ตอนที่ 84 การเดินทางครั้งใหม่
ออสบอร์นตื่นนอนตั้งแต่เวลาตีห้าครึ่งเขาพยายามพลิกตัวไปหยิบแก้วน้ำจากหัวเตียงแต่ร่างกายที่แก่ชรากลับไม่ยอมทำตามคำสั่งของเขา อาการชาจากอากาศหนาวยามค่ำคืนทำให้กระดูกตามข้อติดหนึบไปหมด เสียงลั่นเสียดสีของข้อพับยามขยับร่างกายดังกรุบกรับเหมือนเส้นเอ็นที่ถูกสะบัดจนขึงตึง
สร้อยคอทับทิมถูกเรียกออกมาจากแหวนเก็บของอีกครั้ง อำนาจล่อลวงจิตยังคงส่งผลกับออสบอร์นเหมือนที่ผ่านมา เขาคาดเดาว่ายิ่งเขาสวมมันไว้นานเท่าไหร่การล่อลวงก็ยิ่งมีผลมากเท่านั้น จนถึงจุดหนึ่งผู้ใช้จะไม่สามารถรักษาสติปัญญาเพื่อต้านทานการล่อลวงนี้ได้ คนผู้นั้นจะสวมมันเอาไว้ตลอดเหมือนขี้ยาต้องการสารเสพติด เหมือนคนติดเหล้าที่ต้องดื่มแอลกอฮอล์แทนข้าว พวกเขาจะค่อยๆถูกดูดกลืนพลังชีวิตไปทีละน้อยภายในเวลาสามปี จนในที่สุดก็จะไม่เหลือแม้แต่ร่างกายของตนเอง
ของวิเศษชิ้นนี้เป็นสิ่งชั่วร้ายอย่างแน่นอน แต่ในการเดินทางอันยาวนานนี้ออสบอร์นไม่สามารถปฏิเสธการพึ่งพามันได้ นี่เป็นเหตุผลที่เขาขอหนังสือยืนยันตัวตนและหนังสือเดินทางสองฉบับจากเจ้าของร้านขายของเก่าโรเจอร์ ออสบอร์นจะเดินทางโดยใช้ตัวตนของเด็กหนุ่ม คาร์ล อัสติเนียน ที่เตรียมเอาไว้สำหรับร่างวัยหนุ่มของเขา
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามายามหกโมงเช้า คลื่นทะเลสาดซัดมาจนถึงขอบของหาดทรายสีขาว ระดับน้ำทะเลยังไม่ลดลงไปในยามเช้ามืดนี้ ออสบอร์นยันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบากเขาก้มดูเตียงสีขาวสะอาดที่ตอนนี้มีกลิ่นปัสสาวะนิดหน่อย ก็ช่วยไม่ได้เมื่อแก่แล้วการอั้นเอาไว้ก็ทำไม่ได้เหมือนเดิม พ่อมดเฒ่าใช้คาถาเรียกลมและแสงปัดเป่ากลิ่นไม่พึงประสงค์ จัดการธุระส่วนตัวในกระโถนข้างเตียงตามแบบฉบับของโลกยุคเก่าที่แทบจะถอยหลังไปก่อนยุคกลางของยุโรป
เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย ออสบอร์นก็ล้างหน้าล้างตาด้วยอ่างล้างหน้าที่ถูกเปลี่ยนน้ำไว้แล้ว และเก็บสร้อยคอลงไปในแหวนเก็บของอีกครั้ง เขาตัดสินใจที่จะยังไม่สวมมันตอนนี้ ตัวตนของ คาร์ล อัสติเนียน ควรถูกใช้หลังจากออกจากอาร์มล็อค
เมื่อเขาเดินลงมาจากห้องพักบนชั้นสามท้องฟ้าด้านนอกก็สว่างโล่งไปหมด ออสบอร์นที่เป็นชายชราเพียงไม่กี่คนในโรงแรมถูกผู้คนในล็อบบี้ให้ความสนใจอยู่พักหนึ่ง จนเมื่อแน่ใจว่าชายชราผู้คงแก่เรียนคนนี้ไม่ใช่บุคคลสำคัญแต่อย่างใดสายตาเหล่านั้นจึงถอยกลับไป ออสบอร์นทานขนมปังขาวอย่างดีกับชานมร้อนหนึ่งแก้วเป็นอาหารเช้าก่อนจะให้พนักงานโรงแรมช่วยเรียกรถลากให้เขาเหมือนเมื่อวาน
ระหว่างที่นั่งรอรถลาก ออสบอร์นก็สังเกตุเห็นกลุ่มคนที่แปลกประหลาดกลุ่มหนึ่ง คนที่เป็นผู้นำกลุ่มควรเป็นเอลฟ์หนุ่มผมสีเงินที่นั่งอยู่ด้านในสุดของล็อบบี้โรงแรม แสงเทียนเรื่อๆบนโต๊ะอาหารที่คนกลุ่มนี้งนั่งอยู่ส่องใบหน้านั้นให้ชัดเจนมากขึ้นท่ามกลางห้องที่อับทึบ
ผ้าม่านบริเวณโต๊ะทานอาหารถูกดันปิดไว้ จะเพื่อกันสายตาของคนด้านนอกหรือกันแสงแดดก็ไม่อาจทราบได้ ในกลุ่มคนที่นั่งอยู่รอบเอลฟ์ผมสีเงินมีมากกว่าสามคนที่ออสบอร์นสัมผัสได้ว่าเป็นผู้ทรงพลังระดับสูงอย่างแน่นอน
“พวกเขาคือใคร?”
