ตอนที่ 18 ไม่เหลือศักดิ์ศรีนักสู้
ตอนที่ 18 ไม่เหลือศักดิ์ศรีนักสู้
"ไปเลย!"
เจิ้งเหรินซินตัดสินใจอย่างรวดเร็วและออกคำสั่งทันที
แต่หลี่จีกลับหัวเราะเยาะและพุ่งไปข้างหน้าและเหวี่ยงดาบเล่มใหญ่ขนาดพอๆกับประตูไปทางเจิ้งเหรินซินและคนอีกสี่คน
เจิ้งเหรินซินและนักศิลปะการต่อสู้อีกสี่คนที่อยู่ในขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะรีบยกดาบเล่มยาวขึ้นเพื่อป้องกันที่หน้าหน้าอกของพวกเขา
"อั่ก อั่ก อั่ก อั่ก"
เสียงของเจิ้งเหรินซินสั่นราวกับว่าเขากำลังถูกโจมตีอย่างแรงเมื่อรู้สึกถึงพลังอันทรงพลังที่เข้ามาปะทะร่างของเขา
แม้ว่าเขาจะปล่อยพลังออกมาทั้งหมดออกมาแล้วและแม้กระทั่งทําให้ร่างกายแข็งแรงจนถึงขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะ แต่เขาก็แทบจะไม่สามารถต้านทานพลังนี้ได้
ในช่วงเวลาถัดมา เจิ้งเหรินซินที่ถูกฟันอีกอีกหนึ่งครั้งก็กระเด็นออกไปไกลทันที
"อั่กก"
เจิ้งเหรินซินเอามือกุมหน้าอกของเขาและกระอักเลือดออกมาเต็มปาก
ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
และเป็นอาการบาดเจ็บจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว
และไม่เพียงแค่เจิ้งเหรินซินเท่านั้น แต่นักศิลปะการต่อสู้อีกสี่คนจากสำนักเมียวชูต่างก็ได้รับบาดเจ็บในระดับที่ต่างกันไปเช่นกัน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นักศิลปะการต่อสู้ทั้งสี่คนก็ตกตะลึง
แค่การโจมตีเพียงครั้งเดียวจากหลี่จีนั้นสามารถทำให้พวกเขาบาดเจ็บได้
แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะอยู่ในขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะ แต่ความแตกต่างของความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นราวกับฟ้าแลเหว
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลี่จีสามารถปิดกั้นเส้นทางการค้าและหลบหนีจากการปิดล้อมของกองทัพจักรวรรดิในตอนนั้นได้ ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในขอบเขตพลังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะเอาชนะเขาได้”
“ท่านผู้นำ รีบหนีไปครับ! ท่านจะมาตายที่นี่ พวกข้าสี่คนจะถ่วงเวลาให้ท่านเอง!”
“ท่านผู้นำ พวกเราพ่ายแพ้แล้ว ได้โปรดรีบหนีไปเถิด!”
นักศิลปะการต่อสู้ชั้นนําทั้งสี่คนจากสำนักเมียวชูต่างตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวัง
ครั้งนี้สำนักเมียวชูได้ทุ่มสุดพลังที่มีแล้ว ถ้าหากนักศิลปะการต่อสู้ชั้นนําถูกฆ่าตายจนหมด ผลที่ตามมาจะเลวร้ายลงกว่าเดิมมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเจิ้งเหรินซินมาตายที่นี่ รากฐานอันเก่าแก่ของสำนักเมียวชูอาจถูกทําลายลงในทันที
"เจ้าคิดจะหนีงั้นรึ?!"
"ถ้าอย่างนั้นก็ตายตามกันไปให้หมดซะเถอะ!"
หลี่จีถือดาบเล่มใหญ่ราวกับประตูและก้าวไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
เจิ้งเหรินซินนั้นไม่ใช่คนโง่
แม้ว่าดวงตาของเขาจะเป็นโกรธจนกลายสีแดงก่ำพร้อมกับเส้นเลือดที่โป่งออกมาจากข้างหัว แต่เขาก็ไม่สามารถตายที่นี่ได้จริงๆ
ถ้าหากเขาตาย สำนักเมียวชูจะแตกสลายและตกอยู่ในความโกลาหล
ขณะที่เจิ้งเหรินซินกําลังจะหนีนั้น
"โอ้ววว"
จู่ๆกลุ่มโจรหลายสิบคนก็ปรากฏตัวขึ้นจากนอกวัดร้าง และผู้นําของพวกเขาคือนักศิลปะการต่อสู้ที่อยู่ในขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะ
พวกเขากำลังยืนถือหน้าไม้และเข้าล้อมกองกำลังของกลุ่มสำนักเมียวชู
เมื่อเห็นแบบนี้ นักศิลปะการต่อสู้ของสำนักเมียวชูที่ยังคงต่อสู้อยู่ในบริเวณวัดร้างนั้นก็อยู่ในความกลัวอย่างมาก และขวัญกําลังใจของพวกเขาก็เริ่มลดลง
"พอได้แล้ว!!"
