ตอนที่ 3 : ราชาแห่งการฝึกฝน
เฉินโม่ออกจากการทําสมาธิของเขาและเดินไปที่ประตู
เมื่อเปิดประตูออก เขาก็เห็นสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยที่มีขนสีขาวราวกับหิมะ และตากลมโตที่ดูทั้งน่ารักและไร้เดียงสา
สิ่งที่แปลกคือตาของสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยตัวนี้มีสีแดงก่ำราวกับเลือด และดูเหมือนว่าจะมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ข้างใน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันมีสายเลือดของสัตว์อสูรไหลเวียนอยู่
แต่ถ้าเป็นจิ้งจอกเพลิงจริงๆ ขนของมันจะต้องมีสีแดงอมส้มสดใส และมีเปลวไฟกะพริบอยู่ระหว่างเส้นขน
เมื่อเทียบกันแล้ว เด็กน้อยตัวนี้คงมีสายเลือดของสัตว์วิญญาณอยู่ แต่คงไม่มากนัก
"หงิง?"
เมื่อเฉินโม่สบตาของเจ้าจิ้งจอกตัวน้อยที่เปล่งประกายด้วยความสุข ซ้ำยังแฝงไปด้วยความสง่างามและอ่อนโยน มันก็กระโดดเข้ามาในอ้อมแขนของเขาอย่างคุ้นเคย
“มาตรงเวลาจริงๆ ไม่ต้องกังวลน่า เดี๋ยวฉันไปเอาอาหารมาให้”
หลังจากหลอมรวมความทรงจําเข้าด้วยกันแล้ว เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยนี่ก็ไม่ใช่สหายแปลกหน้าอีกต่อไป
เพราะมันคือเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยที่มา "ขออาหาร" อย่างตรงเวลาทุกวัน และเสียงร้องของมันคือ "หงิงๆ" ซ้ำขนของมันยังเป็นสีขาว เฉินโม่จึงตั้งชื่อให้มันว่าไป๋เสี่ยวจู และมักจะเรียกมันสั้นๆว่า เป่าจู
ในความทรงจําของเฉินโม่ ตอนที่เขาเห็นเจ้าเสี่ยวจูครั้งแรกนั้น เจ้าเด็กน้อยนี่ทั้งผอมและสกปรก ดวงตาของมันก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและระแวดระวัง
เฉินโม่ไม่รู้ว่าเสี่ยวจูถูกพ่อแม่ของมันทอดทิ้งมาหรือพ่อแม่ของมันตายไปแล้ว อย่างไรก็ตาม มันไม่มีที่ไป เนื่องจากพรสวรรค์ที่น่าสงสารของมัน ทำให้ไม่มีใครเต็มใจที่จะรับเลี้ยงมันเอาไว้
บางที อาจจะเป็นเพราะพวกเขามีชะตาที่คล้ายๆกัน ทำให้จิตใจของพวกเขาสามารถสื่อถึงกันได้ ตั้งแต่นั้นมา เฉินโม่จึงเป็นคนที่คอยให้อาหารเจ้าจิ้งจอกน้อยนี้ ซึ่งเจ้าจิ้งจอกน้อยเองก็มักจะนําผลไม้ป่าหรือสิ่งอื่น ๆ มาเป็นของ "ตอบแทนความใจดี" ของเขาอยู่เสมอ
เฉินโม่หยิบปลาแห้งและแอปเปิ้ลออกมาจากตู้เย็น
สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยไม่สงวนท่าทีอีกต่อไป มันกลายร่างเป็นจิ้งจอกที่หิวกระหายและเริ่มกินอาหารตรงหน้าอย่างมีความสุข
“เป่าจู เธอควรมีความยับยั้งชั่งใจให้มากกว่านี้รู้รึเปล่า ดูเธอตอนนี้สิ เธอแทบจะกลายเป็นหมูอยู่แล้ว!”
เฉินโม่ใช้ความสามารถด้านภาษาสัตว์ของเขาอย่างไม่ลังเล
“หงิง แง่ง แง่ง!” (แค่อาหารของนายไม่ทำให้ฉันอ้วนได้หรอก! ฉันไม่ได้อ้วนนะ!)
สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยเหลือบมองเฉินโม่ และสวาปามเนื้อต่อไปอย่างเอร็ดอร่อย
แต่หลังจากที่มันกินไปได้ครึ่งทาง ทันใดนั้น เจ้าจิ้งจอกน้อยก็ดูเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัว ดวงตาของมันเบิกกว้างและมองไปที่เฉินโม่อย่างไม่อยากจะเชื่อ
"หงิง?" (ทําไมนายถึงคุยกับฉันได้?)
เมื่อก่อน ตอนที่พวกเขายังไม่เข้าใจภาษาของกันและกัน พวกเขาทำได้แค่สื่อสารกันผ่านความคิดเท่านั้น
“ก็ง่ายๆ ฉันเปิดหยูหลิงได้สำเร็จแล้ว และพรสวรรค์ในการควบคุมสัตว์วิญญาณของฉันก็ตื่นแล้วด้วย เพราะแบบนั้น ฉันถึงคุยกับเธอได้ไง”
เฉินโม่พูดอย่างใจเย็น
"หงิง!?"
ดวงตาของสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยปรากฎความตกใจ
เราตกลงว่าจะเป็นคนไร้ประโยชน์ด้วยกันไม่ใช่หรอ แต่นายกลับหนีไปทำงานหนักอยู่คนเดียว!
ด้วยเหตุนี้ มันทำให้เจ้าตัวน้อยรู้สึกโดดเดี่ยว
ในเมื่อเขาสามารถเปิดหยูหลิงได้แล้ว ก็หมายความว่าเขาได้ก้าวเข้าสู่โลกของปรมาจารย์วิญญาณไปก้าวหนึ่งแล้ว ซ้ำยังสามารถทําสัญญากับสัตว์วิญญาณของตัวเองได้อีกด้วย
‘มันคงไม่เหมาะที่ฉันจะมาขออาหารอีกต่อไปแล้วสินะ’
“ตอนนี้ฉันสามารถทําสัญญากับสัตว์วิญญาณได้แล้ว และเธอก็จะเป็นสัตว์วิญญาณตัวแรกของฉันล่ะ”
ในขณะที่เจ้าจิ้งจอกน้อยกำลังเศร้า จู่ๆ มันก็ได้ยินคำพูดของเฉินโม่
เจ้าจิ้งจอกน้อยตรงหน้าไม่ใช่ตัวเลือกที่ทำไปด้วยความตื่นเต้นหรือไม่ผ่านการไตร่ตรองอย่างแน่นอน
แต่มันเป็นเพราะพรสวรรค์ในการควบคุมวิญญาณของเขาคือการที่เขาสามารถเพิ่มเอฟเฟกต์พิเศษให้แก่สัตว์วิญญาณได้ ดังนั้นพรสวรรค์เริ่มต้นของตัวสัตว์วิญญาณจึงไม่สําคัญอีกต่อไป
เมื่อภารกิจท้าทายที่มีเอฟเฟกต์ที่มีผลดีต่อเสี่ยวจูปรากฏออกมา เช่น "สายเลือดจิ้งจอกเก้าหาง" และ "พรสวรรค์แห่งอัคคี" เสี่ยวจูก็จะถูกเปลี่ยนจากสัตว์ไร้ค่าให้กลายเป็นอัจฉริยะ!
ความสามารถของสัตว์อสูรที่รัฐบาลจัดสรรให้นั้นก็ไม่ได้สูงไปกว่านี้มากนัก กลับกัน เจ้าจิ้งจอกน้อยนี่อยู่กับเขามากว่าหนึ่งปีแล้วและพวกเขาไม่จําเป็นต้องปรับเปลี่ยนอะไร
ที่สําคัญกว่านั้นคือมันเป็นจิ้งจอกสีขาวตัวน้อยที่ดูดีมาก!
ในตอนที่เขาเล่นเกมไพ่ในอดีต เฉินโม่เองก็สนใจในเรื่องของรูปลักษณ์มากกว่าความแข็งแกร่ง
มันคงจะดีกว่าถ้าเจ้าจิ้งจอกน้อยนี้สามารถแปลงร่างเป็นรูปลักษณ์อื่นได้ เพื่อตอบแทนเขาในอนาคต!
"หงิง?" (นายพูดจริงหรอ?)
