Chapter 157: The Sect Master's Dao Companion, Guest of the Immortal Mist Sect
ไม่นานนัก นำโดยผู้อาวุโสเหรินฮุ่ย โจวสุ่ยและคนอื่นๆ ก็มาถึงยอดเขาที่ใหญ่ที่สุดของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์นั่นคือ ยอดเขาเซียนหลิงซึ่งเป็นภูเขาหลักที่เจ้านิกายเท่านั้นที่อาศัยอยู่ได้
นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดของเส้นเลือดวิญญาณ ระดับสาม ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีพลังวิญญาณเข้มข้นที่สุด
(ผมขอสารภาพว่า ผมขัดใจเส้นเลือดวิญญาณมากใครมีคำแนะนำแจ้งหน่อย คือตรงนี้บริบทมันต้องเส้นลมปราณมากกว่า แต่มันจะไปซ้ำกับ เส้นลมปราณในร่างกาย ไอคำว่าพลังวิญญาณจริงๆต้องใช้พลังลมปราณมากกว่า เพราะการที่จะเลื่อนขั้น พระเอกมันต้องรวมลมปราณ ประมาณนี้ครับ ไว้ถ้าผมหาคำแก้ได้ค่อยแจ้ง)
ทันทีนั้น เล่งอวี้ซี ที่สวมชุดกระโปรงยาวสีขาวคาดเอวก็รออยู่ในพระราชวังมาเป็นเวลานานแล้ว
เมื่อเธอเห็นโจวสุ่ยปรากฏตัว สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
แต่เมื่อเธอเห็นเหล่าศิษย์ของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่รอบๆ เธอก็อดกลั้นไว้ได้
ท้ายที่สุด ในฐานะประมุขนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์เธอมีตำแหน่งสูงและไม่สามารถเสียหน้าได้
"ฮึ่ม ลำบากผู้อาวุโสเหรินฮุย แล้วนะ เมื่อคนมาถึงแล้ว ก็เชิญพวกเจ้าลงไปเถอะ"
เล่งอวี้ซีโบกมือ
"ครับ เจ้านิกาย"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ผู้อาวุโสเหรินฮุยและคนอื่นๆ ก็รู้งาน รีบออกจากยอดเขาเซียนหลิงทันที
ขณะนี้พระราชวังอันกว้างขวางเหลือเพียงโจวสุ่ย จี ชิงหยู มู่ซื่อเหยียน เซีย จิงหยาน และเล่งอวี้ซีเท่านั้น
"สามี ฉันรอคุณมามากแล้ว"
เล่งอวี้ซีพุ่งเข้ากอดโจวสุ่ย ใบหน้าของเธอแดงก่ำ
ทันใดนั้น กลิ่นหอมจางๆ ก็ลอยเข้าจมูกของโจวสุ่ย ทำให้เขาใจสั่นและมีความสุขมาก
"ฉันไม่คาดคิดจริงๆ ว่าในเวลาเพียงหนึ่งเดือน คุณจะกลายเป็นประมุขนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์"
โจวสุ่ยถอนหายใจด้วยอารมณ์ รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเร็วเกินไปจริงๆ
เพียงแค่หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขายังคงเป็นผู้บ่มเพาะอิสระ สต้องหลบหนีในหุบเขาเมฆหมอก
ในพริบตาเดียว เขากลายเป็นแขกของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์
"ฉันเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้"
เล่งอวี้ซีพยักหน้า เธอเล่าเหตุการณ์ในช่วงเดือนที่ผ่านมาอย่างละเอียด โดยส่วนใหญ่คล้ายกับสิ่งที่ผู้อาวุโสเหรินฮุ่ยพูด แต่เธอได้เพิ่มรายละเอียดเพิ่มเติม
ในขณะเดียวกัน เธอยังเปิดเผยข่าวการเสียชีวิตของผู้เฒ่าสูงสุดและพ่อของเธอ
ปัจจุบันนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์เหลือเพียงเธอผู้เดียวที่เป็นผู้บ่มเพาะ แกนทอง
"เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น นิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์คงจะตกอยู่ในอันตรายอย่างมาก"
"ถ้ามันถูกค้นพบโดย นิกายเงาปิศาจ, หุบเขาหวงเฟิง และนิกายอื่นๆ มันคงจะเลวร้ายยิ่งกว่า"
โจวสุ่ยขมวดคิ้ว
เดิมที นิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์กำลังเฟื่องฟู มีผู้บ่มเพาะ แกนทอง สามคน เรียกได้ว่าไม่มีใครเทียบได้"
แต่ใครจะคาดคิดว่าในพริบตาเดียว ผู้บ่มเพาะ แกนทอง สองคนจะเสียชีวิต
ผู้ที่เหลืออยู่ก็ยังเป็นผู้บ่มเพาะ แกนทอง ที่เลื่อนระดับได้ไม่นานอย่างเล่งอวี้ซี