ในขณะนี้ เจิ้งเหรินซินตะโกนออกมาทันที
เขาจ้องไปที่หลี่จีและพูดอย่างเย็นชาว่า “พอได้แล้วหลี่จี ครั้งนี้สำนักเมียวชูขอยอมแพ้แต่เพียงเท่านี้”
“เจ้ามาที่เมืองหนานหยางจากทางใต้ซึ่งเป็นการทำที่เสี่ยงมากก็เพื่อทองคําและเงินสินะ?”
"ถ้าอย่างนั้นก็บอกจำนวนที่เจ้าต้องการมาเลย!!"
คําพูดของเจิ้งเหรินซินนั้นทําให้ทุกคนตกตะลึง
แม้แต่หลี่จีเองก็หยุดเดินเช่นกัน
"ยอมแพ้งั้นรึ?"
"นี่เจ้าไม่ได้พยายามจะต่อสู้จนตัวตายหรอกหรือ?"
เจิ้งเหรินซินส่ายหัว "การต่อสู้จนตายจะส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากขึ้นเท่านั้น มันไม่เกิดประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย!"
หลังจากที่พูดจบ เจิ้งเหรินซินก็ทิ้งอาวุธในมือของเขา
การกระทำที่ "ตรงไปตรงมา" นี้ทําให้รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏบนใบหน้าของหลี่จี
"ฮ่าๆๆๆ ไม่เลวนี่ ดูเหมือนเจ้าจะฉลาดอยู่บ้างนะ"
"ให้คนของเจ้าวางอาวุธลงซะ!"
เจิ้งเหรินซินเหลือบไปมองคนของสำนักเมียวชูซึ่งตอนนี้เหลือเพียงประมาณสามสิบคนหรือมากกว่านั้น จากที่เคยมีมากถึง 80 คน เขาถอนหายใจและพูดว่า "วางอาวุธของพวกเจ้าลงซะ"
"แคล้ง แคล้ง"
คนของสำนักเมียวชูวางอาวุธลงทันที
"หลี่จี บอกจำนวนที่เจ้าต้องการมาได้แล้ว!!"
เจิ้งเหรินซินพูดอีกครั้ง
แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่พอใจมาก แต่ตระกูลเจิ้งแห่งเมืองหนานหยางนั้นไม่ใช่ตระกูลของนักศิลปะการต่อสู้ และสำนักเมียวชูก็ได้รับชื่อเสียงจากการสร้างแพทย์มาหลายชั่วอายุคนและสะสมความมั่งคั่งกับอำนาจมานานกว่าศตวรรษ เมื่อเผชิญหน้ากับโจรที่โหดร้ายอย่างหลี่จีพวกเขาจึงไม่มีทางต่อต้านได้ พวกเขาจึงต้องใช้เงินเพื่อแลกกับความปลอดภัยและหวังว่าจะรอดไปได้ในครั้งนี้เท่านั้น
แม้ว่าหลี่จีจะดูแข็งแกร่ง แต่เขาเองก็ค่อนข้างฉลาด
เขากลอกตาและหัวเราะอย่างกะทันหัน “เจิ้งเหรินซิน ตระกูลเจิ้งของเจ้าก่อตั้งสำนักเมียวชูมาเพื่อฝึกฝนแพทย์มาแล้วหลายชั่วอายุคนและสะสมความมั่งคั่งเป็นเวลาร้อยปี ทองคําและเงินที่พวกเจ้าเก็บเอาไว้ก็ต้องมีมากมายเช่นกัน”
“ข้าจะไม่ระบุจํานวนเงิน แต่พวกเจ้าจะต้องขนเงินมากองตรงหน้าข้าเรื่อยๆ”
“ถ้าข้าพอใจ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป เพราะน้องชายของข้าและข้าก็เข้ามาทางใต้ด้วยความเสี่ยงสูงมาก และสิ่งที่พวกข้าต้องการก็คือทองคําและเงิน ชีวิตของเจ้าจึงไม่มีค่าสําหรับพวกข้ามากนัก”
ใบหน้าของเจิ้งเหรินซินนั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาคิดอยู่แล้วว่าหลี่จีเป็นคนโลภ แต่เขาก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนโลภขนาดนี้
หลี่จีไม่ได้พูดระบุจํานวนเงินแต่ให้เอาเงินมากองจนกว่าจะพอใจแทน
เมื่อนึกได้แบบนี้ เจิ้งเหรินซินจึงกัดฟันแน่นและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “หลี่จี ข้าจะส่งลูกชายของข้าเจิ้งยี่เฟิงกลับไป ส่วนเจ้าก็ส่งคนไปรับเงินพร้อมกับเขาซะ ส่วนเจ้าจะเอาเท่าไหร่มันก็ขึ้นอยู่กับวิธีการของเจ้า”
หลี่จีหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ “ฮ่าๆๆๆ ดีมาก ให้คนของเจ้ากับเจิ้งยี่เฟิงกลับไปได้”
“และถ้าเจิ้งยี่เฟิงกล้าตุกติกล่ะก็ ฆ่าจะฆ่ามันทันที”
"ได้"
หลังจากนั้น หลี่เอ้อฮูและกลุ่มชายมากกว่าสิบคนก็พาเจิ้งยี่เฟิงออกไปจากวัดร้าง
เจิ้งเหรินซินและคนอื่นๆนั้นนั่งยองๆอยู่บนพื้นโดยที่ถูกจับตามองไว้โดยคนของหลี่จี
หลี่จีเกาหัวก่อนจะยิ้มและพูดว่า "เจิ้งเหรินซิน ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นเหมือนกับที่ข้าคิดเอาไว้เลยนะ"
แต่โจรคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆส่ายหัวและพูดอย่างเย็นชาว่า "ท่านราชา ตระกูลเจิ้งนั้นคงอยู่มานานกว่าร้อยปีแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมีวิธีเป็นของตนเอง"
“พวกเขาไม่ใช่ตระกูลศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นพวกเขาจะไม่ต่อสู้จนตายเหมือนพวกเราชาวเจียงหู เพียงแต่ข้าคิดว่าพวกเขาอาจจะมีคนที่แข็งแกร่งบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักศิลปะการต่อสู้ทั้งสี่คนที่อยู่ในขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะ แต่ข้าก็ไม่ได้คิดเลยว่าพวกมันจะอ่อนแอขนาดนี้ พวกมันกระจอกกว่าคนของกองทัพจักรพรรดิด้วยซ้ำ ฮ่าๆๆๆๆ...”
