1328 - มาเพื่อเก้าญาณวิเศษลึกลับเท่านั้น
1328 - มาเพื่อเก้าญาณวิเศษลึกลับเท่านั้น
“ผมได้ยินมานานแล้วว่าหลิงเป่าเป็นสถานที่แห่งจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ที่ผู้บ่มเพาะทุกคนต่างชื่นชม ในเวลานั้นปรมาจารย์เก่อหงสถาปนากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศจีน แม้เหตุการณ์จะผ่านมานานนับพันปีแล้วแต่ชื่อเสียงของเขายังคงอยู่ที่นั่น” เย่ฟ่านกล่าว
กว๋อเจินก้าวไปข้างหน้าเพื่อทักทายนักพรตชราอย่างนอบน้อม เขาไม่ได้มีเจตนาเพื่อดูหมิ่นแต่อย่างใด เพียงชื่นชมและหวังว่าศิษย์ของสำนักหลิงเป่าเหล่านี้จะอนุญาตให้เขาเข้าร่วมงานชุมนุมด้วย
“ที่นี่คือดินแดนหวงห้าม หากพวกคุณต้องการท่องเที่ยวโปรดออกไปข้างนอก ยังมีวัดเต๋ามากมายพวกคุณสามารถท่องเที่ยวสถานที่เหล่านั้นได้”
ศิษย์ของนักพรตหลิงเป่ามีสีหน้าเย็นชาไม่พอใจ
ตามที่คาดไว้ พวกเขาทั้งสี่ไม่ได้มีมิตรภาพที่ดีต่อเย่ฟ่านและกว๋อเจิน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามอย่างไม่คิดจะปิดบัง
“แม้เราจะรู้จักกันเล็กน้อย แต่สถานที่แห่งนี้ไม่อนุญาตให้คนธรรมดาเข้าไปจริงๆ”
หญิงสาวคนเดียวที่อยู่ในกลุ่มมีสีหน้าอึดอัดใจ นางไม่ต้องการฉีดหน้าของกว๋อเจินและเย่ฟ่านตรงตรง แต่คำพูดนั้นก็ชัดเจนว่าระดับของพวกเขายังไม่เพียงพอที่จะเข้าไปข้างในได้
“สหายทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
เมื่อเห็นความลำบากใจของกว๋อเจิน เย่ฟ่านจึงถามออกไป เขาจะไม่ยอมจากไปหากไม่ได้รับอะไรบางอย่าง อย่างน้อยเขาก็ต้องเห็นมรดกที่เก่อหงทิ้งไว้
“สหายคิดว่าตัวเองเป็นยอดฝีมืออาวุโสหรือ?”
ชายหนุ่มอีกคนอดไม่ได้ เขาก้าวออกมาเย่ฟ่านและแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา
นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้บ่มเพาะทุกคนในโลก คนธรรมดาไม่สามารถเข้าออกดินแดนอันบริสุทธิ์ของหลิงเป่าได้ แน่นอนว่าหากมีใครต้องการฝ่าฝืนกฎนี้พวกเขาจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง
“ประตูภูเขาประกอบไปด้วยบันไดสามสิบขั้น นั่นคือบันไดแห่งการหยั่งรู้ หากผู้ใดสามารถก้าวไปถึงบันไดขั้นที่แปดได้ถือว่ามีความหยั่งรู้เพียงพอ และจะได้รับอนุญาตเข้าไปข้างใน”
นักพรตชราชี้ไปที่ขั้นบันไดในบริเวณใกล้เคียง ขั้นบันไดนั้นอยู่ใต้ต้นสนโบราณ ซึ่งว่ากันว่าเก่อหงเป็นคนปลูกมันด้วยตนเอง
แน่นอนว่าใต้ต้นสนนี้มีเพียงผู้บ่มเพาะที่สามารถบรรลุขอบเขตแปลงมังกรได้เท่านั้นจึงจะสามารถเดินข้ามบันไดทั้งสามสิบขั้นได้
ตอนนี้นักพรตชราเพียงต้องการให้เย่ฟ่านและกว๋อเจิ้นเดินข้ามบันไดแปดขั้นซึ่งมีเพียงผู้บ่มเพาะอาณาจักรตำหนักเต๋าจึงจะข้ามไปได้
เงื่อนไขนี้ยังคงรุนแรงอย่างมากและเห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามไล่เด็กน้อยทั้งสองคนนี้ลงจากภูเขา
เย่ฟ่านต้องการจะปราบปรามคนเหล่านี้โดยตรง แต่กว๋อเจินค่อนข้างหัวแข็งและยืนกรานที่จะปีนบันไดนี้ให้ได้ ดังนั้นเย่ฟ่านจึงได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสทดลอง
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว กว๋อเจินอาศัยพลังแห่งเต๋าของเขาในการก้าวขึ้นไปข้างบนอย่างยากลำบาก
แต่สุดท้ายฐานการบ่มเพาะของเขายังไม่เข้าสู่ขอบเขตน้ำพุวิญญาณด้วยซ้ำ เขาจึงทำได้เพียงก้าวไปถึงขั้นที่สามของบันไดและไม่สามารถปีนขึ้นไปได้อีก
