ตอนที่ 81 อัคมาร์
“คงเรียบร้อยหมดแล้ว กรีมัวร์ฝีมือตกไปเยอะ”
ร่างในชุดขุนนางสีแดงมองออกไปนอกหน้าต่างด้านขวามือ แสงสีและร่องรอยของการต่อสู้ในระดับตำนานอุบัติขึ้นในทิศทางนั้นเมื่อห้านาทีก่อน มันบรรจงยกแก้วไวน์ในมือขวาขึ้นจิบ เปลวไฟสีเขียวลุกท่วมอยู่บนศรีษะที่มีเขาแพะมหึมาคู่หนึ่ง ฟันแหลมคมเหมือนใบมีดเรียงแน่นอยู่เต็มปาก มันเอาลิ้นสีเลือดเลียไปที่ขอบแก้วในมืออย่างหิวกระหาย
“ฝีมือตกหรืออัคมาร์ ต่อให้เป็นเจ้าข้าก็ไม่เชื่อว่าสามารถต้านทานระดับตำนานอย่างพระคาร์ดินัลโวโลเดอเมอร์ได้มากกว่านาง อย่าลืมว่านี่คือเฮอราบอสไม่ใช่อาณาจักรวอร์ล็อคของเรา พวกเขาสามารถหาได้ทุกอย่างที่ต้องการในดินแดนของตนเอง”
ตรงข้ามกับร่างในเปลวเพลิงสีเขียวที่ถูกเรียกว่าอัคมาร์ ปีศาจร้ายที่มีปากกว้างจรดใบหู ไร้ดวงตาและจมูก สวมชุดคลุมสีดำปกปิดตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า นั่งจิบไวน์อยู่อย่างสบายใจ ห้องที่พวกมันใช้อยู่ตอนนี้เคยเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดในแถบตะวันออกของเฮอราบอส
“บูซี้เพื่อนรัก ดูเหมือนเจ้าจะกังขาในความสามารถของข้าอยู่พอสมควร อย่าได้โมโหโทโสไปมากกว่านี้ ข้ารู้ว่าเจ้ากับกรีมัวร์ไม่ได้มีความแค้นกัน แต่เราไม่มีทางเลือกในเมื่อนางไม่ยินยอมมอบมรดกที่ควรเป็นของข้า นางก็มีแต่หนทางตายเท่านั้น”
“เจ้าช่างเผด็จการ”
บูซี้ พัศดีเรือนจำแห่งฝันร้ายพูดประชด
“เจ้าอย่าลืมว่ากรีมัวร์เป็นหนึ่งในมุขมนตรีที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมด้วย อย่างไรก็ต้องกำจัดนางไปอยู่ดี”
อัคมาร์วนแก้วไวน์ในมือมันหลายรอบ เสียงกระทบกันระหว่างของเหลวสีแดงและแก้วไวนืเนื้อดีดังออกมาเป็นจังหวะ ภายใต้แสงเทียนหลายสิบเล่มในห้องสวีทหรูหรากลิ่นคาวของโลหิตนั้นแจ่มชัดในอากาศ
“ก็ถูกต้องแต่ไม่ใช่ว่าต้องฆ่านางสักหน่อย”
บูซี้ยังคงรู้สึกผิดต่อหญิงชรากรีมัวร์อยู่บ้าง ในความทรงจำอันยาวนานของเขาแม้หญิงชรานางนี้จะไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเขามากนักเพราะรูปลักษณ์และหน้าที่ของบูซี้นั้นเป็นอุปสรรคกับการผูกมิตรกับมุขมนตรีคนอื่น แต่เขายังคงมีความประทับใจบางอย่างกับนาง ในความรู้สึกลึกๆ กรีมัวร์มีความเป็นเพศแม่สูงมากแม้แต่คนที่ทำงานร่วมกันอย่างเขาก็สัมผัสได้
