1326 - กลับสู่ไท่ซานอีกครั้ง
1326 - กลับสู่ไท่ซานอีกครั้ง
เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างมากที่อาจารย์ของหยางเซียวเสียชีวิตมาหลายปีแล้ว และเขาเองก็ไม่สามารถตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยสถานะของตัวเองได้
เรื่องเดียวที่อาจารย์พูดคือ ตอนนั้นเขาเห็นชายที่มีปีกสีเทาบินมาจากทางทิศตะวันตก ร่างของเขาพุ่งลงไปที่ไท่ซานซานโดยไม่สนใจกองทัพทหารแม้แต่น้อย
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผู้คนมากมายเสียชีวิตในขณะเดียวกันทรัพย์สมบัติที่ขุดขึ้นมาเป็นจำนวนมากก็ถูกชายที่มีปีกสีเทาคนนั้นแย่งชิงไป
หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากนักพรตอาวุโสคนหนึ่ง อาจมีผู้คนเสียชีวิตมากกว่านี้
“สิ่งเหล่านั้นมีประโยชน์มากสำหรับฉัน ฉันต้องนำมันกลับมาทั้งหมด ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างที่ต้องทำอีกแล้วสิ” เย่ฟ่านพูดกับตัวเอง
เย่ฟ่านอยากรู้ว่านักพรตอาวุโสคนนั้นเป็นใคร หยางเซียวส่ายหน้า เขาไม่รู้เรื่องมากนัก บอกเพียงว่านักพรตผู้อาวุโสคนนี้ดูเหมือนจะเสียชีวิตหลังจากการต่อสู้กับชายผู้มีปีกสีเทา
หยางเซียวเล่าต่อว่า “อาจารย์ของผมเคยกล่าวว่า ในตอนนั้นสถาบันวิจัยทางการแพทย์พยายามยื้อชีวิตของนักพรตอาวุโสไว้ แต่ล้มเหลว”
เย่ฟ่านได้ยินเช่นนี้ตกใจมาก ชายวัยสองพันปีจะต้องเป็นยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน เขาอาจจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของประเทศจีน ความตายของเขาย่อมเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
ปัจจุบันลิทธิเต๋านั้นมีวิหารโบราณหลายแห่ง ในประเทศจีนมันเป็นศาสนาที่มีผู้คนนับถือเป็นรองเพียงแค่ศาสนาพุทธเท่านั้น
“ว่ากันว่านักพรตชราคนนี้ถูกเชิญมาจากภูเขาหลงหูในมณฑลเจียงซี วัดของเขาคือไป่อวิ๋น” หยางเซียวพยายามอธิบายทุกอย่างที่เขารู้
…
เมื่อเย่ฟ่านมาถึงไท่ซานอีกครั้ง เขาได้ปลดปล่อยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กวาดไปทั่วภูเขา ภายใต้ทิวทัศน์อันงดงามเขาตระหนักได้ถึงแก่นแท้ของเส้นเลือดมังกรที่อุดมสมบูรณ์อย่างมาก
น่าเสียงดายที่มันบางเกินไป หากมีผู้บ่มเพาะเข้ามาที่นี่มากมายเกรงว่าเส้นเลือดมังกรจะต้องแห้งเหือดลงไปในเวลาเพียงไม่กี่ปี
ตอนนี้ปราณสวรรค์พิภพของโลกกำลังแห้งแล้ง พลังวิญญาณขาดหาย ร่องรอยของความอุดมสมบูรณ์เหลืออยู่เพียงน้อยนิด สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น
เย่ฟ่านเดินเข้าไปในภูเขาและกวาดสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกค้นหาผู้บ่มเพาะภายในสถานที่แห่งนี้
เขาปีนขึ้นไปบนภูเขาเพื่อค้นหาสถานที่ที่โลงศพเก้ามังกรตกลงมา
ไท่ซานมีความยิ่งใหญ่และสง่างาม ในสมัยโบราณผู้คนเชื่อกันว่าภูเขาแห่งนี้คือสถานที่ที่ดวงอาทิตย์ถือกำเนิดขึ้น นี่คือจุดศูนย์กลางของประเทศจีนอย่างแท้จริง
เย่ฟ่านปีขึ้นไปข้างบน เห็นภูเขาเล็กๆ ทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียง สถานที่แห่งนี้ทำให้เขาเกิดความผันผวนทางอารมณ์เป็นอย่างมาก มากกว่ายี่สิบปีต่อมาเขาเป็นเพียงคนเดียวที่มีโอกาสกลับมาที่นี่อีก
เขายืนอยู่ตรงที่โลงศพทองแดงตกลงมา จากนั้นโบกมือแล้วหยิบหยกครึ่งชิ้นจากพื้นดิน มันถูกขุดขึ้นมาโดยนักโบราณคดีของทางการ แต่น่าเสียดายที่หลังจากเกิดหายนะครั้งใหญ่ขึ้นก็ไม่มีใครขึ้นมาที่นี่อีก
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของผู้คนกำลังสนทนากันในบริเวณใกล้เคียง เย่ฟ่านติดตามไปในทิศทางนั้นและมองเห็นคนหนุ่มสาวหลายคนกำลังพูดคุยกัน