ออสบอร์นหันไปถามพนักงานโรงแรมที่มาเก็บแก้วน้ำและจานขนมปังของเขากลับไป เมื่อสักครู่นี้รถลากมาถึงแล้ว ออสบอร์นจึงกำลังเตรียมตัวไปร้านของโรเจอร์
“พวกเขาเป็นคณะเดินทางของดยุกแห่งมอนทาคิวต์ อาจเป็นหนึ่งในลอร์ดน้อยหลายคนของท่านดยุก”
พนักงานโรงแรมตอบแค่นั้นก็เดินจากไป สำหรับตัวตนของพวกขุนนางแล้ว ในเฮอราบอสแห่งนี้ไม่ถือว่าเป็นความลับอะไร ออสบอร์นหยิบไม้เท้าของเขาขึ้นมาและถือมันเอาไว้ให้ถนัดมือที่สุดก่อนจะลงน้ำหนักลงไปในทุกก้าวที่เดิน เขาหันไปมองเอลฟ์ผู้นำกลุ่มเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อกำลังจะเบนสายตากลับมาออสบอร์นเชื่อว่าเอลฟ์ผมเงินคนนั้นมองตอบมาที่เขาครู่หนึ่ง บางทีการให้ความสนอกสนใจขุนนางมากเกินไปอาจทำให้ผิดสังเกตได้ แต่ทำไมขุนนางระดับนั้นถึงมาพักที่โรงแรมกัน พวกเขาควรมีปราสาทหรือคฤหาสน์ไม่ใช่หรือ?
บรรยากาศยามเช้าตรู่ของอาร์มล็อคไม่ได้มีอะไรให้สนใจมากนักนอกจากตลาดปลาที่ตั้งเรียงรายอยู่เต็มชายหาด ออสบอร์นนั่งรถลากมาถึงร้านของโรเจอร์โดยใช้เวลาน้อยกว่าเมื่อวานครึ่งหนึ่งเพราะถนนที่โล่งสบายกว่าในตอนเย็น ประตูหน้าร้านยังแขวนป้ายคำว่าปิดเอาไว้แต่ออสบอร์นไม่ได้สนใจ เขาก้าวไปเคาะประตูและเปิดเข้าไปทันที
เมื่อประตูเปิดออกเฒ่าโรเจอร์ที่นั่งอยู่ด้านหลังเคาร์เตอร์ก็ยิ้มต้อนรับตัวแทนผู้จัดการอาวุโสคนนี้อย่าประจบสอพรอ เขารีบเชิญให้ออสบอร์นเข้ามาและล็อคกลอนประตูตามความเคยชิน ไม่นานเงินจำนวนหนึ่งหมื่นเหรียญทองก็มาอยู่ในมือออสบอร์น พ่อมดเฒ่าเอาของที่จำเป็นในการเดินทางบางส่วนไปจากร้านขายของเก่าของโรเจอร์ด้วย มันอาจช่วยเขาประหยัดค่าใช้จ่ายได้จำนวนมาก แต่สำหรับข่าวของกรีมัวร์ที่เขาคาดหวังกลับไม่มีอะไรคืบหน้าเลย
เมื่อถึงเวลาเก้าโมงเศษ ออสบอร์นก็ออกจากร้านของโรเจอร์และเดินทางกลับโรงแรม เขาฝากให้พนักงานโรงแรมจัดหารถม้าขนาดเล็กให้หนึ่งคันเพื่อใช้เดินทางออกนอกอาร์มล็อค รถม้าเดินทางมาถึงโรงแรมเกือบเที่ยงตรงก่อนที่จะนำชายชรา อาเธอร์ โรนัลลอยด์ อาจารย์ผู้เฒ่าของสถานศึกษาในเมืองทางใต้ออกเดินทางไปยังเมืองหลวงจักรวรรดิ
ออสบอร์นไม่ได้ยื่นหนังสือเดินทางและหนังสือยืนยันตัวตนที่ประตูเมืองในตอนขาออก เพราะการตรวจหนังสือทั้งสองประเภทจะใช้เมื่อมีการเดินทางเข้าเมืองเท่านั้น การปรากฎตัวของเขาจึงไม่ได้เรียกความสนใจให้กับทหารรักษาการณ์มากนัก
