1327 - การชุมนุมในภูเขาหลิงเป่า
1327 - การชุมนุมในภูเขาหลิงเป่า
“คนอื่นในครอบครัวของคุณรู้เรื่องนี้หรือเปล่า” เย่ฟ่านถาม
“ผมจะอธิบายให้พวกเขาเข้าใจได้ยังไง” กว๋อเจินส่ายหน้า
เขาไม่ได้บอกคนอื่นในครอบครัวให้รู้เรื่องนี้ สาเหตุหลักก็เพราะความแข็งแกร่งของเขามีเพียงน้อยนิดเท่านั้น มันแทบไม่สามารถขอตัวเป็นรูปธรรมได้ด้วยซ้ำ
หลังจากที่เย่ฟ่านมองใกล้ๆ จิตวิญญาณของกว๋อเจินไม่มีอะไรพิเศษ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหาวิธีฝึกฝนด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามหากเขาอยู่ในเป่ยโต่วด้วยอายุเพียงเท่านี้เขาอาจจะอยู่ในขอบเขตแปลงมังกรแล้วก็ได้
กว๋อเจินมีสภาพไม่แตกต่างจากเย่ฟ่านมากนัก แม้ว่าเขาจะเป็นผู้บ่มเพาะเช่นกัน แต่คนอื่นๆ กลับไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเขามากนัก
ในความเป็นจริงคนเหล่านั้นไม่เต็มใจที่จะผูกมิตรกับคนนอก หากไม่ใช่ว่าพวกเขารู้กำพืดของกว๋อเจินดีอยู่แล้วพวกเขาคงไม่อนุญาตให้กว๋อเจินติดตามมาด้วย
“ในประเทศจีนมีสำนักที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางบ่มเพราะเหลืออยู่กี่แห่ง?” เย่ฟ่านถาม
“ผมไม่รู้เลย เรื่องนี้พวกเขาเก็บเป็นความลับอย่างมาก แม้ว่าเราจะมีการติดต่อกันอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายกลับไม่มีใครพูดถึงเบื้องหลังของตัวเอง” กว๋อเจินกล่าว
จากนั้นพวกเขาก็คุยกันเรื่องการบ่มเพาะในยุคปัจจุบันที่เย่ฟ่านต้องการทราบ
นักพรตผู้มีชื่อเสียงในโลกมีหลายคน ตามที่กว๋อเจินไล่เรียงมาก็มีมากกว่าสิบคนแล้ว และผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ นักพรตฉางชิง นักพรตหลิงเป่า นักพรตไท่อี้ และนักพรตเสิ่นเซียว ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค
นอกจากนี้เขายังพูดถึงสำนักกระบี่อู่ซาน เชื้อสายนี้ลึกลับมาก พวกเขาเก็บซ่อนตัวอย่างลึกลับและไม่เต็มใจที่จะติดต่อกับโลกภายนอก แม้กระทั่งผู้บ่มเพาะด้วยกันพวกเขาก็ยังกีดกันอย่างชัดเจน
แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือกลุ่มคนจากคุนหลุน ผู้บ่มเพาะจากที่นั่นล้วนมีภูมิหลังที่ดี ฐานการบ่มเพาะของพวกเขาสูงส่งกว่าผู้บ่มเพาะจากมหาอำนาจอื่นอย่างมาก
จิตใจของเย่ฟ่านกำลังปั่นป่วน เทือกเขาคุนหลุนที่ทอดยาวไปถึงชิงไห่ตะวันตกและซินเจียงมีความลึกลับอย่างอื่นซุกซ่อนอยู่หรือไม่?