“เราไม่ได้ฆ่านาง ศาสนจักรต่างหาก แด่กรีมัวร์อดีตโอษฐ์และมุขมนตรีแห่งวอร์ล็อคลำดับที่แปด”
อัคมาร์ยกแก้วไวน์ไปด้านหน้าเขากำลังจะชนแก้วไวน์ของตนเองกับพัศดีผู้มีสีหน้าเศร้าหมองที่นั่งตรงข้าม(อันที่จริงใบหน้าของบูซี้แสดงอารมณ์ไม่ได้ แต่อัคมาร์รู้ว่าเขากำลังเศร้าอยู่แน่นอน)
บูซี้ยกแก้วไวน์ไปด้านหน้าเช่นกันอย่างช่วยไม่ได้ เสียงกระทบกันของแก้วราคาแพงดังก้องอยู่ในห้องหลังจากนั้นอีกครู่หนึ่ง
“ว่าแต่เจ้าใช้วิธีอะไรในการส่งข่าวไปถึงพระคาร์ดินัลคนนั้น”
“ข้าใช้โสเภณีชายคนหนึ่งในโรงชำเราบุรุศที่ขึ้นชื่อของจักรวรรดิ เขาน่ารักมากทีเดียว เสียดายที่ช่างสอดรู้สอดเห็นมากไป”
บูซี้ถอนหายใจออกมา บ่งบอกว่ามันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
“เจ้าชอบผู้ชายด้วยหรือ?”
อัคมาร์ขมวดคิ้วมุ่น เปลวเพลิงบนหัวของมันสั่นไหวไปมาตามอารมณ์
“ข้าชอบเสียงร้องของพวกเขาก่อนตายต่างหาก เสียงร้องด้วยควาทุกข์ทรมานยามที่ข้ายัดแขนทั้งดุ้นลงไปในร่างพวกเขาและฉีกทึ้งมันจากภายใน แหม ช่างน่างอภิรมย์เสียเหลือเกิน”
คราวนี้อัคมาร์กลับไม่แปลกใจอะไร สีหน้าของเขาคล้ายบอกว่าพัศดีวิปริตคนนี้ทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว และควรทำเป็นกิจวัตร
“น่าเสียดาย ข้าอยากกินเนื้อของชายหนุ่มรูปงาม เอาจริงข้าก็อยากกินเอเลนอร์ของสมเด็จพระสันตะปาปา ข้าอยากรู้ว่าเนื้อของมันจะอ่อนนุ่มและแสบร้อนเพราะน้ำศักดิ์สิทธิ์ของไอ้เฒ่านั่นที่ฉีดรดเข้าไปในร่างทุกวันหรือเปล่า ฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะของตัวประหลาดทั้งสองดังซ้อนทับกันเป็นเสียงแห่งความชั่วร้ายที่ทำให้คนฝันร้ายได้แม้แต่การได้ยินเพียงเล็กน้อย
“อันที่จริงนะอัคมาร์ เจ้าได้กินผู้ชายคนนั้นแล้ว” บูซี้ชูแก้วไวน์ไปด้านหน้า “เจ้าคิดว่าในแก้วนี้คือเลือดของใครกันล่ะ”
“ช่างร้ายกาจนักบูซี้ แต่ข้านึกว่าเป็นเลือดของศพตรงหน้าประตูห้องน้ำเสียอีก”
