ตอนที่ 33 ฉันไม่เชื่อ
ฉื่อเจียงนั้นก็ประหลาดใจกับการสันนิษฐานของหัวหน้าจาง หรือว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
โชคดีที่ในตอนนั้น หมาล่าเนื้อนั้นไม่ได้โจมตีพวกเขาต่อแต่แค่เฝ้ามองดูอยู่ข้างๆและเปิดโอกาสให้พวกเขาได้คุยกัน
ฉื่อเจียงนั้นก็คิดอยู่สักครู่ คำพูดของหัวหน้าจางนั้นมัความเป็นไปได้สูง สัตว์กลายพันธุ์บางตัวนั้นมีสติปัญญาสูงมากไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ ถ้าหากพวกมันค้นพบฐานทัพทหารของมนุษย์หล่ะก็ พวกมันคงไม่มีทางปล่อยให้มนุษย์ได้ครองแน่
ดังนั้น นี่หมายความว่าสัตว์กลายพันธุ์นั้นเป็นฝ่ายที่ควบคุมมนุษย์ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่สินะ?
พอคิดถึงจุดนนี้ ฉื่อเจียงนั้นก็คิดว่าควรถอยจะดีกว่า เขานั้นอยากจะกลับไปเพื่อเอาข่าวสำคัญนี้ไปบอกพ่อของเขา พ่อของเขาจะต้องมีแผนการดีๆแน่ ด้วยพลังของตระกูลฉื่ออย่างเดียว พวกเขาคงไม่สามารถยึดที่นี่ได้แน่
แต่เมื่อเขาเห็นหม่าล่าเนื้อรอบตัวเขา เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างขมขื่น แม้กระทั่งออกไป เขาก็ยังทำไม่ได้เลย
จากนั้นเอง พวกเขาก็เห็นหมาล่าเนื้อทั้งหมดขยับออกเพื่อเปิดทางตรงกลาง และทันใดนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินออกมา
“ยินดีต้อนรับทุกคน ฉันอยากจะต้อนรับอย่างอบอุ่นอยู่หรอก แต่น่าเสียดายที่นี่มันทรุดโทรมขนาดนี้ ดังนั้นต้องขอโทษด้วยนะ”ซูเฉินก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ฉื่อเจียงก็ก้าวออกมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันหยิ่งยโส “ฉันฉื่อเจียง นายน้อยตระกูลฉื่อ คนพวกนี้คือกองกำลังภายใต้บัญชาการของฉัน รีบสั่งให้พวกสัตว์กลายพันธุ์เน่าเหม็นพวกนี้ออกไปซะ มิฉะนั้นกองัทพตระกูลฉื่อของฉันจะมาพังที่นี่เละแน่!!”
ใบหน้าของหัวหน้าจางก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยิน นายน้อยครับ ถ้าอยากจะอวดเบ่ง ช่วยทำความเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าก่อนได้ใหม ตอนนี้ พวกเราหน่ะไม่ต่างอะไรกับหนูติดจั่นแล้วนะ คุณพูดอย่างนี้มันแส่หาที่ตายชัดๆ?!
ฉื่อเจียงนั้นไม่ได้ไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า เขานั้นเชื่อว่าด้วยการข่มขู่โดยใช้ชื่อตระกูลฉื่อนั้นมีประโยชน์มากกว่าคำพูดอื่นอีก ใครๆที่อยู่ใกล้กับเมืองฐานทัพต่างก็น่าจะรู้ความแข็งแกร่งของตระกูลฉื่ออย่างดี และตระกูลฉื่อนั้นก็เป็นตระกูลอันดับที่สามในเมืองฐานทัพ ใครกันจะกล้าต่อต้าน?
ถ้าหากเป็นคนธรรมดา พวกนั้นก็อาจจะกลัวเลยด้วยซ้ำ ยังไงซะ ทุกคนต่างก็ประจักษ์ในความแข็งแกร่งของเมืองฐานทัพเป็นอย่างดี แต่เขานั้นไม่รู้ว่าเป้าหมายของซูเฉินนั้นคิดยึดเมืองฐานทัพ แล้วเขาจะไปกลัวการโต้ตอบของเมืองฐานทัพได้ไง?
“โอ้ ตระกูลฉื่อที่ว่านี่แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรอ?”