สำหรับพุทธศานา แม้ว่าจะมีวัดที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ผู้บ่มเพาะของพวกเขากลับเก็บตัวเงียบอยู่เสมอ ไม่มีใครรู้ว่าผู้บ่มเพาะของศาสนาพุทธนั้นมีมากมายเพียงใด
กว๋อเจินเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มากนัก ในเวลาเดียวกันพวกเขายังพูดคุยเกี่ยวกับผู้บ่มเพาะแห่งเผ่าพันธุ์อสูร ที่มีสายเลือดอสูรโบราณอยู่หลายเผ่าในโลก ซึ่งเผ่าวิหคมังกรก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ทรงพลังที่สุด
เย่ฟ่านต้องการให้กว๋อเจินพาเขาไปเยี่ยมเยือนสำนักที่ยังอยู่บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะของโลกนี้ แต่กว๋อเจินปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ที่ตั้งของทุกนิกายนั้นลึกลับมาก ไม่มีใครรู้ถึงสถานที่จริงว่าอยู่ที่ไหน
ทุกวันนี้โลกก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการล่มสลายแล้ว ทุกนิกายล้วนตั้งอยู่บนสถานที่ที่มีปราณสวรรค์พิภพหนาแน่นมากที่สุด การเปิดเผยที่ตั้งของตัวเองไม่แตกต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย
เย่ฟ่านสนใจเผ่าอสูรมาก เขาต้องการรู้เรื่องนี้ เพราะมีสัญญาณหลายอย่างที่บอกว่าสมบัติที่ถูกแย่งชิงในภูเขาไท่ซานเมื่อ 20 ปีก่อนนั้นต้องเกี่ยวกับเผ่าอสูร
มีสายเลือดของเทพอสูรหลายเผ่าพันธุ์อยู่ในโลกนี้ พวกเขาล้วนทรงพลังมากกว่าผู้บ่มเพาะทั่วไป ดังนั้นการเสาะหาพวกเขาโดยตรงย่อมมีประโยชน์มากกว่าเสาะหาผู้ยิ่งใหญ่เผ่าพันธุ์มนุษย์
“ช่วงนี้เขตภูเขาไท่ซานมีผู้บ่มเพาะหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก ผมคิดว่าผู้บ่มเพาะเผ่าพันธุ์อสูรก็คงจะมาด้วยเช่นกัน” กว๋อเจินกล่าวอย่างกระตือรือร้น
“เอาล่ะ ตามพวกเขาไปกันเถอะ เราจะรู้เองเมื่อเวลานั้นมาถึง” เย่ฟ่านพูดด้วยรอยยิ้ม
กว๋อเจินยิ้มตอบอย่างขมขื่น เขาไม่มีมิตรภาพกับคนเหล่านั้นมากนัก สาเหตุหลักอาจเป็นเพราะเขาเป็นผู้บ่มเพาะพเนจรที่ไม่มีชาติตระกูลสูงส่ง
“ไม่สำคัญหรอก เราแค่ติดตามพวกเขาจากระยะไกลก็พอ” เย่ฟ่านกล่าว
กว๋อเจินคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพยักหน้าเข้าใจ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เต็มใจจะสนทนากับพวกเขา ดังนั้นเขาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องอยู่ร่วมกับคนที่ไม่ถูกชะตา
ทั้งสองเดินไปจนสุดทาง มุ่งไปทางใต้สู่ภูเขาอู่อี้ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของภูเขาไท่ซาน
ระหว่างทางพวกเขาได้ยินทั้งสี่คนกันเกี่ยวกับการไปพักผ่อนที่สำนักหลิงเป่า มีการชุมนุมย่อยของคนหนุ่มสาวอยู่ที่นั่น แน่นอนว่าสิ่งนี้ได้รับการอนุญาตจากนักพรตหลิงเป่าผู้เป็นเจ้าสำนักแล้ว
เย่ฟ่านสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก นั่นก็เพราะการพบปะกับผู้คนมากมายจะทำให้เขามีโอกาสได้ศึกษาเส้นทางเกี่ยวกับการบ่มเพาะของโลกใบนี้มากขึ้น
ในโลกมนุษย์นั้นมีสิ่งมีชีวิตระดับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่มากมายนับไม่ถ้วน แม้จะมีขนาดเล็กกว่าเป่ยโต้ว แต่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของที่นี่กลับมีมากกว่าหลายสิบเท่า
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน มันจะต้องมีความลับบางอย่างเกี่ยวกับทักษะการบ่มเพาะของโลกใบนี้ซึ่งเย่ฟ่านมีความกระตือรือร้นที่จะค้นหาอย่างมาก
“เจียงซีเป็นสวรรค์แห่งการบ่มเพาะอย่างแท้จริง หากไม่ใช่ว่าโลกตกอยู่ในยุคของเต๋าล่มสลายไปแล้วการจะค้นหาสิ่งมีชีวิตระดับเซียนย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไร” เย่ฟ่านถอนหายใจ
สำนักหลิงเป่าอยู่ในภูเขาเก่อเจาที่อยู่ทางตะวันตกของภูเขาอู่อี้ รัศมีของมันทอดยาวกว่าสองร้อยลี้ มีไผ่โบราณ ต้นสนสีเขียว ยอดเขาและทิวทัศน์ที่งดงามราวกับสรวงสวรรค์
เย่ฟ่านสนใจสถานที่นี้มาก เพราะเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความเข้มข้นของปราณสวรรค์พิภพที่หนาแน่นมากกว่าปกติ
ผู้ก่อตั้งสำนักหลิงเป่าคือเก่อซวนซึ่งเป็นหลานชายของเก่อหง
เก่อหงคือผู้แต่งเปาปู้จื่อ เป็นผู้นำลัทธิเต๋าในราชวงศ์จิ้นตะวันออก มีความสามารถอย่างมาก ครั้งหนึ่งของเคยพูดถึงความลับทั้งเก้าในผลงานของตัวเอง
เย่ฟ่านมีความกระตือรือร้นอย่างมาก เก้าความลับนี้จะเกี่ยวข้องกับเก้าญาณวิเศษลึกลับหรือไม่?