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้หนุ่มสาวทั้งสี่ต่างก็หัวเราะและส่ายหน้า
“พู่”
ทันใดนั้นก็มีแสงสีเงินปรากฏขึ้นในมือของกว๋อเจิน มันคือยันต์โบราณพี่ปูของเขาแย่งชิงมาได้จากยอดเขาไท่ซานเมื่อ 20 ปีก่อน
ปัง
กว๋อเจินเดินไปถึงเก้าก้าวและสามารถบรรลุเงื่อนไขตามที่นักพรตอาวุโสกำหนดไว้ได้สำเร็จ เหตุการณ์นี้ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
คนหนุ่มสาวสี่คนที่ต่างเกิดความประหลาดใจเมื่อมองดูแผ่นยันต์บนฝ่ามือของกว๋อเจิน แผ่นยันต์นี้มีความแปลกประหลาดอย่างมาก มันช่วยให้ความแข็งแกร่งของกว๋อเจินเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
นักพรตชราก็ประหลาดใจเช่นกัน สุดท้ายเขายังคงรักษาบุคลิกภาพของยอดฝีมือไว้และกล่าวว่า “แม้ว่าคุณจะใช้อาวุธวิญญาณในการช่วยเหลือ แต่ผมจะรักษาคำพูดและยอมให้คุณเข้าร่วมการชุมนุมได้”
กว๋อเจินสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วเช็ดเหงื่อบนร่างกาย แผ่นสีน้ำเงินบนฝ่ามือของเขาดูเหมือนจะเป็นยันต์ที่สามารถใช้ได้ครั้งเดียว ดังนั้นเมื่อถึงจุดสิ้นสุดมันก็สลายกลายเป็นฝุ่นผง
“เด็กน้อยนี่ไร้ยางอายเหลือเกิน”
หนุ่มสาวทั้งสี่คนกระซิบกันอย่างแผ่วเบา พวกเขาไม่ค่อยพอใจต่อความสำเร็จของกว๋อเจินมากนักและคิดว่าเด็กน้อยคนนี้บรรลุเงื่อนไขได้เพราะการโกง
กว๋อเจินดูเหมือนจะหมดแรงไปแล้ว หลังจากกลับมายืนอยู่ด้านข้างของเย่ฟ่านเขาก็รีบนั่งสมาธิลงบนพื้นและฟื้นฟูพลังปราณของตัวเองอย่างรวดเร็ว
เย่ฟ่านมองดูบันไดหินสามสิบขั้นแล้วเขาก็เดินขึ้นไปอย่างง่ายดาย เขาเดินไปจนถึงชั้นสูงสุดและเดินลงมาข้างล่าง จากนั้นก็เดินขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง
นักพรตอาวุโสตกใจกลัวอย่างมาก แม้แต่ตัวเขาก็ยังเดินอยู่บนบันไดนี้ได้เพียงครึ่งเดียว การแสดงออกของเย่ฟ่านทำให้เขาเกิดความหวาดกลัวจับใจ
เย่ฟ่านกลับมายืนอยู่ข้างๆ กว๋อเจินแล้วใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ลบล้างความเหนื่อยล้าจากจิตวิญญาณของสหายเพียงคนเดียวของเขาออกไปอย่างง่ายดาย
กว๋อเจินเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เขาไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้พบกับผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ในโลก
“เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ” เย่ฟ่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม
กว๋อเจินพยักหน้าอย่างหนักแน่น วิธีการเย่ฟ่านน่าทึ่งอย่างมากเขาเคยได้ยินเรื่องนี้จากคัมภีร์โบราณเท่านั้น
นักพรตอาวุโสแสดงความเคารพต่อเย่ฟ่านอย่างนอบน้อม เขาไม่กล้ากล่าวสิ่งใดและเพียงแค่เชิญเย่ฟ่านขึ้นไปบนยอดเขาด้วยความกลัว
สิ่งที่เย่ฟ่านเห็นตลอดทางคือต้นสนสีเขียว บนยอดเขานี้มีแม้กระทั่งนกกระเรียนซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก เพราะนกประเภทนี้เกือบจะสูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว แต่บนยอดเขาหลิงเป่ากลับมีพวกมันอยู่นับพันตัว
สถานที่นั้นเต็มไปด้วยเมฆไอน้ำสีกุหลาบ มันดูเหมือนแดนสวรรค์ที่เต็มไปด้วยปราณสวรรค์พิภพหนาแน่น