ม่านตาสีแดงของเจ้าจิ้งจอกน้อยเต็มไปด้วยความลังเล
ไม่ใช่ว่ามันไม่เต็มใจที่จะทําสัญญากับเฉินโม่
แต่มันเองก็ไม่ต้องการที่จะฉุดรั้งเฉินโม่เอาไว้
มันรู้ความสามารถของตัวเองดี แม้แต่ประกายไฟง่ายๆ มันก็ยังไม่สามารถเรียกออกมาได้เลยด้วยซ้ำ
ต่อให้จะมีเศษเสี้ยวของสัตว์วิญญาณในตัว แต่มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากสัตว์ธรรมดาๆทั่วไปเลย
เดิมทีเราก็เป็นพี่น้องที่ผ่านความทุกข์ยากมาด้วยกัน ดังนั้นคงจะเป็นการดีสําหรับทุกคนที่จะได้พึ่งพาซึ่งกันและกัน
แต่ในตอนนี้มันต่างออกไป ในเมื่อเฉินโม่สามารถเปิดหยูหลิงได้แล้ว เขาก็สามารถทําสัญญากับสัตว์วิญญาณที่ดีกว่าตัวมันเองได้อย่างแน่นอน
"ไม่ต้องคิดมาก สําหรับฉัน ไม่มีสัตว์วิญญาณที่ไม่ดี มีแต่ปรมาจารย์วิญญาณที่ไม่ได้เรื่องเท่านั้น ถ้าเธอไม่คัดค้าน เราก็สามารถร่วมมือกันอย่างมีความสุขได้ต่อไป!"
เฉินโม่ลูบหัวเจ้าจิ้งจอกน้อยและพูดปลุกใจมัน
เขาเข้าใจว่าเจ้าตัวน้อยนี่ไม่มีที่ไปมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นมันจึงค่อนข้างอ่อนไหวมาก เขาจึงพยายามปลุกใจให้มันเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่านี้
“หงิง~”
เมื่อได้ยินเสียงที่หนักแน่นของเฉินโม่ เจ้าจิ้งจอกน้อยก็รู้สึกสะเทือนใจอย่างอธิบายไม่ถูก ฉับพลันมันก็รู้สึกไว้วางใจอย่างน่าประหลาด
มันเพลิดเพลินกับสัมผัสของเฉินโม่ เด็กน้อยหรี่ตาพริ้ม รับสัมผัสที่เฉินโม่มอบให้อย่างเต็มที่
ถ้ามันทำสัญญากับเฉินโม่ ก็หมายความว่ามันจะมีเจ้านายและครอบครัวเป็นของตัวเองแล้วสินะ?
“เธอกินให้อิ่มก่อนเถอะ แล้วเราค่อยมาทำสัญญากันหลังจากนั้น”
"หงิง!"
ขณะที่สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยกําลังกินอาหาร เฉินโม่ก็นึกถึงภารกิจที่เขามี
หลังจากทําสัญญากับเสี่ยวจู ดูเหมือนว่าจากภารกิจท้าทายประจําวันทั้งสาม [ผิวหยาบและหนังหนา] และ [Swift] เป็นอะไรที่พวกเขาพอทําได้
เอฟเฟกต์ของสองภารกิจนี้ค่อนข้างดี แต่ปัจจุบัน [Swift] เหมาะสําหรับเสี่ยวจูมากกว่า
สำหรับ [ผิวหยาบและหนังหนา]—
นั่นหมายความว่า หนึ่งในเขาหรือเสี่ยวจู จะต้องมีคนนึงที่ต้องถูกทุบตีอย่างรุนแรง
ส่วนความท้าทายรายสัปดาห์ทั้งสอง ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ ดังนั้นเฉินโม่จึงรีเฟรชภารกิจ [ผู้เชี่ยวชาญด้านการตกปลา] ก่อน
ตัวอักษรแตกกระจายออกเป็นละอองแสงสีเขียวมรกตและหายไปในอากาศ
จากนั้นไม่นาน ละอองแสงสีฟ้าก็รวมตัวกันเป็นตัวหนังสือ
“มันเหมือนกับการเปิดกล่องสมบัติเลยแหะ ถ้ามีเอฟเฟกต์เสียงเพิ่มอีกหน่อย คงจะให้อารมณ์เดียวกันเลย”
เฉินโม่บ่นแล้วมองไปที่ความท้าทายที่ถูกรีเฟรช—
…
~ในเรื่องจะมีการใช้สลับกันระหว่าง เสี่ยวจู กับเป่าจู นะคะตามต้นฉบับ แต่นั่นคือชื่อของเจ้าจิ้งจอกน้อยของเฉินโม่เหมือนกันค่ะ~