ตอนที่ 39 นางเอกโตในเรือนกระจก
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของเฟิงหยูเตี๋ยก็ดังตรงทางเข้าถ้ำ
“ข้ากลับมาแล้ว!!!”
ทั้งสองที่นั่งพิงกันมองไปที่ทางเข้าและเห็นคนร่างเล็กท่าทางเซ่อซ่าแบกกวางหิมะที่ใหญ่กว่าตัวนางเจ็ดถึงแปดเท่าเข้ามา
เฟิงหยูเตี๋ยปกคลุมด้วยหิมะและโคลน ชุดขาดหลายจุด มเงินที่มัดเป็นหางม้ากระจาย มันเหมือนนางเพิ่งผ่านการต่อสู้รุนแรงมา แต่นางก็ยังดูเต็มไปด้วยเรี่ยวแรง
ทว่า ตอนนางเข้าถ้ำและเห็นเพ่ยเหลียนเสวี่ยกับเสี่ยวอวิ๋นหลัวกอดกัน นางก็ตัวแข็ง
ทำไมพวกนางถึงตัวติดกันแบบนี้?
เฟิงหยูเตี๋ยขมวดคิ้ว เดินไปกองไฟ โยนกวางหิมะบนไหล่ลงพื้นและถาม“แม่นางเสี่ยว เจ้าทำอะไรกับแม่นางเพ่ย?”
“ข้าทำอะไร?”เสี่ยวอวิ๋นหลัวถามอย่างสับสน
“ก็แค่..ตอนข้าตัวติดแม่นางเพ่ย แม่นางเพ่ยจะตบข้าปลิว แต่ตอนเจ้าตัวติดนาง ทำไมนางไม่ตบเจ้า?”
“..”
เสี่ยวอวิ๋นหลัวเมินคำถามและมองกวางหิมะบนพื้น
“กวางนี่..’
“ข้าหาตั้งนานกว่าจะเจอ”เฟิงหยูเตี๋ยยืดอก ยิ้มและตบก้นกวางหิมะ“เจ้าตัวนี้วิ่งเร็วมาก กว่าจะจับได้ ก็เล่นเอาข้าเหนื่อย”
เพ่ยเหลียนเสวี่ยมองกวางยักษ์และพูดอย่างรังเกียจ“ข้าให้เจ้าไปหาอาหาร เจ้าก็หาตัวที่เล็กกว่านี้ได้ไหม?กวางนี่พอให้ผู้บ่มเพาะหลายสิบกินจนอิ่มท้องเลย”
“ก็นี่คือครั้งแรกที่ข้าเห็นกวางแบบนี้”เฟิงหยูเตี๋ยเกาหลังหัวและยิ้ม“ข้าแค่อยากดูว่ามันจะแกร่งไหม แต่สุดท้าย ข้าก็จับมันได้”
“..ข้าจะชำแหละแล้วนะ’
เพ่ยเหลียนเสวี่ยถอนหายใจ จากนั้น ก็ทิ้งเสื้อคลุมให้เสี่ยวอวิ๋นหลัว ยืนขึ้น หยิบมีดเล็กน้อยออกมาจากถุงมิติก่อนเดินไปด้านข้างกวางหิมะ
มีเพียงเงาของมีดที่พบเห็น แต่ไม่เห็นมีด
ถ่ายเลือด แล่หนัง และควักไส้ ทั้งหมดในทีเดียว
กวางหิมะโดนเพ่ยเหลียนเสวี่ยชำแหละจนเหลือแต่โครงกระดูก
เสี่ยวอวิ๋นหลัวกับเฟิงหยูเตี๋ยมองฝีมือนางด้วยความกลัว
พวกนางไม่เคยเห็นเด็กสาวที่สามารถชำแหละซากอสูรได้เช่นนี้มาก่อน เหนือสิ่งอื่นใด กระบวนการส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยเลือดจนแม้กระทั่งผู้บ่มเพาะชายหลายคนยังรับไม่ได้
เสี่ยวอวิ๋นหลัวกลืนน้ำลายและถาม“สหายเพ่ย ก่อนหน้านี้เจ้าเคยฆ่าพวกสัตว์อสูรมาเยอะเหรอ/”
เพ่ยเหลียนเสวี่ยหันหัวไปตอนได้ยิน“ข้าเคยใช้ชีวิตในถ้ำอสูรอยู่หลายเดือน และก็ได้แต่กินเนื้อพวกมันทุกวัน ข้าเลยฝึกมาเยอะ ฮี่ๆ..”
