MDB ตอนที่ 399 เมฆาพาดำดิ่งสู่รังมังกร
ผู้อาวุโสโม่โต้กลับด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าไม่พอใจสักตัวเลยเหรอ? ฮึ่ม! เสียเวลาจริง ๆ ข้าจะพามาอีกชุดหนึ่ง แต่ช่วยเลือกเร็ว ๆ หน่อยล่ะ เพราะเจ้ากำลังทำให้ข้าเสียเวลานอน”
มังกรหยกดำเรียกมังกรอีกชุดหนึ่งออกมาอย่างไม่เต็มใจ
ครั้งนี้มีเพียงแปดตัวเท่านั้น รูปลักษณ์ของพวกมันแตกต่างกัน พวกมันบางตัวน่าเกลียดมากจนดูเหมือนกิ้งก่าที่เสียโฉมมากกว่ามังกรเสียอีก
ดวงตาของหลินจินกวาดสายตามองดูมังกรเหล่านี้ และเขาก็ส่ายหัวอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสโม่จะยืนกรานที่จะทำเรื่องยาก ๆ ให้กับเหอเฉียน
แม้ว่ามังกรหยกดำจะทำให้เรื่องมันยุ่งยาก แต่อีกฝ่ายก็ไม่เล่นผิดกติกาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ หลินจินจึงพบว่าผู้อาวุโสโม่ค่อนข้างโง่เง่า ทำอย่างกับว่า ทำอย่างนี้แล้ว เขาจะสามารถชุบชีวิตเทพมังกรหยกได้อย่างงั้นเหรอ? แล้วอะไรคือจุดประสงค์ของการกระทำทั้งหมดนี้?
หากเขาทำให้เหอเฉียนโกรธ พวกเขาอาจจะได้รับความทนทุกข์ทรมานหากวันหนึ่งจักรพรรดิตัดสินใจวางยาพิษในแหล่งอาหารของพวกเขา แล้วอย่างนี้ ผู้อาวุโสโม่ยังจะดื้อรั้นต่ออีกเหรอ?
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องน่าเสียดายที่พวกมังกรไม่ใช่พวกที่จะยอมรับคำแนะนำของคนอื่นอย่างง่ายดาย
เหอหยู่สบตากับหลินจินและสามารถอ่านความคิดของเขาได้ เธอพูดอีกครั้งว่า
“ผู้อาวุโสโม่ ข้าขอดูอีกชุดได้หรือไม่!?”
ผู้อาวุโสโม่เริ่มหมดความอดทน พวกเขาจงใจรวบรวมมังกรศักยภาพต่ำเหล่านี้มา ดังนั้นไม่ว่าเหอหยู่จะเลือกตัวไหน พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นขยะ ถ้าเธอไม่ได้รู้ทันถึงกลอุบายของพวกมังกร ผู้อาวุโสโม่ก็คงใช้โอกาสนี้สร้างช่วงเวลาที่ยากลำบากให้กับเธอ
“มันจะเกินไปแล้วนะ! ครอบครัวของเจ้าไม่เคยจุกจิกขนาดนี้มาก่อน บางทีพวกเจ้ากำลังพยายามทำให้พวกเราลำบากเพียงเพราะเทพมังกรหยกได้ล่วงลับไปแล้วใช่หรือไม่!?”
ผู้อาวุโสโม่เริ่มระบายความคับข้องใจโดยอาศัยข้ออ้างที่สะดวกที่เหอหยู่มอบให้เขา
ผู้อาวุโสโม่รู้ข้อมูลภายในเกี่ยวกับการจากไปของเทพมังกรหยก เขายังตระหนักดีถึงสิ่งที่เทพมังกรหยกอาศัยเพื่อยืดอายุของเขา
ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะยอมรับมันได้อย่างง่ายดาย
เหอเฉียนเยาะเย้ย
“เราสามารถเลือกมังกรได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง แต่ทางเจ้าต่างหากที่ตั้งใจจะทำเรื่องยุ่งยากกับพวกเราอย่างหน้าไม่อาย!”
"ข้า!? ข้าทำให้เรื่องยุ่งยากตอนไหนกัน!? ฮึ่ม! หากเจ้ามีความสามารถเพียงพอ ก็เลือกมังกรสักตัวจากรังด้านล่างได้เลย ข้าจะไม่ห้ามพวกเจ้า แต่พวกเจ้ากล้าพอหรือเปล่า!?”
