1325 - ความลึกลับของไท่ซาน
1325 - ความลึกลับของไท่ซาน
เย่ฟ่านยืนอยู่บนต้นไม้โบราณภูเขาปาหลิง เปิดกล่องหยกอย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตามสิ่งที่ปรากฏขึ้นกลับเป็นเพียงกระดูกเต๋าชิ้นหนึ่ง
เขาสงสัยอย่างอดไม่ได้ นี่เป็นเพียงกระดูกที่ไม่มีพลังแผ่ซ่านออกมาแม้เพียงเล็กน้อย มันมีประโยชน์อะไรฉือซ่งจื้อจึงเก็บใส่กล่องหยกด้วยความระมัดระวังถึงขนาดนี้
แต่เมื่อได้สัมผัสกับกระดูกชิ้นนั้นอย่างจริงจังเย่ฟ่านก็ค้นพบว่ามันมีน้ำหนักมากมายมหาศาล เขาพยายามบีบมือเข้าหากันแต่กลับไม่สามารถทำให้กระดูกชิ้นนี้แตกหักได้
เย่ฟ่านเปิดตาที่สามและพบอักขระโบราณสี่ตัวที่ทำให้เขาตกใจทันที มันคือคำว่าโอกาสแห่งการเป็นอมตะ!
เย่ฟ่านกำลังหมกมุ่นอยู่กับคำว่าอมตะ เพราะยิ่งเขาต้องรู้กับมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น ไม่มีหลักฐานใดๆ แม้แต่ฉือซ่งจื้อเองก็ยังตายไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ของที่ระลึกจากฉือซ่งจื้อเป็นเพียงเศษกระดูก คำทั้งสี่คำดูเหมือนจะมีพลังที่วิเศษที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ในตอนที่เย่ฟ่านเปิดตาที่สามของเขา เขาเคลื่อนกระดูกไปทางดวงอาทิตย์ เมื่อสัมผัสกับแสงของดวงอาทิตย์มันก็ปรากฏแผนที่ขนาดเล็กขึ้นบนกระดูก
เย่ฟ่านตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น แท้ที่จริงแล้วนี่คือแผนที่ที่มีการเชื่อมต่อกับลวดลายบนแท่นบูชาซึ่งผู้ที่อยู่ในวังใต้ดินของภูเขาลู่ซานทิ้งไว้ได้อย่างพอดิบพอดี
แต่ะภาพมีมุมที่สามารถเชื่อมต่อกันได้ เมื่อรวมแล้วมันก็กลายเป็นแผนที่ที่เกือบสมบูรณ์!
ในวังใต้ดินในภูเขาลู่ซานเป็นสถานที่อันลึกลับอย่างแน่นอน โดยเฉพาะซากศพที่แห้งเหี่ยวนั้น เขาถูกกักขังและทรมาณที่นั่นมาหลายปีโดยไม่ทราบสาเหตุ และในลมหายใจสุดท้ายเขาได้แกะสลักบางอย่างไว้บนแท่นบูชา
เย่ฟ่านเริ่มอนุมานความเป็นไปได้หลายอย่าง ดูเหมือนคนที่จับตัวชายคนนั้นมาล่ามไว้กับแท่นบูชาเมื่อร้อยปีก่อนจะมีลางสังหรณ์ว่าโลกในอนาคตต้องมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ดังนั้นเขาจึงบังคับให้อีกฝ่ายมอบความลับของตัวเองออกมา
บุคคลที่จับตัวชายคนนั้นไว้ต้องมีพลังขาดไหน ถึงสามารถกักขังผู้บ่มเพาะระดับเสมือนจักรพรรดิและบังคับให้เขามอบความลับของตัวเองออกมาได้
“โอกาสแห่งการเป็นอมตะ”
นี่คือโชควาสนามากเพียงใด ต่อให้เป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังต้องแย่งชิงโอกาสนี้และพร้อมที่จะสังหารศัตรูทั้งหมดอย่างแน่นอน
“มุมต่างๆ ที่เชื่อมต่อกันทำให้แผนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นสองเท่า แต่น่าเสียดายที่มันยังไม่สมบูรณ์”