พอคิดถึงอดีตกับพี่ชาย นางก็อดยิ้มหวานไม่ได้
แต่ เสี่ยวอวิ๋นหลัวกลับตัวสั่น
เด็กสาวแสนสวยคนนี้กำลังถือมีด เลือดเปื้อนมือและหน้า และกำลังยิ้งหวานให้คน
ข้าไม่กล้ายินดีกับนาง!
หลังจากนั้น เพ่ยเหลียนเสวี่ยก็ห้อยเนื้อไว้บนกิ่งไม้อย่างชำนาฐ
หลังทั้งสามกินเนื้อเสร็จ ก็ทำสมาธิและรวบรวมปราณ
หลายชั่วโมงต่อมา หิมะด้านนอกหยุด พวกนางเก็บของและเดินทางต่อ หลังลงจากยอดเขาหิมะสูง ก็มาถึงบึง
ตามที่เสี่ยวอวิ๋นหลัวบอก เพราะอากาศนี้ที่เป็นพิษและวิสัยทัศน์ก็ไม่ถึงสิบก้าว บึงนี้จึงเรียกว่า’บึงสับสน’ ผู้บ่มเพาะหลายคนจากสำนักดาวดำมาที่นี่เพื่อจับแมลงพิษและไปศึกษา และก็ยังมีสัตว์อสูรอย่างงูและจระเข้
ดังนั้น ทั้งสามจึงต้องช้าลง
เฟิงหยูเตี๋ยนำทาง ฟันสิ่งกีดขวางด้วยกระบี่ ตัดเถาวัลย์และวัชพืชเผื่อมีแมลงซ่อน ขณะคิดว่าจะทำให้เพ่ยเหลียนเสวี่ยประทับใจได้ยังไง
นางพยายามมากว่าสิบวิธีตาม’ คู่มือเอาใจคนอื่น’ที่อาจารย์สั่งสอน แต่ไม่มีอันไหนได้ผล
และไม่ต้องพูดถึงเอาใจ นางรู้สึกว่าแม่นางเพ่ยชักเกลียดนางขึ้นเรื่อยๆ
แสดงด้านรัก…แม่นางเพ่ยก็มองนางเป็นไอโง่
เล่นเป็นสุนัข..นางก็เกือบโดนแทงตาย
ประจบ..ก็เมิน
อวดความเก่งว่าเหนือกว่าคนอื่น..ก็โดนแม่นางเพ่ยกระทืบ
….
“นี่ เฟิงหยูเตี๋ย เจ้าคิดอะไรอยู่นะ?!”เสี่ยวเทียนลอยมารนั่งบนไหล่นาง“ทุกครั้งที่เจ้าถอนหายใจ เจ้าต้องคิดเรื่องไม่เหมาะสมอยู่แน่”
เฟิงหยูเตี๋ยกระซิบ“เสี่ยวเทียน ทำไมแม่นางเพ่ยถึงไม่ยิ้มให้ข้าเลย?”
“เห้อ..”เสี่ยวเทียนแค่นเสียงเย็นและกลอกตา“อย่าถามข้า ถ้าเจ้าตกหลุมรักผู้ชาย ข้ายังพอช่วยและแนะนำได้ แต่..ผู้หญิง?ไม่มีทาง!ฮึ่ม!”