“เผ่าอสูรปรากฏตัวออกมาจริงๆ หรือว่านี่จะกลายเป็นยุคแห่งโศกนาฏกรรมอย่างที่คนโบราณเล่าขาน”
“บางทีเผ่านี้อาจจะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่โลก อาจมีบุคคลผู้เทียบเคียงได้กับผู้มีอำนาจสมัยโบราณ บางทีเขาอาจจะนำทักษะการบ่มเพาะจากยุคโบราณมาด้วยก็ได้”
เย่ฟ่านฟังคำพูดของทุกคนอย่างตั้งใจ เขารู้ดีว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นทายาทของผู้บ่มเพาะที่มีอำนาจในโลกทั้งสิ้น พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์ของนักพรตผู้ยิ่งใหญ่ในยุคปัจจุบัน
“แล้วยังไงล่ะ นี่คือยุคที่เต๋ากำลังเสื่อมโทรม ต่อให้มีทักษะที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ก็ไม่มีทางที่จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นได้”
“นายลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วมีการปะทะกันระหว่างผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติหลายครั้ง นั่นแสดงให้เห็นว่าวิธีการของพวกเขามีความพิเศษอย่างยิ่ง ต่อให้โลกกำลังเสื่อมตามพวกเขาก็ยังสามารถบ่มเพาะจนมีความแข็งแกร่งขึ้นมาได้”
“ถูกต้อง เมื่อไม่นานมานี้มีผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในจิ่วเจียง เพียงการสะบัดมืออย่างแผ่วเบาของเขาก็สามารถดับวิญญาณบรรพชนวิหคมังกรแห่งต้าเชี่ยได้แล้ว ว่ากันว่าคนๆนี้อาจมีทักษะเราที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก”
หลังจากแอบฟังคำพูดของพวกเขาเป็นเวลานาน เย่ฟ่านก็ตระหนักได้ว่าคนเหล่านี้เป็นผู้บ่มเพาะที่ขึ้นมาหาสมบัติที่ถูกทิ้งไว้เมื่อ 20 ปีก่อน
เมื่อพิจารณาอย่างจริงจัง ไท่ซานนั้นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของโลกอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้ต่อให้เป็นภูเขาคุนหลุนก็ตาม
“หยุดพูดเถอะ เรามาที่นี่เพื่อค้นหาสมบัติ หากเรายังทำตัวเอ้อระเหยสมบัติเหล่านั้นอาจถูกคนอื่นแย่งชิงไป ว่ากันว่าแม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งภูเขาคุนหลุนก็ยังมาที่นี่ด้วย”
นี่คือไท่ซาน ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศจีน ในยุคปัจจุบันเทคโนโลยีทันสมัยขึ้นมาก ดังนั้นการจะปีนขึ้นไปบนยอดเขาจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่ในสมัยโบราณการที่จะปีนขึ้นไปด้านบนยอดของไท่ซานได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง ดังนั้นผู้คนในยุคโบราณจึงให้ความเคารพต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มากกว่าผู้คนในยุคปัจจุบัน
บนภูเขามีอนุสาวรีย์ที่หน้าผาหลายแห่ง ภูเขาลูกนี้คือหนึ่งในประวัติศาสตร์ ความลับและเหตุการณ์โบราณที่เล่าขานในประเทศจีนส่วนมากล้วนเกี่ยวข้องกับภูเขาแห่งนี้
เย่ฟ่านได้ยินคนหนุ่มสาวคุยกัน คนเหล่านี้เป็นผู้บ่มเพาะของโลก คำพูดของพวกเขาเห็นได้ชัดว่ามีบางสิ่งบางอย่างซุกซ่อนอยู่ในภูเขา
คำพูดของคนหนุ่มสาวเหล่านี้แผ่วเบาอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อค้นหาสมบัติและไม่ต้องการให้ใครได้ยินคำพูดของตัวเอง
เย่ฟ่านตกใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นหนึ่งในลูกศิษย์อัจฉริยะของนักพรตผู้มีชื่อเสียงของโลก แต่พวกเขาก็ดูเหมือนจะมีการปฏิบัติตนที่เคร่งครัดไม่กล้าฝ่าฝืนกฎของสำนักแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่คู่ควรที่จะเป็นแม้กระทั่งมดปลวกในสายตาของเย่ฟ่าน คนที่แข็งแกร่งที่สุดยังไปไม่ถึงระดับสูงสุดของอาณาจักรทะเลแห่งความทุกข์ด้วยซ้ำ
