ยปากถามเจ้าของร้านที่เป็นชายชราคนหนึ่งทันที
“ผมขอดูสร้อยเส้นนั้นหน่อยได้มั้ย?”
“โอ้! ได้เลยครับ! คุณลูกค้านี่สายตาดีจริง ๆ นี่เป็นสร้อยที่สวยและมีค่ามากที่สุดของร้านนี้แล้ว” เจ้าของร้านยิ้มพร้อมกับกล่าวชมออกมา สองมือเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว เปิดตู้และหยิบสร้อยคอออกมาส่งถึงมือเดวิดอย่างรวดเร็ว
หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว เดวิดก็วางมันกลับลงไปบนกล่องที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“ราคาเท่าไร?”
ชายชราเผยยิ้มกว้างออกมา มือทั้ง 2 ข้างถูกันไปมาอย่างตื่นเต้น “สร้อยคอเส้นนี้อยู่ที่ร้านนี้มานาน..”
เดวิดขัดจังหวะขึ้นมาทันที “นั่นหมายความว่ามันขายไม่ออกใช่มั้ย? บอกราคามาเถอะ อย่าให้แพงมากนักล่ะ!”
รอยยิ้มของชายชราค้างแข็งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกาย และสีหน้ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นเคร่งขรึม นี่เป็นพ่อค้าที่รับมือกับสถานการณ์แบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนเลย “คุณลูกค้า! จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอกนะ ร้านนี้ไม่ขายสินค้าให้กับคนที่ไม่เหมาะสมจะครอบครองมัน ไม่ใช่มีแค่เงินเท่านั้นแล้วจะซื้อได้
คุณลูกค้าเห็นอัญมณีทั้ง 3 เม็ดที่ประดับอยู่รอบตัวเรือนนี่มั้ย น้ำของมันงามมากและไร้ตำหนิอย่างสิ้นเชิง เป็นอัญมณีที่ขุดมาจากเหมืองที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแห่งนี้ คุณลูกค้าเห็นประกายที่มันส่งออกมามั้ย ความสวยงามแบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ หรอกนะ” ชายชราประคองสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาแสดงให้เห็นถึงแสงระยิบระยับที่สวยงามสะดุดตา
เดวิดอยากได้ และไม่อยากฟังอะไรที่ไร้สาระมากนัก เขาถามย้ำออกไปเรียบ ๆ “เท่าไร?”
ชายชรายกนิ้วขึ้นชู 1 นิ้วถ้วน
ดวงตาของเดวิดกระพริบถี่ “100 เหรียญดาว?”
ชายชราส่ายหน้า นิ้วยังชูอยู่เหมือนเดิม
เดวิดกรอกตา “10 เหรียญดาว? มันจะถูกไปมั้ย?”
คราวนี้สีหน้าของชายชรากลายเป็นดำมืดแล้ว เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
“1,000,000 เหรียญดาว!”...