“ดูเหมือนว่าสำนักเมียวชู จะร่ำรวยและหมกมุ่งอยู่กับเงินจนไม่มีวิญญาณการเป็นนักสู้งเหลืออีกแล้วสินะ”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง โจรหลายคนก็หัวเราะออกมาด้วยสายตาที่เยาะเย้ยของพวกเขาที่มีต่อกลุ่มสำนักเมียวชู
ผู้คนในสำนักเมียวชูได้แต่จ้องมองด้วยความโกรธ แต่ส่วนใหญ่ก็ก้มหน้าลง
เพราะสิ่งที่โจรเหล่านี้พูดคือความจริง
ตระกูลเจิ้งนั้นได้สูญเสียจิตวิญญาณแห่งนักสู้ไปนานแล้ว และพวกเขาก็ไม่สามารถต่อสู้ได้มากนักถึงแม้จะมีนักศิลปะการต่อสู้ถึงสี่คนที่อยู่ในขอบเขตการปรับแต่งอวัยวะ
สายตาของเจิ้งเหรินซินเริ่มเย็นชาและเขากําหมัดแน่น
แต่เขาก็ไม่กล้าทำอะไรมากนักและทําได้เพียงอดทนต่อการเยาะเย้ยจากคนของหลี่จีเท่านั้น
"บู้มมม"
ในขณะนี้ ท้องฟ้าได้มืดลงอย่างกะทันหันพร้อมกับเสียงฟ้าร้องที่ดังก้อง
ไม่นานนักฝนก็เริ่มตกหนัก
แต่ถึงฝนจะตกหนักก็ไม่มีผลกับผู้คนในวัดร้างแห่งนี้
พวกโจรยังคงดื่มกินอย่างเต็มที่และกำลังรอเงินทองจากสำนักเมียวชูอย่างสนุกสนาน
"ซึ่บ ซึ่บ ซึ่บ"
ทันใดนั้น ร่างๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางสายฝน
คนๆนั้นสวมหมวกไม้ไผ่ เสื้อผ้าสีดํา และหน้ากากผ้าสีดําปิดหน้าเป็นการปกปิดตัวตนของเขาอย่างสมบูรณ์ เขาค่อยๆเดินทีละก้าวไปยังวัดร้าง
“หยุดก่อน! เจ้าเป็นใครกัน?!”
โจรที่เฝ้าทางเข้าวัดตะโกนเสียงดังทันที
คนๆนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือลู่ชางเฉิง!!
เขาเงยหน้าขึ้นและจากสายตาของเขา เขาสามารถมองเห็นสถานการณ์ภายในวัดร้างได้แล้ว
สำนักเมียวชูที่มีผู้คนมากมายตอนนี้กําลังนั่งยองๆเป็นเชลยของกลุ่มโจร
ลู่ชางเฉิงส่ายหัว ดูเหมือนว่าตระกูลเจิ้งนั้นจะไม่ได้กล้าหาญเหมือนกับที่เขาคิดไว้!
จากนั้น ลู่ชางเฉิงก็ค่อยๆเดินเข้ามาทีละก้าวราวกับไม่ได้ยินเสียงตะโกนห้าม
เขาเดินไปจนถึงทางเข้าวัดร้าง
"ชิ้งง"
โจรที่เฝ้าทางเข้าวัดดึงดาบออกมาทันที
ลู่ชางเฉิงหยุด
เขามองไปที่โจรทั้งสองแล้วพูดตะโกนไปเสียงดังๆ “ข้าเป็นนักเที่เดินทางมาทั้งวันโดยที่ไม่ได้หยุดพัก และเนื่องจากตอนนี้ฝนตกหนักมาก ข้าขออนุญาตเข้าไปหลบพักด้านในวัดสักพักได้หรือไม่?”