“ไปกันเถอะ ต่อให้การมาที่นี่จะไม่ได้รับสมบัติอะไรเลย แต่นี่คือภูเขาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก อย่างน้อยการมาเยือนมันก็ยังทำให้เราสามารถพัฒนาความมั่นคงทางจิตใจได้ดีกว่าที่อื่น”
หนุ่มสาวหลายคนกำลังมุ่งหน้าขึ้นไปบนยอดเขาอย่างกระตือรือร้น
“โปรดหยุดก่อน”
เย่ฟ่านทักทายหนุ่มสาวทั้งหลายคนด้วยรอยยิ้ม
ผู้คนจำนวนมากรู้สึกประหลาดใจเมื่อมองดูเย่ฟ่าน จากนั้นพวกเขาก็สอบถามถึงเจตนาของเย่ฟ่านอย่างระมัดระวัง
เย่ฟ่านอ้างว่าตนนั้นเป็นผู้บ่มเพาะอยู่ในตระกูลเล็กๆ เขาไม่รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับโลกแห่งการบ่มเพาะ เย่ฟ่านต้องการติดตามคนกลุ่มนี้ไปบนยอดเขาเพื่อเรียนรู้ธรรมเนียมของโลกแห่งการบ่มเพาะ
เมื่อมีคนแปลกหน้าขอร่วมเดินทาง หลายคนก็แสดงท่าทีต่อต้านไม่เต็มใจเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามในโลกยุคปัจจุบันนั้นมารยาทถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้ว่าพวกเขาจะไม่พอใจในตัวของเย่ฟ่าน แต่การจะขับไล่อีกฝ่ายออกไปตรงๆ ก็เป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างยิ่ง
สุดท้ายพวกเขาจึงยอมเย่ฟ่านติดตามไปถึงยอดเขาและเมื่อถึงจุดหมายพวกเขาจะต้องแยกทางกันทันที
เย่ฟ่านตกตะลึงเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าคนเหล่านี้จะไม่ปรารถนาให้เขารวมกลุ่มไปด้วย แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงท่าทีออกมาโดยตรง แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกดูถูกเหยียดหยามเย่ฟ่านอยู่เล็กน้อย
ผู้คนที่มีอัธยาศัยดีที่สุดในกลุ่มมีชื่อว่ากว๋อเจิน เขาเป็นผู้บ่มเพาะธรรมดาที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับภูเขาหลิงซาน
เย่ฟ่านคิดว่าคนๆนี้มีจิตใจที่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
กว๋อเจินพูดว่า “พี่เย่เองก็เป็นผู้บ่มเพาะที่ออกแสวงหาประสบการณ์ในโลก ผมก็เหมือนกัน การที่เราพบกันที่นี่ดูเหมือนจะเป็นโชคชะตาลิขิตแล้ว”
เขาไม่ได้เข้าร่วมสำนักใดๆ แต่โชคดีที่ปู่ของเขาได้รับสมบัติบางอย่างจากภูเขาไท่ซานเมื่อ 20 ปีก่อน ดังนั้นมันจึงทำให้เขาเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะโดยบังเอิญ
เหตุการณ์เมื่อ 20 ปีก่อนน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง มีกองกำลังแปลกๆ หลายแห่งปรากฏขึ้นบนโลก ปู่ของเขาเป็นหนึ่งในนักโบราณคดีที่ถูกส่งมาขุดค้นภูเขาไท่ซาน
เมื่อเกิดการต่อสู้ระหว่างกองกำลังหลายแห่งปู่ของเขาได้อาศัยช่วงชุลมุนแอบซ่อนเอาคัมภีร์โบราณบางเล่มติดตัวไปด้วย
“หลังจากที่คุณสัมผัสกับคัมภีร์เล่มนั้นทะเลแห่งความทุกข์ของคุณก็ถูกเปิดขึ้นหรือ?” เย่ฟ่านถามด้วยความสงสัย
“ตอนที่ผมสัมผัสกับคัมภีร์เล่มนั้นในตอนแรกมันเป็นเหตุการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืมลงอย่างเด็ดขาด ตอนนั้นผมหมดสติไปกว่าครึ่งปีเลยทีเดียว…”
ความจริงมันไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น เมื่อกว๋อเจินสัมผัสกับคัมภีร์โบราณเล่มนั้นพลังวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในคัมภีร์ก็ไหลทะลักเข้าสู่ร่างกายของเขาและทำให้ทะเลแห่งความทุกข์ของเขาเปิดออก
ปู่ของกว๋อเจินซึ่งเป็นผู้ที่สัมผัสกับคัมภีร์โบราณเป็นคนแรกก็ได้รับโชควาสนาด้วย อย่างไรก็ตามเขามีอายุค่อนข้างมาก แม้ว่าจะบ่มเพาะได้แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้อายุของเขายืนยาวขึ้น
สำหรับพ่อของกว๋อเจินเป็นเพียงคนเกเรที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ สุดท้ายเขาก็ไม่มีโชควาสนากับคัมภีร์เล่มนี้ และไม่สามารถสร้างทะเลแห่งความทุกข์ขึ้นมาได้
……………