ตอนที่ 42 พี่ชายเป็นตัวถ่วง
ถ้าน้องสาวคือคนที่โจมตีเขา เย่อันผิงยังรู้สึกว่าเขารับมือได้
เหนือสิ่งอื่นใด เขาฝึกกับน้องสาวเขามาเป็นสิบปีและคุ้นชินกับวิชากระบี่
แต่เฟิงหยูเตี๋ยคือคนละเรื่อง
วิชาเก้ากระบี่สวรรค์ของนาง แม้กระทั่งฝนเกม ก็คือวิชากระบี่เดียวที่สามารถสร้าง’ความเสียหายจริง’ได้ ต่อให้เล่นเป็นเซียนสวรรค์ มันก็ต้องช่วงท้ายเกมกว่าจะเก็บแต้มเพื่อเรียนรู้ได้
แต่เย่อันผิงไม่ตื่นตระหนก
เขารู้ว่าท่ามกลางคนที่นี่ คนที่ควรตื่นตระหนกควรเป็นพี่เหลียง
เหนือสิ่งอื่นใด เขา เย่อันผิงคือคนเดียวที่รู้วิธีออกภูเขาด้านหลังสำนักดาวดำ
เช่นนั้น ถ้าเขาตาย ต่อให้เหลียงจู้จะล้มเฟิงหยูเตี๋ยกับเพ่ยเหลียนเสวี่ยได้ เขาก็จะโดนล้อมจับเป็นโดยศิษย์สำนักดาวดำ
เหลียงจู้ต่างจากน้องๆ เขาฉลาด สมองทำงานไว้ และสงบ เขาควรเข้าใจความจริงข้อนี้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เหลียงจู้จะปกป้องเขาสุดตัว
และมันก็เป็นตามที่เย่อันผิงคาด
พอเห็นเฟิงหยูเตี๋ยพุ่งมา เขาไม่กล้าพัวพันกับเพ่ยเหลียนเสวี่ย แต่พุ่งมาปกป้องเย่อันผิง
เขานำยันต์หลายใบออกจากถุงมิติ กระตุ้นด้วยพลังปราณ
ทันใดนั้น ยันต์ก็เปล่งแสง เปลี่ยนเป็นบอลไฟร้อนที่ระเบิดระหว่างเย่อันผิงกับเฟิงหยูเตี่ย
คลื่นความร้อนซัดนางปลิว
เวลานี้ เฟิงหยูเตี๋ยเสียท่า และถ้าเหลียงจู้อยากฉวยโอกาส เขาสามารถทำร้ายนางได้ แต่แทนที่จะใช้ยันต์ต่อไปกับเฟิงหยูเตี๋ย เขากลับเลือกปกป้องเย่อันผิง
เพ่ยเหลียนเสวี่ยเองก็มาด้านหลังทั้งสองและเล็งกระบี่ไปที่หลังของพี่ชายนาง
บูฒ
คลื่นความร้อนผลักเพ่ยเหลียนเสวี่ยถอย
พอเห็นทั้งสองถูกบังคับให้ถอย เหลียงจู้ก็รีบคว้าเย่อันผิง กระโดดขึ้นฟ้าขณะนำกระบี่บินออกมาและเหยียบมัน จากนั้น พวกเขาก็บินไปโดยไม่มองเหลียวหลัง
วินาทีถัดมา เสียงร้องของเฟิงหยูเตี๋ยก็ตามหลังพวกเขามา“สารเลว!อย่าคิดหนีนะ!ลงมาสู้กับข้าสิถ้าเจ้ากล้า!กลัวหรือไง?เจ้าคือผู้บ่มเพาะก่อตั้งรากฐานขั้นปลาย แต่ดันกลัวเรา สองผู้บ่มเพาะหลอมลมปราณเนี่ยนะ เจ้าไม่ละอายใจบ้างหรือไง?”
คำพูดขยะนี้ทำให้เหลียงจู้ตาแดง แต่เขาต้องอดทน สิ่งสำคัญสุดคือพาเย่อันผิงออกไปจากที่นี่
เย่อันผิงหันหัวไป และด้านใต้เขา เฟิงหยูเตี๋ยกำลังวิ่งไล่ตามมา พยายามขว้างกระบี่ใส่พวกเขา ชั่วขณะนั้น เขาไม่รู้เลยว่าจะแสดงสีหน้าอะไร
ยังไงซะ เรื่องก็เป็นไปตามที่เขาคิด
เพราะเขา เหลียงจู้จึงเลือกไม่สู้กับพวกเฟิงหยูเตี๋ย
ยันต์สองใบที่เหลียงจู้ใช้ก่อนหน้าพอจะแสดงว่าเขาคือผู้ใช้อาคมและผู้บ่มเพาะก่อตั้งรากฐานขั้นปลาย
ตอนนี้ที่เฟิงหยูเตี๋ยกับเพ่ยเหลียนเสวี่ยไม่มีกระบี่บิน ขอแค่เหลียงจู้บินหนี ก็ยากที่พวกนางจะเข้าใกล
ในการต่อสู้จริง ต่อให้น้องสาวเขากับเฟิงหยูเตี๋ยจะฆ่าเหลียงจู้ได้ แต่ก็ต้องจ่ายราคาสูงและเจ็บหนัก
หลังบินสักพัก เย่อันผิงก็ขอโทษ“พี่เหลียง ข้าขอโทษ ถ้าข้าไม่มา ท่านคงสู้กับสองคนนี้ได้..”
“ไม่เป็นไร..”เหลียงจู้ขัด จากนั้นก็หันมามองเขา”เฟิงหยูเตี๋ยัน่นสามารถฆ่าปรมาจารย์สำนักพิษมารได้ ข้าคิดว่านางคงรับมือได้ยาก แต่ไม่คิดเลยว่าเด็กสาวอีกคนที่เดินทางกับนางจะร้ายกาจไม่แพ้กัน..’