อัคมาร์หันไปมองด้านหลังของมัน ใต้เงาของเปลวเทียนที่วูบไหวมีร่างของเด็กชายอายุสิบเจ็ดคนหนึ่งนอนอยู่ ผิวของเขานั้นขาวราวหิมะ ริมฝีปากแดงสดดุจเชอร์รี่ ขนตายาวงอนเป็นแพดำขลับ เขาจัดได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มที่งดงามคนหนึ่ง
“เปล่านั่นลูกของเจ้าของโรงแรม”
“โอ่ บูซี้ พ่อเขาจะมาหักคอเจ้าแน่”
อัคมาร์ยิ้มเยาะอย่างสนุกสนาน
“ไม่หรอกอัคมาร์ เขามาหักคอข้าไม่ได้แล้วล่ะ”
พัศดีเรือนจำแห่งฝันร้ายลุกจากโซฟาหนังลูกวัวที่มันนั่งอยู่เดินออกไปยังหน้าต่างบานใหญ่ด้านซ้ายมือ ร่องรอยของพลังเวทมนตร์ระดับตำนานถูกสลายหายไปจนหมดสิ้นได้สักพักแล้ว มันคาดว่าศาสนจักรคงจัดการลบทุกสิ่งทุกอย่างให้รวดเร็วที่สุด
มันเบนสายตาลงต่ำไปที่ด้านหน้าของโรงแรม ซากศพมากมายนอนเกลื่อนกลาดไปทั่วสวนดอกไม้ที่เคยสวยงามที่สุดในแถบนี้ สีของโลหิตอาบย้อมสนามหญ้าสีเขียวให้กลายเป็นสีแดงอมดำในยามค่ำคืน แสงจันทร์ไม่อาจจสาดส่องลงมาได้เพราะเมฆฝนได้ทอดตัวยาวโอบรัดทั้งเมืองเอาไว้ ในจำนวนซากศพหลายสิบร่างบูซี้เห็นร่างของเจ้าของโรงแรมวัยกลางคนและภรรยาที่นั่งพิงพุ่มไม้อยู่ในสวน คอของพวกเขาหักห้อยลงมาถึงหน้าอก ในรูที่เคยเป็นดวงตานั้นกลวงโบ๋ดำมืด โลหิตมากมายยังคงไหลย้อยลงมาสดๆร้อนๆ
“คืนนี้ฝนคงจะตก เรารีบกลับกันเถอะ”
อัคาร์เห็นฉากด้านล่างแล้ว
“เจ้ามันโรคจิตรจริงๆบูซี้ เมื่อครู่เจ้ายังเห็นใจหญิงชรากรีมัวร์อยู่เลย ข้านึกว่าเจ้าจะมีคุณธรรมสูงส่งเสียอีก”
“คุณธรรมสูงส่งหรืออัคมาร์ มีคนที่คุณธรรมสู่งส่งคนไหนยอมลดตัวมาคบหากับเจ้ากัน มันไม่เหมือนกันอัคมาร์ กรีมัวร์คือคนที่ข้ารู้จัก แต่กับคนด้านล่างพวกเขาคือคนแปลกหน้าสำหรับข้า”
อัคมาร์กระดกของเหลวในแก้วจนหมด มันตอบกลับความเห็นของบูซี้ทันที
“เช่นนั้นเจ้าก็ฆ่าคนแปลกหน้าได้สบายใจมากกว่าฆ่าคนที่รู้จักงั้นรึ เอาเถอะข้าไม่เถียงกับเจ้าแล้ว ตอนที่เบร์โตริโอฉายภาพลงมาข้าสัมผัสได้ว่าเขารับรู้ถึงกลิ่นไอชั่วร้ายของพวกเรา รีบหนีกันดีกว่า”
อัคมาร์ลุกจากโซฟาหนังลูกวัวเช่นเดียวกัน มันเดินตรงไปยังร่างศพของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่ด้านหน้าห้องน้ำ
“แล้วทำไมเจ้าไม่รีบบอกข้า!”