เมื่อพวกเขามาถึงยอดเขา พวกเขาเห็นรูปปั้นหินของชายที่เต็มไปด้วยความสง่างามเป็นอย่างแรก นี่คือรูปปั้นของเก่อหง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเซียนผู้ยิ่งใหญ่ของโลก
สำนักหลิงเป่าถูกก่อตั้งขึ้นโดยเก่อซวนซึ่งเป็นหลานชายของเก่อหง แม้ว่าคนผู้นี้จะไม่ได้มีชื่อเสียงเหมือนปู่ แต่ในฐานะทางญาติสายตรงเขาย่อมได้รับมรดกอันล้ำค่าตกทอดมาอย่างแน่นอน
เย่ฟ่านยืนอยู่บนยอดเขา มองลงไปในเมฆหมอกที่ปกคลุมหุบเขาอันกว้างใหญ่ตรงหน้า นี่คือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความงดงามอย่างแท้จริง
“ในตำนานจีนโบราณ มีเทพคนหนึ่งชื่อหลิงเป่า ไม่รู้ว่าเก่อหงมีความเกี่ยวข้องกับเทพคนนั้นหรือไม่” เย่ฟ่านพูดกับตัวเอง
หลิงเป่าเทียนจุนได้รับความเคารพจากทุกดินแดน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจสอบว่าตัวตนของเขามีอยู่จริงหรือไม่ แล้วเหตุใดสำนักหลิงเป่าจึงใช้ชื่อของเขามาเป็นชื่อของสำนัก?
เย่ฟ่านตรวจสอบพลังวิญญาณของสถานที่แห่งนี้อย่างจริงจังและค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะต้องมีร่องรอยของเก้าญาณวิเศษลึกลับถูกซ่อนไว้อย่างแน่นอน
เมื่อเขาอยู่นี่ อีกด้านของท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยดวงดาว บางคนบอกว่าทักษะอันยิ่งใหญ่นี้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังบางคนซึ่งล่วงลับไปจากโลกแล้ว
บางคนบอกว่านี่เป็นทักษะแห่งสวรรค์พิภพที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติตั้งแต่ยุคโบราณ หากผู้ใดรวบรวมทักษะทั้งเก้านี้ได้ครบพวกเขาจะบรรลุความสมบูรณ์แบบในการบ่มเพาะและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะทันที
“เก่อหงอาจมีหนึ่งหรือสองในเก้าญาณวิเศษลึกลับ แต่ต่อให้เขาเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างทักษะอันยิ่งใหญ่อย่างเก้าญาณวิเศษลึกลับขึ้นมาได้ เป็นไปได้ไหมว่านี่อาจจะเป็นทักษะประจำตัวของหลิงเป่าเทียนจุนซึ่งเป็นหนึ่งในสามเทพแห่งลัทธิเต๋าที่แข็งแกร่งที่สุด?”
บนภูเขาที่ผุพังพวกเขาค้นไปตามวัดเต๋าหลายแห่ง สถานที่ทั้งหมดล้วนรกร้างไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้บุกรุกไปถึงใจกลางของสำนักหลิงเป่า นั่นก็เพราะสิ่งนี้เป็นการดูถูกเหยียดหยามผู้คนมากเกินไป
เย่ฟ่านตรวจสอบรัศมีพลังที่ถูกทิ้งไว้ตั้งแต่ยุคโบราณบนวัดเต๋าแห่งหนึ่ง ปราณสวรรค์พิภพนั้นเบาบางมาก ทำให้ยากต่อการมองหาความลึกลับของสถานที่แห่งนี้ได้
“นี่คือผู้อาวุโสที่คุณกำลังพูดถึงหรือ?”
หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าวัดเต๋าหัวเราะเบาๆ เธอมองดูกว๋อเจินและเย่ฟ่านด้วยใบหน้าที่งดงาม
“ใช่ ชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้นคือคนที่สามารถเดินผ่านบันไดหินได้ถึงสองรอบ”
หนึ่งในสี่ผู้บ่มเพาะหนุ่มสาวพึมพำเบาๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาแยกตัวออกไปแจ้งข่าวเรื่องการปรากฏตัวเย่ฟ่านต่อผู้อาวุโสในสำนักหลิงเป่า
ในขณะนี้มีผู้คนหลายสิบคนหลั่งไหลเข้ามาในทิศเย่ฟ่าน หลายคนหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ พวกเขาเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ชุมนุมอยู่ในสำนักหลิงเป่า และติดตามผู้อาวุโสของตัวเองมาที่นี่
………..