1332 - จุดเริ่มต้นและจุดจบ
1332 - จุดเริ่มต้นและจุดจบ
นักพรตหลิงเป่าอธิบายอย่างรวดเร็วว่า โลงศพเก้ามังกรได้รับความสนใจจากสำนักต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก แน่นอนว่าผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนั้นล้วนถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น
ในวันที่จิ่วหลงจากไป แม้แต่ผู้มีอำนาจจากดินแดนตะวันตกก็ยังเดินทางมาด้วยตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงผู้ยิ่งใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก
ในเหตุการณ์ครั้งนั้นตัวตนของเย่ฟ่านและเพื่อนๆ ทุกคนก็ถูกเปิดเผยออกมา ตระกูลผังป๋อเองก็ตกเป็นเป้าหมายของใครบางคน และในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้ว่าเด็กน้อยคนนั้นเป็นเชื้อสายของเทพอสูรผู้แข็งแกร่ง
เย่ฟ่านพยักหน้าและขอให้เขาอธิบายทุกอย่างว่าในโลกนี้มีเทพอสูรอยู่กี่ตนกันแน่ และในปัจจุบันตระกูลของพวกเขาอยู่ที่ไหนบ้าง
“หลักๆ คือวิหคมังกรแห่งต้าเซี่ย ถ้ำมังกรโบราณเทียนหลิน เชื้อเทพอสูรแห่งจู้หวง และหุบเขาหมื่นอสูร ส่วนตระกูลอื่นๆ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
หลังจากนักพรตหลิงเป่าลังเลอยู่เล็กน้อย ในที่สุดเขาก็บอกว่าผู้ที่จะให้คำตอบเรื่องของผังป๋อได้ดีที่สุดก็คือเทพอสูรจากแดนตะวันตกที่ปรากฏตัวขึ้นคนนั้น
“อย่างไรก็ตาม เจ้าต้องระวังด้วย!”
นักพรตหลิงเป่าให้ศิษย์ของเขาไปนำของขวัญที่เตรียมไว้สำหรับเย่ฟ่านออกมา มันเป็นกล่องไม้ใบหนึ่ง
สิ่งที่อยู่ภายในคือรูปขาวดำที่เก่าแก่อย่างมาก
ในข่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เทพอสูรได้ปรากฏตัวขึ้นในสนามรบอย่างกะทันหัน มันใช้แก่นแท้โลหิตของผู้คนจำนวนมากที่ตายอยู่ในสนามรบหล่อเลี้ยงตัวเองทำให้ความแข็งแกร่งของมันคงพยานขึ้นไปอีกขั้น
ภาพขาวดำนี้ถ่ายโดยมนุษย์ในสมัยนั้น เคยมีผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งหลายคนศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และพวกเขาก็เกิดความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
ในภาพถ่ายมีแสงสลัวพร่ามัวมาก เลือดในร่างกายของเย่ฟ่านสั่นไหวเบาๆและมีความขยะแขยงต่อภาพใบนี้อย่างยิ่ง
เย่ฟ่านจ้องมองรูปถ่ายแล้วพยักหน้าเงียบๆ นี่เป็นอสูรโบราณที่น่ากลัวมาก วิญญาณของผู้กล้าหลายคนที่เสียชีวิตในอดีตจะทำให้อสูรตนนี้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมากที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบอกให้นักพรตหลิงเป่าว่าอย่าเปิดเผยเรื่องของเขาออกไป โดยเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับฐานการบ่มเพาะ
จากนั้นเย่ฟ่านก็ถามถึงตระกูลของเทพอสูรทั้งสี่ว่าอยู่ที่ไหนบ้าง
“สหายน้อยโปรดวางใจ จะไม่มีใครรู้เรื่องของเจ้าอย่างแน่นอน”
นักพรตหลิงเป่ารู้แค่บางเรื่อง แต่ไม่รู้เรื่องดินแดนลับที่แท้จริงของเทพอสูรทั้งสี่ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งต้องห้าม การเข้าไปใกล้มากเกินอาจนำไปสู่หายนะได้
แม้เย่ฟ่านจะไม่สามารถเข้าใกล้เก้าญาณวิเศษลึกลับ แต่การมาที่สำนักหลิงเป่าในครั้งนี้ทำให้เขามีโอกาสเรียนรู้เรื่องการบ่มเพาะของผู้คนในโลกนี้มากมาย
ก่อนที่จะออกไป เย่ฟ่านหยุดมองชายที่มีปีกกำลังบินลงมาในระยะไกล และมีหมอกสีดำอยู่ใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
ท่าทีของผู้อาวุโสของสำนักหลิงเป่าเปลี่ยนไปทันที ชายคนนั้นเป็นยอดฝีมืออาณาจักรสี่สุดขั้วขั้นสูงสุด คลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาเพียงพอที่จะเขย่าฟ้าดินอย่างแน่นอน
ชายที่มีปีกคนนั้นบอกว่าสำนักหลิงเป่าเคยแย่งชิงสมบัติบางส่วนมาจากภูเขาไท่ซาน เขาต้องการดูว่าสมบัติชิ้นนั้นคืออะไร หากมันเป็นสิ่งที่เขาต้องการเขาจะนำกลับไปด้วย
“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าคนผู้นี้มีกลิ่นอายคล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์โบราณในตงหวง?” เย่ฟ่านกล่าว
“พวกเขาเป็นคนของดินแดนตะวันตก” นักพรตหลิงเป่าตอบ
“เจ้าเป็นใคร แล้วมาที่นี่ทำไม?”