บูซี้กระวนกระวายขึ้นมาทันที เขาจะตายภายในครึ่งลมหายใจหากสมเด็จพระสันตะปาปาทรงลงมือเอง
“ก็ข้าเสียดายเลือดในแก้ว ข้าอยากกินมันให้หมดก่อน” อัคมาร์อุ้มร่างของเด็กหนุ่มขึ้นมาและพินิจอย่างใจเย็น “ช่างงดงามนัก”
มันชี้นิ้วที่มีเล็บสีดำยาวคมไปบนหน้าผากของบุตรชายเจ้าของโรงแรม แสงสีเขียวที่แสบตาพุ่งออกจากนิ้วไปยังร่างในอ้อมแขน มันห่อหุ้มศพเอาไว้ทั้งหมดและย่อส่วนร่างกายให้เล็กลงทุกขณะ เมื่อบูซี้เดินมาถึงตรงที่อัคมาร์ยืนอยู่ ซากศพของสัตว์ร้ายน่าเกลียดน่ากลัวขนาดหนึ่งฟุตก็ปรากฎขึ้นแทนที่ศพของเด็กหนุ่ม มันคือโนมซากศพ สิ่งมีชีวิตที่เกิดจากอำนาจของเวทมนตร์ของอัคมาร์
“ช่างไม่คุ้มค่าอะไรเช่นนี้”
บูซี้เสียดายซากศพดีๆที่กลายเป็นปีศาจร้ายไร้สติปัญญาไปแล้ว อัคมาร์ไม่ตอบโต้อะไรมันมองไปยังทิศทางของมหาวิหารในเมืองหลวงจักรวรรดิ เปลวไฟสีเขียวเริ่มลุกท่วมร่างของมันและบูซี้อย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเปลวเพลิงก็กลืนกินพวกมันสองคนอย่างรวดเร็ว เปลวไฟสีเขียวเผาไหม้อยู่สองวินาทีเต็มก่อนจะยุบตัวหายไปในอึดใจ พวกมันเคลื่อนย้ายหนีไปแล้ว
“มีความคืบหน้าอะไรสินะ คุณถึงมาที่นี่”
ออสบอร์นมองไปยังประธานหอการค้าวอร์ล็อคที่เปิดประตูเข้ามาจากด้านนอก เสียงของบานพับเสียดสีกันเพราะความหนักของประตูดังแว่วเข้ามา
“มีความคืบหน้าจริงๆ หลังจากเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิในแผนกวัตถุเวทมนตร์ทั้งหมดช่วยกันค้นหาตามเบาะแสภาพวาดที่คุณให้มาเราก็สามารถระบุสิ่งของสองในสามได้อย่าถูกต้อง”
เนียสแฟร์เดินเข้ามาหาพ่อมดเฒ่าที่แก่ใกล้ตายภายในห้อง ในมือยังมีภาพวาดที่ออสบอร์นเคยมอบให้เขาถือเอาไว้ด้วย
“เป็นข่าวดีจริงๆ”
ออสบอร์นยันกายลุกขึ้น เขาเอาหมอนพิงไว้ด้านหลังและหยิบน้ำตรงหัวเตียงมาจิบเล็กน้อย เขาไม่อยากกินน้ำเยอะมากเพราะจะทำให้เข้าห้องน้ำบ่อย ออสบอร์นเดินไม่ค่อยไหวแล้วในตอนนี้ เนียสแฟร์ไม่ได้นำคนรับใช้มาให้ออสบอร์น เรื่องของพ่อมดสีเงินมีคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
“อะฮ่า เอาชิ้นนี้ก่อน”
เนียสแฟร์นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงของพ่อมดเฒ่า เขาเปิดดูภาพทั้งสามภาพในมือและหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมาทำท่าส่งไปทางออสบอร์น มันเป็นรูปของกระจกบานหนึ่ง
“สิ่งนี้คือวัตถุเวทมนตร์ระดับศักดิ์สิทธิ์เทียม กระจกโอมเมียร์คอตต์ มันเคยเป็นวัตถุเวทมนตร์ชิ้นสำคัญของกลุ่มผู้เชื่อในเทพพระเจ้าแห่งดวงจันทร์และธารดวงดาวนิรันดร์ พระองค์ได้รับการยืนยันว่าล่วงหล่นไปในช่วงสงครามทวยเทพครั้งที่สอง”