รถม้าคันเล็กเดินทางออกจากอาร์มล็อคเกือบบ่ายโมงตรง ออสบอร์นยังสังเกตุเห็นว่ามีขบวนเดินทางของขุนนางนำหน้าพวกเขาออกไปไม่ไกลนัก คงเป็นคณะเดินทางของดยุกแห่งมอนทาคิวต์ที่เขาเห็นเมื่อตอนที่อยู่ในโรงแรม พวกเขาอาจเดินทางขึ้นเหนือไปตามเส้นทางเลียบชายทะเลเช่นกัน
เมื่อรถม้าออกเดินทางมาได้ห้าถึงหกชั่วโมงแสงอาทิตย์ก็เริ่มลับขอบฟ้า อากาศที่หนาวเหน็บของยามค่ำคืนค่อยๆคืบคลานเข้ามา รถม้าของออสบอร์นจอดพักห่างจากขบวนคาราวานของขุนนางไปไม่มากตามคำแนะนำของคนขับรถม้าเพราะพวกโจรส่วนมากจะไม่ทำอันตรายคณะเดินทางของพวกขุนนาง การอยู่ใกล้ชิดกับพวกเขาจึงควรปลอดภัยมากขึ้น
เมื่อถึงเวลากลางดึก กองไฟที่ออสบอร์นเคยมองเห็นได้จากกองคาราวานของขุนนางก็ริบหรี่ลงแต่กองไฟของออสบอร์นยังคงแจ่มชัด เพราะพ่อมดเฒ่านอนไม่หลับ เสียงกรนของคนขับรถม้ายังคงดังออกมาจากถุงผ้าข้างกองไฟที่ลุกโชน กระต่ายป่าสองตัวถูกจัดการโดยออสบอร์นกับคนขับรถม้าจนเกลี้ยง แต่ข้างๆกองไฟยังคงมีกาน้ำชาแขวนเอาไว้อยู่ ออสบอร์นจะคอยจิบมันเพื่อให้ความอบอุ่นในตอนกลางคืน
เมื่อแน่ใจว่าคนขับรถม้าหลับไปแล้วพ่อมดเฒ่าก็ลุกเดินออกมาจากที่นั่งรอบกองไฟ เขาตรวจดูสัมภาระที่เอามาจากร้านของโรเจอร์เล็กน้อย ก่อนจะหยิบของทั้งหมดและเดินเข้าไปในป่าท่ามกลางความมืดมิด โดยที่ไม่ลืมทิ้งจดหมายไว้ให้กับคนขับรถม้าพร้อมกับค่าเดินทางเต็มจำนวน
สำหรับระยะทางที่เหลือออสบอร์นจะต้องจัดการด้วยตนเอง การเดินทางโดยรถม้าของประชาชนทั่วไปนั้นจะเป็นที่สะดุดตาและช้ามากเกินไป เขายังไม่ลืมว่าเขาไม่ได้มาช่วยเพียงกรีมัวร์คนเดียวแต่ยังมีครอบครัวของนางด้วย
เมื่อแน่ใจว่าตนเองเดินออกมาไกลแล้ว ออสบอร์นก็หยิบสร้อยทัมทิมออกมาและสวมมันอย่างเคยชิน ร่างกายที่แก่ชราและทรุดโทรมหายไปในพริบตาแทนที่ด้วยร่างของชายหนุ่มที่แข็งแรงและงดงามอีกครั้ง เขาหยิบเอาแผ่นหนังแผ่นหนึ่งออกมาจากพื้นที่ของแหวนมิติ แผ่นหนังสีขาวดูสะดุดตาสะท้อนแสงจันทร์ที่ส่องลอดใต้กิ่งไม้ลงมาจนเป็นสีเงินลางๆ
ออสบอร์นรู้ว่าถึงเวลาที่เขาต้องใช้สิ่งนี้แล้ว มันคือคาถาอัญเชิญสัตว์ขี่ระดับกลางที่เขาเคยได้รับเมื่อตอนที่เดินทางไปวอร์บัส