ชายผู้มีปีกสีเทาร่อนลงมาจากท้องฟ้าและจ้องมองเย่ฟ่านอย่างไม่พอใจ
“ไม่สำคัญว่าข้าเป็นใคร เจ้ามาจากเยรูซาเล็มหรือ?” เย่ฟ่านจ้องมองอีกฝ่ายและกล่าวอย่างเย็นชา
“ไม่มีผู้บ่มเพาะจากตะวันออกคนใดกล้าเหยียบย่ำเข้าไปในเมืองศักดิ์สิทธิ์ของเราหลายร้อยปีแล้ว…”
ชายผู้มีปีกตะปบกรงเล็บเข้าหาเย่ฟ่านอย่างโหดร้าย
“ปัง!”
ร่างของชายมีปีกกระเด็นกลับไปทางด้านหลัง แขนข้างขวาของเขากลายเป็นหมอกเลือดโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
“ใครกัน…เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ชายผู้มีปีกตกใจมาก เห็นได้ชัดว่าเย่ฟ่านนั้นทรงพลังมากเกินไป เขาไม่เคยเห็นใครแข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน!
เย่ฟ่านไม่ได้สนใจท่าทีของอีกฝ่าย เขาทะลวงนิ้วเข้าสู่ทะเลศักดิ์สิทธิ์ของชายผู้มีปีกและทำการค้นวิญญาณอย่างโหดร้าย
“ดูเหมือนฝั่งตะวันตกจะมีปราณสวรรค์พิภพแข็งแกร่งมากกว่าฝั่งตะวันออกหลายเท่า!” เย่ฟ่านยิ้มด้วยความพอใจ
“เจ้าเป็นใครกันแน่ รีบปล่อยข้า ไม่อย่างนั้นเมื่อจอมเทพของเราเกิดความไม่พอใจเจ้าจะไม่สามารถรับผิดชอบได้” ชายผู้มีปีกสีสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“ปัง!”
เย่ฟ่านตบศีรษะของชายผู้มีปีกจนแหลกละเอียดในฝ่ามือเดียว สิ่งมีชีวิตระดับสี่สุดขั้วนั้นไม่คู่ควรที่จะหิ้วรองเท้าให้เขาด้วยซ้ำ
การที่คนประเภทนี้กล้าร่ำร้องอยู่ต่อหน้าเย่ฟ่านย่อมไม่แตกต่างอะไรจากการรณหาที่ตาย
ผู้คนที่อยู่รอบๆไม่กล้าขยับตัว พวกเขาแอบดีใจที่ไม่ได้ทำให้เย่ฟ่านขุ่นเคือง
“ดินแดนตะวันตกน่าสนใจอย่างยิ่ง ข้าจะต้องไปที่นั่นให้ได้” เย่ฟ่านพูดกับตัวเองและหายตัวไปพร้อมกับกว๋อเจินและเสี่ยวซงทันที
ไม่กี่วันต่อมา เขาก็เดินทางไปถึงภูเขาฉางไป๋เพื่อค้นหาทายาทของเทพอสูรที่ยังรอดชีวิตอยู่
ภูเขาฉางไป๋ที่มีภูมิประเทศที่งดงาม เป็นสถานที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยโบราณ นี่เป็นหนึ่งในสิบภูเขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของจีน มันเป็นภูเขาที่สูงที่สุดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ช่วงปลายฤดูหนาวเข้าใกล้ฤดูใบไม้ผลิ แต่ฉางไป๋ยังถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่ตกหนัก ภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวหนาหลายวา
“ต้นสนนับหมื่นมีความสูงถึงยอดเขา ถือว่าเป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลก!”