ถ้าหากนิกายอื่นรู้เรื่องนี้ แน่นอนว่าจะต้องก่อให้เกิดปัญหา
"ไม่ต้องกังวล ตอนนี้โลกภายนอกยังไม่รู้ข่าวการเสียชีวิตของพ่อฉัน"
"เรื่องนี้มีเพียงฉันและพวกเธอเท่านั้นที่รู้ ส่วนที่เหลือของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์จะไม่รู้ตัว"
"ผู้บ่มเพาะ แกนทอง ปิดตัวฝึกฝนเป็นเวลาหลายสิบปีก็เป็นเรื่องปกติ"
"ดังนั้น ฉันคาดว่าจะสามารถปกปิดมันได้เป็นเวลาสามสิบถึงห้าสิบปีโดยไม่ให้คนนอกรู้"
เล่งอวี้ซีกล่าวด้วยถอนหายใจ
"สามถึงห้าสิบปีเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เลว"
โจวสุ่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ท้ายที่สุด ถ้าเขาบ่มเพาะอย่างสงบเป็นเวลาห้าสิบปี เขาก็อาจจะสามารถก้าวไปสู่ระดับแกนทอง ได้
เมื่อถึงตอนนั้น แม้ว่านิกายอื่นๆ จะรู้ว่านิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์มีผู้บ่มเพาะ แกนทอง เหลืออยู่เพียงคนเดียว ก็คงไม่เป็นไร
เพราะในตอนนั้น เขาคงเติบโตขึ้นแล้ว
"พี่เล้ง ฉันสามารถอ่านตำราการวางค่ายกลต่างๆ ของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม"
เซีย จิงหยานถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เพราะตำราการวางค่ายกลที่เธอมีนั้นถึงระดับสองเท่านั้น และขาดความรู้แบบแผนจำนวนมาก หากเธอสามารถอ่านตำราการวางค่ายกลของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ได้ เธอก็น่าจะได้ประโยชน์อย่างมาก
"ได้สิ ไม่ใช่แค่ตำราของการวางค่ายกล คุณสามารถอ่านตำรายันต์ ยา และอื่นๆ ได้อย่างอิสระ"
“นอกจากนี้ นิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ของเรามีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ไม่เพียงแต่เรามีตำรา ระดับสองเท่านั้น แต่เรายังมีตำราระดับสาม ในระดับแกนทอง และแม้แต่ตำราระดับสี่ แยกวิญญาณ”
"ท้ายที่สุด นิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ของเราเคยเป็นนิกายแยกวิญญาณมาก่อนและ วิชาเซียนหลิง ของเรายิ่งเป็นวิชาขั้นสูงที่สามารถก้าวถึงระดับ แยกวิญญาณ ได้ นอกจากนี้ สำนักเรายังเคยรวบรวมตำราระดับสี่มาไว้มากมาย"
"น่าเสียดาย เนื่องจากการลดระดับของเส้นเลือดวิญญาณบนเกาะเซียนหลิงเราจึงสามารถมีเส้นเลือดวิญญาณ ระดับสาม ได้มากที่สุดเท่านั้น"
"หากคุณต้องการเป็นผู้บ่มเพาะ แยกวิญญาณคุณจะต้องออกจากเกาะเซียนหลิงและมุ่งหน้าลึกเข้าไปในทะเลคังหลั่น เพื่อไปถึงเกาะระดับสี่ อื่นๆ"
เล่งอวี้ซี ยิ้มเล็กน้อย
"เยี่ยมมาก"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จี ชิงหยู มู่ซื่อเหยียน และเซีย จิงหยานก็มีความสุขอย่างมาก
พวกเธอเคยเป็นผู้บ่มเพาะอิสระมาก่อน และถึงแม้ว่าพวกเธอจะเลื่อนระดับ สร้างรากฐานแล้ว แต่พวกเธอก็ยังไม่มีความรู้มากมายเกี่ยวกับการบ่มเพาะ
แต่นิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกต่างกัน มันเก็บความรู้ที่สืบทอดกันมาช้านานจำนวนมากไว้
หากพวกเขาสามารถเรียนรู้ในนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างเป็นระบบ แน่นอนว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมาก
(คือมันจะสื่อว่า เรียนในระบบนิกาย เหมือนระบบโรงเรียน มีคนสอนมีเทคนิค ดีกว่าเรียนมั่วด้วยตัวเองเหมือนพวกผู้บ่มเพาะอิสระลองผิดลองถูก แต่ผมหาคำไม่ถูกแต่อธิบายประมาณนี้)
เมื่อถึงตอนนั้น พวกเธอก็จะมีความมั่นคงมากขึ้นในการเลื่อนระดับผู้บ่มเพาะแกนทอง
"ตำราการวางค่ายกลของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์?"