หลังจากที่หลานชายของเขาก่อตั้งสำนักหลิงเป่า เก่อหงเองก็สถาปนาตัวเองกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งยุคและสร้างความหวั่นเกรงไปทั่วโลก
“ไม่ใช่ว่าที่ตั้งของสำนักหลิงเป่าจะเป็นความลับแต่ก็ยังมีสำนักเต๋าอีกหลายแห่งตั้งอยู่ในภูเขานี้ พวกเขาคือสำนักสาขาของสำนักหลิงเป่าทั้งสิ้น”
กว๋อเจินชี้ให้เห็นว่าหนึ่งในคนทั้งสี่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาเป็นศิษย์สายตรงของสำนักหลิงเป่า
“สถานที่แห่งนี้ไม่เลวเลย ดูเหมือนจะมีบันทึกในประวัติศาตร์ที่ถูกต้อง เก่อหงอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานานจริงๆ”
เย่ฟ่านพยักหน้า เขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของพลังที่ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตทิ้งไว้ ไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าน่าจะต้องเป็นรัศมีพลังของเก่อหงอย่างแน่นอน
“น่าสนใจจริงๆ ทั้งๆที่โลกกำลังตกอยู่ในความเสื่อมโทรมแต่กลับมีสถานที่เช่นนี้อยู่” เย่ฟ่านยิ้มแล้วพากว๋อเจินติดตามกลุ่มคนข้างหน้าไปอย่างรวดเร็ว
พวกเขาเข้าสู่สภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาด ล้อมรอยด้วยเมฆสีขาว ภูเขาหลายลูกติดกัน มันกว้างใหญ่และมีวัดลัทธิเต๋ามากมาย วัดเหล่านี้ล้วนเป็นสำนักสาขาของสำนักหลิงเป่าทั้งสิ้น
“ศิษย์สายนอกของสำนักหลิงเป่าฝึกฝนอยู่ที่นี่หรือ ในดินแดนอันอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะมีความแข็งแกร่งกว่าผู้คนทั่วไปมาก” เย่ฟ่านกล่าว
“พวกคุณเป็นใคร?”
นักพรตชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาคือผู้พิทักษ์ประตูภูเขานี้ และเขาจะไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปในดินแดนต้องห้ามของตัวเองได้
“เราเป็นเพียงผู้บ่มเพาะธรรมดา” กว๋อเจินตอบ
“พวกเราตกลงกันไว้แล้วว่าจะแยกทางกัน ทำไมพวกคุณยังติดตามเรามาอีก”
ทั้งสี่คนดูเหมือนจะเพิ่งสังเกตว่าเย่ฟ่านยังติดตามอยู่ข้างหลัง นั่นทำให้พวกเขาเกิดความไม่พอใจเล็กน้อย
“นี่เป็นการชุมนุมของนิกายใหญ่ เราไม่อนุญาตให้ผู้บ่มเพาะที่ไม่มีภูมิหลังเข้าร่วมด้วย” หนึ่งในนั่นกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
“ใช่ ที่นี่คือสำนักหลิงเป่า คนที่ไม่ได้รับอนุญาตห้ามเข้าไปข้างในอย่างเด็ดขาด” ชายหนุ่มอีกคนกล่าว
นักพรตชราคนนั้นพยักหน้าและกล่าวกว่า
“นี่เป็นสถานที่สำคัญของสำนักหลิงเป่า ไม่ได้เปิดให้คนภายนอกเข้าร่วม หากพวกคุณไม่ใช่ทายาทของมหาอำนาจในโลก อย่างน้อยพวกคุณก็ควรจะเป็นผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งจึงจะมีโอกาสเข้าร่วมการชุมนุมนี้”
…………….