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ ผู้อาวุโสโม่ก็เผยรอยยิ้มออกมา
เหอเฉียนขมวดคิ้ว เป็นที่ชัดเจนสำหรับเขาว่าผู้อาวุโสโม่จงใจพยายามกล่อมพวกเขาให้ยอมรับมังกรที่มีศักยภาพต่ำกว่ามาตรฐาน
นับตั้งแต่การก่อตั้งอาณาจักรมังกรหยก และการทำข้อตกลงกับเผ่ามังกรหยก การคัดเลือกทั้งหมดได้ดำเนินการบนแท่นบูชานี้ ไม่มีสมาชิกคนใดในราชวงศ์ของพวกเขาที่เคยเข้าไปในรังมังกร
ดังนั้นสิ่งที่รออยู่ด้านล่างจึงไม่ทราบได้ มันเสี่ยงเกินไป หากเกิดอะไรขึ้นในนั้นอาจทำให้พวกเขาเสียชีวิตได้ แม้ว่าจะมองอุบายของอีกฝ่ายออก แต่ทางราชวงศ์ก็ทำได้แค่ต้องแบกรับอย่างเงียบงันเท่านั้น
มันอันตรายเกินไปถ้าปล่อยให้เหอหยู่ลงไปที่นั่น หากมีอะไรเกิดขึ้น เหอเฉียนจะไม่มีวันให้อภัยตัวเอง
“ผู้อาวุโสโม่ เจ้าตั้งใจที่จะทำเรื่องยาก ๆ ต่อพวกเราใช่หรือไม่!?” เหอเฉียนถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร
ผู้อาวุโสโม่ก็ยังคงดื้อรั้นตามเดิม มันส่งเสียงหัวเราะที่น่าขนลุกออกมา
“ไม่ว่าเจ้าจะเลือกมังกรจากตรงนี้ หรือลงไปเลือกมังกรด้วยตัวเอง ทางเลือกเป็นของเจ้า ข้าต้องเตือนพวกเจ้าก่อนว่าสิ่งนี้ได้รับอนุญาตอย่างสมบูรณ์ภายใต้ข้อตกลงของเรา”
ดวงตาของเหอเฉียนเบิกกว้าง และเขาเกือบจะยั้งตัวเองไว้ไม่อยู่ แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรขึ้นมา จู่ ๆ ก็มีคนพูดขึ้นมาว่า
"ได้สิ เราจะลงไปที่นั่นแล้วเลือกมาตัวหนึ่ง"
เหอเฉียนหยุดตัวเอง
จักรพรรดิจำได้ว่าเป็นเสียงของใคร
นั่นคือหลินจิน
หากคนอื่นพูดเหอเฉียนคงจะเพิกเฉยต่อเสียงของพวกเขา แต่ไม่ใช่กับหลินจิน มุมมองของเขาที่มีต่อหลินจิน มันแตกต่างไปจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง
“เข้าใจแล้ว ผู้ประเมินหลิน!” เหอเฉียนหันไปหาหลินจิน คนหลังทำให้เขาดูมั่นใจก่อนที่จะเดินไปหาเหอหยู่
ผู้อาวุโสโม่มองไปที่หลินจินและถามอย่างเย็นชา
“เจ้าเป็นใคร? เจ้าเกี่ยวข้องกับพวกเขาอย่างไร? หากเจ้าไม่ใช่สมาชิกของตระกูลเหอก็จงไปจากที่นี่ซะ”
โดยพื้นฐานแล้วมังกรกำลังบอกหลินจินซึ่งเป็นคนนอกว่าเขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับมังกรและราชวงศ์โดยเฉพาะ
“ข้าเป็นอาจารย์ขององค์หญิงหก อาจารย์ก็ไม่ต่างจากพ่อแม่ ดังนั้นในฐานะอาจารย์ของเธอ มันสมเหตุสมผลสำหรับข้าที่จะเข้าร่วมในการคัดเลือกที่สำคัญเช่นนี้”
หลินจินตอบอย่างไม่แยแส
ผู้อาวุโสโม่ไม่รู้ถึงภูมิหลังของหลินจิน หลังจากได้ยินคำตอบของเขา มังกรหยกดำก็ผงะไปชั่วขณะ
หลินจินไม่ให้เวลาผู้อาวุโสโม่ในการคิด แต่เขากลับยื่นมือให้เหอหยู่แล้วพูดว่า
“องค์หญิง ตามกระหม่อมมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ด้วยเหตุนี้ เหอหยู่จึงจับมือของหลินจินโดยไม่ลังเลใจ
เมื่อหลินจินเรียกตัวเองว่าเป็นอาจารย์ของเธอ ความรู้สึกแปลก ๆ ก็เข้ามาอยู่ในใจของเหอหยู่ เป็นการผสมผสานระหว่างความประทับใจและความยินดี
เนื่องจากหลินจินสามารถสร้างความไว้วางใจอันแรงกล้าให้กับเธอ แม้จะเธอจะต้องตามเขาไปที่ขอบหน้าผา เธอก็ไม่มีท่าทีลังเลใจแม้แต่นิดเดียว
ด้านล่างเป็นหลุมดำสนิทที่ดูเหมือนจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ การยืนอยู่บนขอบหน้าผาเป็นประสบการณ์ที่น่าสะเทือนใจ แม้แต่ผู้ที่มีจิตวิญญาณที่กล้าหาญที่สุดก็ยังต้องหวั่นไหว
ข้างหลังพวกเขา บางคนมีสีหน้างุนงง ในขณะที่บางคนมีสีหน้าคาดหวัง
“เมฆานำพา!” หลินจินตะโกนออกมา
จากนั้นเขาก็ก้าวออกจากขอบหน้าผา
เจ้าชายทั้งสองต่างตกตะลึง หลินจินกำลังเดินเข้าไปในหลุมไร้ก้นบึ้ง การก้าวไปข้างหน้าแบบนั้นจะไม่เป็นการฆ่าตัวตายหรอกเหรอ?