“ฮึม!!”ฉื่อเจียงก็พ่นลมหายใจอย่างดูถูก เขานั้นคิดว่าอีกฝ่ายคงหวาดกลัวในชื่อเสียงของตระกูลฉื่อ ในขณะที่เขากำลังแสดงท่าทีอวดเบ่งอยู่นั้น เขาก็มองเห็นอีกฝ่ายโบกมือก่อนที่หมาล่าเนื้อหลายตัวจะกระโจนเข้ามาก แล้วจากนั้นวิสัยทัศน์ตรงหน้าของเขาก็ดำสนิทไป
เมื่อฉื่อเจีงตื่นขึ้นมา เขาก็พบว่าตัวเขานั้นถูกขังในบ้านไม้พร้อมกับคนมากมายที่ส่งกลิ่นเหม็นอยู่รอบตัวเขา
“เอ้าคนใหม่หนิ ใหนแนะนำตัวหน่อยสิ”คนที่อยู่ข้างเขาก็ยิ้มยิงฟันเผยให้เห็นฟันอันเหลืองอ๋อย
“ฉันอยู่ที่ใหน?! แล้วพวกนายเป็นใครกัน?”ฉื่อเจียงก็ก้าวถอยหลังพร้อมกับถามออกมา
“นี่นายมาถึงที่นี่แล้วยังไม่รู้อีกหรอว่าอยู่ที่ใหน?”คนๆหนึ่งก็หันมามองฉื่อเจียงอย่างแปลกๆ
ทันใดนั้นฉื่อเจียงก็ตระหนักได้ว่าเขานั้นอยู่ในฐานทัพทหารที่เขาใฝ่ฝันถึง!
“นี่ฐานทัพทหารหรอ?”
“จะบอกว่ามันคือฐานทัพทหารก็ไม่ผิดหรอกแต่มันแตกต่างกับที่นายจินตนาการไว้ ฐานทัพนี่มาสร้างที่หลัง ถ้าหากฉันจำไม่ผิด มันน่าจะสร้างขึ้นในเวลาสั้นๆ และบางทีก็คงจะผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยหล่ะมั้ง”คนๆหนึ่งก็พูดขึ้น
“เป็นไปไม่ได้ แม้กระทั่งเมืองฐานทัพก็ยังใช้เวลาหลายปีกว่าจะก่อสร้างเสร็จ แล้วฐานทัพทหารแบบนี้จะสร้างขึ้นภายในเวลาที่น้อยกว่าหนึ่งเดือนได้อย่างไรกัน?”ฉื่อเจียงนั้นไม่อยากจะเชื่อในคำพูดของคนเหล่านี้
“ฉันรู้ว่านายไม่เชื่อแต่พวกเรามาที่นี่ก่อนที่นายจะมา ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนนายจะมา ในฐานี่มีสิ่งก่อสร้างแค่สี่หรือห้าแห่งเอง แต่นายรู้ใหมว่าเมื่อเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ สิ่งก่อสร้างหลายอันก็โผล่ขึ้นมาในฐาน และมันก็แค่เพียงวันเดียวด้วยนะ!!”
ดวงตาของฉื่อเจียงก็เบิกกว้างขึ้นเพราะเขาไม่อาจจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินว่า แต่คนพวกนี้ใจเย็นราวกับเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี
“พวกนายเป็นใครกัน แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ไง? ใครควบคุมฐานนี้?”ฉื่อเจียงนั้นก็รู้สึกกังวลมาก
“หน้าใหม่ นั่งลงแล้วค่อยๆพูด”
ฉื่อเจียงได้รู้จากคนพวกนี้ว่าพวกเขานั้นได้ค้นพบสิ่งผิดปกติที่นี่ก็เลยมาตรวจสอบ ผลปรากฏว่าพวกเขานั้นถูกจับและโดนบังคับให้มาขุดเหมืองถ่านหินโดยไม่มีวัหนุด
สิ่งที่แปลกที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือคนที่ควบคุมที่นี่ให้ทหารพวกนั้นมาร่วมขุดเหมืองกับพวกเขาด้วยซึ่งมันทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสได้หลบหนี
“ชายหนุ่มควบคุมฐานนี้งั้นหรอ?”ทันใดนั้นฉื่อเจียงก็นึกถึงคนที่เขาได้เห็นก่อนจะหมดสติ หรือว่าคนๆนั้นจะเป็นควบคุม?
ทันใดนั้นความอิจฉาก็ได้ก่อตัวขึ้นในใจของฉื่อเจียง แม้ว่าเขานั้นจะไม่เคยคิดถึงการควบคุมฐานนี้มาก่อนแต่กลับมีคนอื่นชิงตัดหน้าไปก่อนเขาแล้ว
อภัยให้ไม่ได้!
แกรก!