“มันทำอะไรบ้าง และมีข้อจำกัดอะไรหากผู้ทรงพลังระดับต่ำกว่าฝืนที่จะบังคับใช้มัน”
ออสบอร์นเข้าประเด็นสำคัญที่เขารอคอย
เนียสแฟร์กระแอมทีหนึ่งในลำคอและกล่าวต่อทันที เหมือนกำลังพูดสุนทรพจน์ต่อหน้ากลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก
“มันเป็นกระจกที่สามารถส่องให้เห็นทุกสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการ ทั้งเรื่องจริงและลวง ผู้ใช้ต้องวิเคราะห์เอาเองว่าภาพที่มันแสดงให้นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะมันชอบหลอกผู้ใช้อยู่เสมอ ในประวัติศาสตร์อันยาวนานมีผู้คนมากมายที่พบจุดจบที่น่าสังเวชเพราะมัน แต่ก็มีการยืนยันว่าบางครั้งมันก็ซื่อสัตย์ขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด เราสรุปเอาว่ากระจกบานนี้คงเลือกผู้ใช้ตามความชอบส่วนตัวทีไม่มีใครรู้ ส่วนเงื่อนไขนั้นช่างแสนง่ายดาย อย่างที่บอกไปแล้วว่ามันชอบโกหกดังนั้นการใช้งานมันจึงไม่ได้มีเงื่อนไขจำกัดมากนักเพราะใครจะรับประกันได้ว่าสิ่งที่มันบอกนั้นถูกต้อง แม้แต่ในกลุ่มผู้เชื่อของเทพเจ้าองค์นั้นก็ยังลังเลที่จะใช้มัน ตามบันทึกเก่าแก่เท่าที่เราจะพิสูจน์ได้มีเพียงมหาอธิการิณีรุ่นแรกเท่านั้นที่มันไม่เคยหลอกลวง
ฉันเองก็ยากลองใช้มันดูเหมือนกัน ว่ากันว่ามันสามารถแสดงภาพชวนเลือดกำเดาไหลของคนที่เราจินตนาการได้ บางครั้งแสดงยาวนานหลายสิบนาที หรือใช้มันแอบดูหญิงสาวอาบน้ำได้นะ นี่ไม่ดีหรอกหรือหากเรา…”
“เข้าเรื่องเถอะเนียสแฟร์”
ออสบอร์นเริ่มหมดอารมณ์ ประธานหอการค้าใบหน้าร้อนผ่าวอย่างเขินอาย
“นั่นสินะ ฮ่าๆ เงื่อนไของมันก็คือผู้ใช้ต้องอัดพลังเวทย์เข้าไปในตัวมันเมื่อต้องการใช้งาน ระยะเวลาของภาพที่แสดงออกมาจะแปรผันตรงกับพลังเวทย์หรือพลังธาตุที่ใช้ ขั้นต่ำสุดที่สามารถใช้งานมันได้คือผู้ทรงพลังระดับกลาง ก่อนใช้งานต้องท่องคาถาโบราณบทหนึ่ง คาถานั้นก็คือ โอมเมียร์คอตต์ อามาอาโรดอน ที่แปลว่าโอมเมียร์คอตต์โปรดประทานดวงตาแก่ข้า ตามด้วยคำอธิษฐานที่เปี่ยมไปด้วยพลังสมาธิ”
“โอมเมียร์คอตต์คือใคร?”
ออสบอร์นสงสัย
“เข้าก็คือเทพพระเจ้าแห่งดวงจันทร์และธารดวงดาวนิรันดร์ ในคติโบราณดวงจันทร์เปรียบเสมือนดวงตาแห่งโลกเป็นผู้มองเห็นก่อนทุกสิ่งยามที่มีอะไรเคลื่อนผ่านเข้ามา พวกเขาจึงจัดอำนาจแห่งดวงจันทร์เอาไว้ในขอบเขตของพลังอำนาจแห่งการระวังภัยและป้องกันความชั่วร้าย อาจมีบางส่วนที่เกี่ยวกับการทำลายความมืดและมนตร์ดำ ความฝัน การทำนาย หญิงสาวและพรหมจรรย์”