โจวสุ่ยก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ตำราการวางค่ายกลต่างๆ ของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเป็นอาหารชั้นเลิศอย่างแน่นอน ทำให้กู่หนังสือ ได้รับพลังงานจำนวนมาก และช่วยเขาเพิ่มพูนปัญญาไปด้วย
มันเหมือนกับเซียนในแดนสวรรค์
โชคดีที่คู่หูเต๋าของเขาเป็นประมุขนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์และมีอำนาจอย่างมาก
ดังนั้น เขาจึงอ่านได้โดยไม่จำกัด
หากเขาเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์คงต้องเสียค่าตอบแทนเป็นจำนวนมาก จึงจะแลกได้
เช่นนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน
"คุณไม่ต้องรีบอ่านตำราของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์"
"ให้ฉันพาคุณไปดูวังต่างๆ ที่นี่บน ยอดเขาเซียนหลิง ก่อน"
"ท้ายที่สุด ยอดเขานี้จะเป็นที่พำนักของเราในอนาคต และหากไม่มีคำสั่ง ไม่มีใครกล้ารบกวนเราบนยอดเขาหลัก สถานที่นี้จะเป็นสวรรค์ของเราในอนาคต"
เล่งอวี้ซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“งั้นก็พาฉันไปดูห้องนอนที่นี่ก่อนสิ”
โจวสุ่ยยกเล่งอวี้ซี ผู้บ่มเพาะหญิงระดับแกนทอง คนนี้ขึ้นในอ้อมแขน
หากศิษย์ของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นฉากนี้ พวกเขาคงต้องอึ้งไป
ประมุขนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ ผู้เย็นชาและไม่สามารถล่วงเกินได้ กลับดูเขินอายเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ
นี่จะต้องเป็นข่าวใหญ่ของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ และก่อให้เกิดความปั่นป่วนอย่างใหญ่หลวงอย่างแน่นอน
...
ในขณะนี้ ข่าวการเข้าร่วมนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ของโจวสุ่ยและคนอื่นๆ ได้สร้างความตกใจให้กับนิกายทั้งหมดอย่างสมบูรณ์
ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าระดับ สร้างรากฐานหรือศิษย์ระดับ รวมลมปราณ พวกเขาทั้งหมดต่างตกใจกับข่าวนี้
ท้ายที่สุด ในฐานะประมุขนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะ แกนทอง การนำคู่หูเต๋ากลับมาถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
สิ่งนี้อาจสั่นคลอนอนาคตของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาหลายร้อยปี
ทุกคนต่างจับตามองว่าเรื่องนี้จะพัฒนาไปอย่างไร
ได้ยินไหม? ผู้อาวุโสเหรินฮุ่ยลงมาจากยอดเขาด้วยตัวเองเพื่อนำคู่หูเต๋าของประมุขนิกายกลับไปนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง ข่าวนี้ถูกส่งมาอย่างลับๆ
"จริงเหรอ? คู่หูเต๋าของประมุขนิกาย? แต่พวกเขาไม่ได้บอกว่าประมุขนิกายยังโสดเหรอ? ฉันไม่เคยได้ยินข่าวประมุขนิกายมีผู้ชายเลย ฉันคิดว่าประมุขนิกายเป็นผู้บ่มเพาะและไม่ต้องการคู่หูเต๋าเลย"
ศิษย์หลายคนของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ต่างตาเหลือก แทบไม่เชื่อ
เพราะเล่งอวี้ซีเปรียบเสมือนดอกบัวศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์บนยอดเขาสูงของนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถแตะต้องได้และไร้ตำหนิ มีเพียงเพื่อให้ชื่นชมจากระยะไกล เท่านั้น
ไม่เคยมีข่าวลือเรื่องรักๆ ใคร่ๆ
แต่ตอนนี้ กลับมีคู่ครองขึ้นมาเงียบๆ ใครๆ ก็ต้องรู้สึกตกใจ
…………
ในอีกด้านหนึ่ง เหล่าศิษย์นิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ต่างก็เริ่มคาดเดาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโจวสุ่ยและเล่งอวี้ซี
บางคนคิดว่าพวกเขาคงจะรู้จักกันมาเป็นเวลานานแล้ว และเพิ่งมาเปิดเผยตัวตนกันตอนนี้
บางคนคิดว่าพวกเขาเพิ่งรู้จักกันไม่นานมานี้ และเพิ่งตกหลุมรักกัน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องนี้ก็สร้างความฮือฮาให้กับนิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก
เหล่าศิษย์นิกายหมอกศักดิ์สิทธิ์ต่างก็อยากรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะดำเนินต่อไปอย่างไร