เหอหยู่ก็ตกใจเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เธอรู้สึกปลอดภัยเพียงแค่จับมือของหลินจิน ดังนั้นเธอจึงหลับตาและก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเขา
ทันใดนั้น เมฆสองแถวก็ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาราวกับบันไดสั้น ๆ ที่ทำจากเมฆ
พวกเขากำลังเดินอยู่บนเมฆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในที่สุดเหอเฉียนก็คลายตัวลง และความประหลาดใจเข้าแทนที่
'หลินจินคนนี้มีไพ่ลับมากกว่าที่คิด ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ' เขาคิด ‘และอีกอย่าง ในหนังสือโบราณได้บอกไว้ว่า การขี่เมฆมีเพียงผู้อมตะเท่านั้นที่สามารถทำได้ หรือว่าหลินจินจะเป็นผู้อมตะ’
เมื่อมาถึงความคิดนี้ เหอเฉียนก็ตัวสั่น ขนาดจักรพรรดิประหลาดใจเช่นนี้ คงไม่ต้องบอกว่าเจ้าชายทั้งสองรู้สึกอย่างไร
ทั้งเหอฮวงและเหออวี้ต่างสับสนว่าทำไมพ่อของพวกเขาจึงตัดสินใจพาพวกเขามาด้วย จนกระทั่งได้พบกับผู้ประเมินหลิน พวกเขาจึงเริ่มตระหนักว่าความตั้งใจของพ่อคืออะไร
แม้ว่าพวกเขาจะพบเหตุผลที่ทำให้สับสน แต่เจ้าชายทั้งสองก็ฉลาดพอที่จะให้ความเคารพต่อหลินจิน
หากการเดาของพวกเขาถูกต้อง พ่อของพวกเขากำลังพยายามให้ผู้ประเมินหลินประเมินพวกเขา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความคิดเห็นของหลินจินได้รับการยกย่องอย่างสูงจากพ่อของพวกเขา ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองคือผู้ที่มีโอกาสสูงสุดในการสืบทอดราชบัลลังก์
เนื่องจากสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการสืบทอดความรับผิดชอบในการบริหารประเทศ ทั้งเหอฮวงกับเหออวี้จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง
แต่ถ้าจะให้พูดตรง ๆ พวกเขาก็ไม่คิดมากเกี่ยวกับผู้ประเมินหลิน
พวกเขาต่างคิดว่าหลินจินเป็นเพียงแค่ผู้ประเมินระดับสามเท่านั้น
ในขณะที่ผู้ประเมินระดับสามอาจเป็นอันดับที่สูงที่สุดในประเทศเช่นอาณาจักรมังกรหยก พวกเขามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่เจ้าชายจะต้องแสดงความเคารพกับคนเหล่านี้มากเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างเปลี่ยนไปทันทีที่พวกเขาเห็นหลินจินเดินบนก้อนเมฆ มันเป็นภาพที่ทำให้หัวของพวกเขาว่างเปล่า ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าทำไมพ่อของพวกเขาถึงยกย่องผู้ประเมินหลินมากถึงเพียงนี้
พวกเขาพยายามนึกอย่างรวดเร็วว่าพวกเขาเคยไม่เคารพผู้ประเมินหลินมาก่อนหรือไม่? และผลงานของพวกเขาเป็นที่น่าพอใจหรือไม่?
นอกจากนี้ พวกเขาตั้งใจจะปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้คนอื่นไม่รับรู้
กลับมาที่หลินจิน ยังคงเดินอยู่บนก้อนเมฆ เขาได้นำเหอหยู่ที่ตกตะลึงพอ ๆ กันลงไปที่ถ้ำ
ตอนนี้หลินจินค่อนข้างเชี่ยวชาญในการจัดการกับก้อนเมฆแล้ว แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้าหรือบินเป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตรในคืนเดียวได้ แต่เขาก็สามารถพาใครสักคนเดินทางไปกับเขาได้ในช่วงสั้น ๆ ได้
หัวใจของเหอหยู่เต้นแรงอย่างบ้าคลั่งด้วยความตื่นเต้น
นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะในเทพนิยาย แต่ทว่าตอนนี้เธอกำลังเดินบนก้อนเมฆ แม้จะเห็นกับตาแต่เธอก็ไม่อยากจะเชื่อ
มันดูเหมือนกับความฝัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินทางได้ครึ่งทาง ทุกแห่งก็กลายเป็นสีดำสนิท พวกเขาได้ยินเสียงบางอย่างเล็ดลอดอยู่ในความมืดมิด และกำลังมองดูพวกเขา ถ้าบอกว่าไม่กลัวเลย มันก็คงไม่ต่างจากการโกหกคำโต