พ่อมดเฒ่าตรวจดูมันอย่างสนใจอยู่ครู่หนึ่งแต่ครั้งนี้ไม่มีหน้าต่างระบบมาคอยอธิบายเหมือนที่ผ่านมา ระยะเวลาการอัพเกรดยังไม่เสร็จสิ้น ถ้าระหว่างนี้มีภารกิจอะไรเขาก็ไม่อาจรับได้ เมื่อลองอัดฉีดพลังเวทย์ลงไปในนั้นเหมือนที่ทำกับคาถาอัญเชิญผู้พิทักษ์ทั้งสองครั้ง แสงสีขาวก็สว่างวาบเหมือนแสงไฟหน้ารถยนต์ มันสะท้อนเข้าไปในดวงตาของออสบอร์นจนต้องหรี่ลงอย่างช่วยไม่ได้ แสงสีขาวสว่างจ้าอยู่ห้าวินาทีเต็มก่อนที่จะเริ่มลดลงทีละน้อย
ออสบอร์นยังคงสัมผัสถึงอำนาจยิ่งใหญ่อะไรไม่ได้ แต่เขาแน่ใจว่าสัตว์ขี่ของเขาปรากฎตัวออกมาแล้ว ท่ามกลางป่ารกทึบและดวงจันทร์บนท้องฟ้า ประกายสีเงินเหมือนละอองของภูติในหนังเรื่องปีเตอร์แพนระยิบระยับอยู่ในสายตาของเขา รูปร่างของบางสิ่งที่คุ้นเคยปรากฎออกมาท่ามกลางละอองแสงที่ว่านั้น เสียงร้อง ฮี่ๆ ด้วยความดีใจดังสะท้อนไปทั่วทิศ
มันคือม้า!
พ่อมดเฒ่าไม่ได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด หากพูดถึงเรื่องสัตว์ขี้แล้วละก็ ม้าควรเป็นอันดับต้นๆ การที่เขาอัญเชิญม้าที่ทรงพลังระดับกลางออกมาก็ดูไม่น่าเกลียดมากนัก และเขาเชื่อว่าม้าตัวนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนหากดูจากละอองสีเงินที่ส่องประกายอยู่รอบตัวมัน เสียดายที่หน้าต่างระบบเปิดใช้งานไม่ได้ เขาจึงไม่รู้ว่าม้าตัวนี้เป็นสายพันธุ์สัตว์วิเศษใด
ม้าตัวสีขาวปลอดทั้งตัวสะบัดหางเป็นพู่ยาวสลวยดุจเส้นไหมของมันไปด้านหลังและค่อยๆควบมาทางออสบอร์นอย่างรู้งาน มันก้มหัวให้มนุษย์ตรงหน้าลูบจนพอใจ พ่อมดเฒ่าในร่างชายหนุ่มก้มกระซิบแผ่วเบากับมัน
“ข้าจะเรียกเจ้าว่าเมอร์คิวรี มันเป็นชื่อดวงดาวในโลกเก่าของข้าและเป็นชื่อของโลหะอัศจรรย์ที่มีสีอันบริสุทธิ์เช่นเจ้า”
ม้าสีขาวพ่นลมออกทางจมูกแทนความเห็นของมัน ม้าตัวนี้พอใจกับชื่อของมันมาก
ออสบอร์นเดินไปยังด้านข้างของสัตว์ขี่ตัวแรกของเขา เมอร์คิวรีย่อร่างที่สูงใหญ่ของมันลงเพื่อให้เจ้านายของมันได้ปีนขึ้นไป ดูเหมือนว่าม้าตัวนี้จะพร้อมแล้วสำหรับการเดินทางอันยาวนานที่กำลังจะมาถึง
ร่างของชายหนุ่มถือไม้เท้าสีขาวดุจดวงจันทร์ ควบม้าสีขาวปลอดไปตามผืนป่าดำมืดสร้างความแตกตื่นให้กับสัตว์ป่าที่หากินกลางคืนไปตลอดทาง พวกเขาควบผ่านพื้นที่ของกองคาราวานขุนนางไปยังทิศเหนืออันเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงจักรวรรดิ ออสบอร์นคาดหวังให้เขาไปถึงเมืองถัดไปก่อนรุ่งสาง