ข้าคือคนที่ฝึกนาง
เย่อันผิงแอบหัวเราะและพยักหน้า“จริง ผู้บ่มเพาะในอาณาจักรหลอมลมปราณจะฆ่าคนในอาณาจักรก่อตั้งรากฐานเหมือนผักปลาได้ไง?”
“ฮึ..”เหลียงจู้ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มขมขื่น“สมัยนี้ ผู้บ่มเพาะหลอมลมปราณทั้งหมดอยู่ระดับนั้นแล้วเหรอ?”
“จะเป็นไปได้ไง?ถ้าผู้บ่มเพาะหลอมลมปราณทั้งหมดเป็นเหมือนสองคนนั้น งั้นโลกนี้จะกลายเป็นแบบไหน?ผู้บ่มเพาะหลอมลมปราณตัวจริงควรเป็นเด็กสาวผมม่วงนั่น”เย่อันผิงระบุ
พอนึกถึงเด็กสาวผมม่วง เหลียงจู้ก็ถอนหายใจ สาวอีกสองคนนั่นคือสัตว์ประหลาดชัดๆ
ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ในอาณาจักรหลอมลมปราณจะเพิ่งเข้าวิถีเซียน พวกเขาเพิ่งฝึกกระบี่ ทำสมาธิทุกวัน ไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้จริง ดังนั้น ผู้บ่มเพาะหลอมลมปราณทั่วไปจะกลัวตอนเจอกับศัตรู และลังเลที่จะฆ่าใคร
แต่ตอนนี้ เฟิงหยูเตี๋ยกับเด็กสาวอีกคนแตกต่างจากเด็กสาวคนที่สาม ทั้งสองดูเหมือนจะโตในสระเลือด เข่นฆ่าคนโดยตาไม่กะพริบ
เหลียงจู้ถอนหายใจ นึกได้ว่าเขาเอากระบี่ของเด็กสาวผมม่วงมา เขาจึงหยิบมาดู
“อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้กลับไปมือเปล่า แม้ราคาจะสูงหน่อย..”เหลียงจู้ส่งกระบี่ให้เย่อันผิงและถาม“น้องชาย…ไม่สิ เถ้าแก่น้อย..เถ้าแก่น้อย ดูกระบี่นี่หน่อย”
เย่อันผิงมองกระบี่ของเสี่ยวอวิ๋นหลัวและตกตะลึงก่อนจะรับมัน
กระบี่นี้คือของขวัญวันเกิดจากประมุขให้เสี่ยวอวิ๋นหลัว มันคือกระบี่คุณภาพสูงที่หลอมโดยหินดำพันปีและวัสดุล้ำค่าอื่นๆ และคนที่ทำมันก็คือช่างฝีมืออาณาจักรวิญญาณแรกก่อตั้งจากดาวดำ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ต่อให้วางท่ามกลางกระบี่ของตระกูลผู้บ่มเพาะชั้นสูง มันก็ยังเป็นสมบัติประจำเมือง
แต่..
ใครจะกล้าขายมัน
ใครก็ตามที่ขายมันจะโดนไล่ล่าจากใต้สุดขึ้นเหนือโดยยายเฒ่า
“ข้าชิงมันมาจากเด็กสาวผมม่วง”เหลียงจู้อธิบาย“ข้าไม่ใช่ผู้บ่มเพาะกระบี่ และไม่รู้เกี่ยวกับกระบี่มาก ข้าได้แต่บอกว่านี่ควรเป็นของที่ขายได้ราคาดี เถ้าแก่น้อย เจ้าว่ามันมีค่ามากแค่ไหน?”
เย่อันผิงลังเล“กระบี่นี้ควรหลอมจากหินดำทั้งก้อน”
‘หินดำ?หินดำอะไร?”
“หินดำคือของหายากมากที่บรรจุพลังปราณและจะถูกใช้ตอนหลอมสร้างกระบี่จิตวิญญาณ”
“อา งั้น..>”เหลียงจู้แสดงความเข้าใจและถาม“มันมีค่ามากแค่ไหน?”
เย่อันผิงสังเกตสีหน้าของเหลียงจู้ และพอเห็นว่าเขาไม่รู้ว่าหินดำคืออะไรจริงๆ เขาก็โล่งใจ
แต่ เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันมีค่าเป็นล้านหินปราณ เหลียงจู้อาจจะตกใจจนหัวใจวายได้
หลังหยุด เขาก็หัวเราะ.“ยังไงซะ มันก็มีค่ามากถ้าประมูลมันที่ตลาดมืด ถ้าหาผู้ซื้อได้ ท่านสามารถขายมันได้ในราคาหมื่นหินปราณเลย.”
“หมื่นหินปราณ?กระบี่นี่มีค่าขนาดนั้นเชียว?”
“แน่นอน”
เย่อันผิงพยักหน้า ขณะที่เหลียงจู้จดจ่อกับการบิน เขาก็รับกระบี่กลับ ชั่งมันและพูดติดตลก“ดูเหมือนพวกน้องสองจะไม่ได้ตายเปล่า ฮ่าๆๆ..เจ้าคิดว่าไง เถ้าแก่น้อย?”
“ข้าคิดว่าไง?”เย่อันผิงเลิกคิ้ว“จริงๆแล้ว ข้าค่อนข้างผูกพันกับพี่สองและคนอื่นระหว่างสามวันนี้ เราควรจะทำป้าหยินให้พวกเขาและเผาธูปให้พวกเขาตอนเรากลับไป”
“ฮ่าๆ..ตามนั้น”
พวกเขาขี่กระบี่บิน ออกจากภูเขาหลังสำนักดาวดำไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น