เสี่ยวเทียนเตะหน้าผากนางและกลับไปภายใน
และมันก็เป็นเวลานี้ที่เฟิงหยูเตี๋ยรู้สึกถึงอะไรและรีบยกมือ
“หยุด!!”
“มีอะไร?อสูรเหรอ?”เสี่ยวอวิ๋นหลัวที่ตามหลังตกใจและรีบมองรอบๆ
เพ่ยเหลียนเสวี่ยดูเหมือนจะสัมผัสถึงอะไรได้เช่นกันและรีบชักกระบี่
“มันไม่ใช่สัตว์อสูร แต่เป็นมนุษย์”นางตอบ
“มนุษย์?”เสี่ยวอวิ๋นหลัวยิ่งสับสน
ถ้าเป็นคน ก็ควรเป็นคนที่เข้าร่วมการคัดเลือก การทดสอบนี้ไม่อนุญาตให้ศิษย์สู้กัน
ถ้าเจอกัน ทุกคนก็จะเลือกจับกลุ่มและสู้กับสัตว์อสูรไปด้วยกัน
แต่..
นางมองใบหน้าจริงจังของทั้งสองและถาม“มันเป็นใคร?”
เฟิงหยูเตี๋ยอธิบาย“มีคนใช้สัมผัสตรวจสอบเราและมันก็เต็มไปด้วยเจตนาร้าย”
“เจตนาร้าย?”
เวลานี้ เพ่ยเหลียนเสวี่ยหมุนตัวและนำกระบี่ที่นางถือไปด้านหลังเสี่ยวอวิ๋นหลังโดยตรง
เคร้ง
เสียงโลหะกระทบกันดัง
ขณะที่ประกายไฟบิน เสี่ยวอวิ๋นหลัวก็ตื่นตัวและรีบหันไปมองด้านหลัง ผู้โจมตีชุดดำสวมหน้ากากอยู่ใกล้มาก หากจากนางแค่สองก้าว
กระบี่สั้นในมือชายคนนั้นเล็งมาที่คอนาง ถ้าเพ่ยเหลียนเสวี่ยไม่รับไว้ นางคงตายไปแล้ว
นางไม่รู้ตัวเลยว่าอีกฝ่ายมาตอนไหน ตานางเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกขณะที่รีบนำกระบี่ออกมา
แต่ นางประหม่าเกินไป
ตอนกระบี่นางบินออกจากถุงมิติ นางก็จับมันไม่ได้ ทำให้มันบินขึ้นฟ้าโดยตรง
ชายชุดดำมองปฏิกิริยาของเสี่ยวอวิ๋นหลัวอย่างดูหมิ่นและเพ่ยเหลียนเสวี่ยก็ฉวยโอกาสนี้เหวี่ยงกระบี่ใส่คอเขา แต่ เขาสามารถใช้คึวามสามารถเขาและกระโดดกลับเข้าหมอกหนาได้!
พอร่างชุดดำหายไปในหมอกหนา เสียงหัวเราะของชายคนอื่นก็มาจากทางอื่น
“กระบี่นี้ดีจริงๆ แต่คนที่ใช้กระบี่..กลับเป็นขยะ..ฮ่าๆ”
พอได้ยิน เสี่ยวอวิ๋นหลัวก็นึกถึงกระบี่นาง แต่ตอนนางเงยหน้าหามัน มันก็หายไปแล้ว
“..”
ชั่วขณะนั้น นางยืนตัวแข็ง
เฟิงหยูเตี่ยถอยมาข้างนาง ประกบนางไว้ตรงกลาง”แม่นางเสี่ยว อยู่ใกล้ข้ากับแม่นางเพ่ยไว้ พวกมันมีกันอย่างน้อยสี่ และระดับบ่มเพาะของคนคนนั้นก็คือก่อตั้งรากฐานขั้นกลาง