ทันใดนั้นประตูไม้ก็ถูกเปิดออกพร้อมกับที่ทหารถือปืนเดินเข้ามา “ทุกคน ลุกขึ้นแล้วไปเริ่มขุดเหมืองซะ”
ซูเฉินนั้นไม่สนใจใยดีกับสถานการณ์ของพวกคนขุดเหมือง เขานั้นรู้อยู่แล้วว่าคนที่เขาจับนั้นเป็นคนจากตระกูลฉื่อของเมืองหวังฉาง และฐานะก็ไม่ได้ต่ำด้วย ดังนั้นเขาจึงได้ติดต่อกับเหลิงหยูเหว่ยที่อยู่ในเมืองหวังฉาง
หลังจากเฝ้าสังเกตมาสองวัน เหลิงหยูเหว่ยและอีกสองคนนั้นก็เจอที่พักอาศัยในเมืองหวังฉางชั่วคราว จากนั้นพวกเขาก็ไปสอบถามเรื่องต่างๆเกี่ยวกับเมืองหวังฉาง
“พวกนายช่วยไปตรวจสอบดูสิว่าในเมืองฐานทัพมึคนชื่อฉื่อเจียงหรือเปล่า คนๆนี้น่าจะเป็นนายน้อยตระกูลนึง”เสียงของซูเฉินก็ดังขึ้นมาจากมือถือ
“ในเมืองหวังฉาง มีตระกูลฉื่ออยู่ตระกูลเดียว เดี๋ยวฉันตรวจสอบให้เดี๋ยวนี้”
ทันทีเหลิงหยูเหว่ยก็พบข้อมูลเกี่ยวกับฉื่อเจียง เธอนั้นจึงประหลาดใจมาก หรือว่าฉื่อเจียงไปฐานทัพแล้วถูกซูเฉินจับหน่ะ?
โดยไม่คิดให้เสีย เหลิงหยูเหว่ยจึงส่งข้อมูลของฉื่อเจียงให้กับซูเฉิน
ซูเฉินก็เอามาดูและอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เขานั้นเชื่อว่าตราบใดที่เขามีฉื่อเจียงอยู่ในกำมือ ตระกูลฉื่อนั้นจะต้องอยู่เฉยๆไม่ได้แน่ ในไม่ช้าพวกนั้นก็จะต้องส่งกองทหารมา
พอถึงตอนนั้น แผนการของเขาก็จะได้เริ่มต้นสักที!!
แต่เมื่อเขาพบว่าพลังงานของเขาลดลงจนเกอบถึงศูนย์ ซูเฉินก็ถอนหายใจออกมา การสร้างของพวกนั้นมันกินพลังงานของเขาเยอะมาก ในตอนนี้พลังงานของเขาเกือบจะหมดลงแล้ว
“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเร่งความเร็วในการขุดเหมืองและสร้างรถขุดเหมืองประเภทมิติเวลาอีกห้าคันแล้วสิ”
รถขุดเหมืองประเภทมิติเวลานั้นมีความเร็วในการขุดมากกว่าแรงงานขุดเหมือง และปริมาณที่ขนส่งกลับมาต่อครั้งนั้นก็มีมากกว่าด้วย
ตามการคำนวณของระบบ เหมืองถ่านหินนี้ไม่ได้เล็กเลยและมันเพียงพอจะให้ฐานทัพใช้งานได้ถึงหนึ่งปี
อย่าดูถูกเวลาหนึ่งปีเชียว ด้วยการเพิ่มขึ้นของสิ่งก่อสร้างในฐานทัพและการเพิ่มความแข็งแกร่งของฐาน ความดเร็วในการขุดเหมืองก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ในระยะสุดท้าย สักวันหนึ่งเหมืองก็อาจจะใช้งานไม่ได้แล้ว
ในขณะที่ซูเฉินกำลังรอให้เมืองฐานทัพส่งกองทัพมา เขานั้นก็ได้รับการติดต่อจากทหารของเขา ทหารคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นรางวัลกองทหารร่มชูชีพที่เขาได้รับ
เนื่องจากตำแหน่งที่อยู่ของกองทหารร่มชูชีพนั้นอยู่นอกเหนือระยะเรดาห์ ซูเฉินจึงมองไม่เห็นว่าพวกนั้นอยู่ที่ใหน กล่าวง่ายๆก็คือเขาปล่อยพวกนั้นไปแบบตามมีตามเกิด ไม่คาดฝันเลยว่ากองทหารร่มชูชีพจะติดต่อเขามาตอนนี้ หรือว่าพวกนั้นพบอะไรบางอย่าง?