นี่เป็นคำชมจากคนในสมัยโบราณ ยอดเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสูงตระหง่านสง่างาม หินบนภูเขาส่วนใหญ่จะเป็นหินภูเขาไฟพวกมันจึงมีลักษณะสีขาวแตกต่างจากก้อนหินในสถานที่อื่นๆ
ไม่รู้ว่าต้นสนแต่ละต้นเติบโตมาได้กี่ปีแล้ว พวกมันตั้งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า บางต้นถึงกับมีส่วนปลายซ่อนอยู่ในก้อนเมฆอีกด้วย
เสี่ยวซ่งมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษเมื่อมาถึงดินแดนนี้ ขนสีม่วงของมันเปล่งประกายแวววาวในขณะที่จ้องมองต้นสนด้วยความตื่นเต้น
“ในประเทศจีนมีป่าเก่าแก่แบบนี้อยู่ด้วยหรือ?”
กว๋อเจินประปลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาถึงภูเขาฉางไป๋ ภูมิประเทศเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ ยอดเขาที่มีหิมะสุมหนาก็มีความสูงผิดปกติอย่างมาก
เย่ฟ่านไม่ได้พูดอะไรออกไป เขากำลังมองหาบางสิ่งอย่างด้วยความระมัดระวัง ในบางครั้งเขาจะหลับตาลงเป็นครั้งคราวและรับรู้ด้วยจิตวิญญาณ จากนั้นเขาก็นำทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังหน้าผาแห่งหนึ่ง
กว๋อเจินไม่กล้ารบกวน เขารู้ว่าที่นี่จะต้องมีพลังโบราณบางอย่าง และเย่ฟ่านกำลังจะค้นหาดินแดนลับแห่งนั้นด้วยพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง
ทันใดนั้นโลกก็กลับตาลปัตร ทิวทัศน์ที่สวยงามเปลี่ยนไปเป็นความทุรกันดาร พวกเขาเข้าไปในดินแดนรกร้างที่ไม่มีใครรู้จัก เห็นได้ชัดว่านี่เป็นโลกใบเล็กใบหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่ในภูเขาฉางไป๋
“เราอยู่ที่ไหน? ผมเคยเรียนในวิทยาลัยและมั่นใจว่าสถานที่แห่งนี้จะต้องไม่มีอยู่ในแผนที่ประเทศจีนอย่างแน่นอน” กว๋อเจินรู้สึกประหลาดใจ
หลังจากที่ออกมาจากภูเขาเก่อเจา เขายังคงติดตามอยู่ด้านหลังของเย่ฟ่าน หลังจากที่เขาได้ทำความคุ้นเคยกับเย่ฟ่านแล้วท่าทางของเขาก็เป็นธรรมชาติอย่างมาก ต่างจากผู้อาวุโสของสำนักหลิงเป่าที่ระมัดระวังหวาดกลัวเย่ฟ่าน
เย่ฟ่านสัมผัสได้ว่าชายคนนี้มีบุคลิกที่ดีและเป็นคนซื่อสัตย์ ดั้งนั้นจึงพากว๋อเจินและเสี่ยวซ่งมาที่ภูเขาฉางไป๋ด้วย
“นี่คือโลกใบเล็กที่ซ่อนอยู่ในภูเขาฉางไป๋ สถานที่ที่คุณเคยเห็นนั้นเป็นเพียงส่วนนอกของภูเขาฉางไป๋” เย่ฟ่านพูด
กว๋อเจินรู้สึกประหลาดใจอย่างมากแต่เขารู้ดีว่าเย่ฟ่านพูดความจริง
“โฮก!!!”
เสียงคำรามของเสือดังก้องกังวาลไปทั่วทั้งภูเขา หิมะบนต้นสนตกลงมาปกคลุมต้นไม้เล็กๆ จากแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากคลื่นเสียง
กระรอกน้อยสีม่วงที่กำลังเก็บเมล็ดต้นสนใต้หิมะตกใจเป็นอย่างมาก ในเวลาต่อมาก็มีเสือตัวใหญ่กระโดดออกมาจากถ้ำและส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง
“เสือตัวนี้ตัวใหญ่มาก มันยาวเกือบสี่เมตรหนักมากกว่าแปดร้อยกิโลกรัม มันเป็นอสูรวิญญาณหรือไม่?” กว๋อเจินพูด
“เสือโคร่งสายพันธุ์นี้มีขนาดใหญ่โตอย่างยิ่ง ในอดีตสภาพโซเวียตเคยจับเสือโคร่งไซบีเรียตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติได้ พวกเขายังคิดว่ามันเป็นเสือสายพันธุ์โบราณและน่าจะสูญพันธุ์ไปจากโลกหลายปีแล้ว” เย่ฟ่านพูด
……..