ฉือซ่งจื้อก็เป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เช่นกัน แต่หลังจากที่เขาตายไปแล้วเขายังคงเก็บแผนที่นี้ไว้กับตัว เห็นได้ชัดว่ามันมีค่าสำหรับเขามากแค่ไหน
เย่ฟ่านยืนอยู่บนภูเขาปาหลิง มองออกไปโดยรอบแล้วถอนหายใจ สมแล้วที่สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าหมื่นมังกร เพราะแม้แต่สุสานของฉือซ่งจื้อก็ยังอยู่ที่นี่
ภูดเขาแปดลูกทอดยาวเหมือนมังกรที่กำลังเคลื่อนที่ไปมา ดูสง่างามและแปลกตา กล่าวอีกนัยหนึ่งสถานที่แห่งนี้มีสุสานของยอดคนผู้ยิ่งใหญ่ของจีนโบราณถูกฝังไว้มากมายนับไม่ถ้วน
หลังจากที่พ่อแม่ของเย่ฟ่านเสียชีวิตไปแล้ว จิตใจของเขาก็สงบลงอย่างมาก เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ห่วงพะวงอีกเขาก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
แต่เดิมการบรรลุความเป็นอมตะไม่ใช่เส้นทางของเขา เขาฝึกฝนอย่างหนักเพื่อกลับมายังโลกใบนี้และได้พบกับพ่อแม่อีกครั้ง
อย่างไรก็ตามพ่อแม่ของเขาได้ตายไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเพียงสิ่งไร้ประโยชน์ ดังนั้นเย่ฟ่านจึงต้องค้นหาจุดมุ่งหมายในการใช้ชีวิตต่อไป
เย่ฟ่านเริ่มพิจารณาอยู่ในใจว่าเขาจะใช้อะไรยึดเหนี่ยวตัวเองให้สามารถบ่มเพาะต่อไปข้างหน้าได้ เมื่อเขาสงบใจและพิจารณาอย่างจริงจังเขาก็ตระหนักได้ว่ามีเพียงความเป็นอมตะเท่านั้นจึงคู่ควรกับการให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ
ไม่มีใครรู้ว่าเซียนอมตะที่แท้จริงมีตัวตนอยู่หรือไม่ แม้กระทั่งผู้ที่ถูกเล่าขานว่าเป็นผู้อมตะที่แท้จริงก็ตายไปหมดสิ้นแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นความลับอันดำมืดของจักรวาลที่เย่ฟ่านต้องค้นหาความจริงให้เจอ
“ในเมื่อข้าไม่อาจตัดเต๋าอดีตของตัวเองออกไปได้ เช่นนั้นข้าก็จะบ่มเพาะตามแนวทางของคนโบราณที่สามารถบรรลุขอบเขตเซียนได้โดยไม่จำเป็นต้องตัดสิ่งใดทิ้ง”
แน่นอนว่าการตัดกิเลสทั้งปวงนั้นเป็นเส้นทางที่เร็วที่สุดที่จะบรรลุขอบเขตเซียน นี่เป็นกระบวนการที่ผู้คนในทุ่งดวงดาวเป่ยโต้วใช้กันอย่างแพร่หลาย
เดิมทีเส้นทางนี้ถูกค้นพบโดยนักบวชนิกายพุทธ แต่ในปัจจุบันมันแพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกและทำให้มีสิ่งมีชีวิตระดับราชาผู้ยิ่งใหญ่มากมาย
เย่ฟ่านไม่ได้มีความทะเยอทะยานในการเป็นเซียนจนถึงขั้นต้องลบล้างความทรงจำของตัวเองทิ้ง
เขาแค่อยากเดินตามทางตัวเอง บางทีเส้นทางของเขาอาจเป็นภาพลวงตาไม่มีทางบรรลุความสำเร็จได้ แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเลือกเส้นทางที่ผู้อื่นเลือกเช่นกัน
นี่ไม่ใช่การเสียเวลเปล่า เย่ฟ่านไม่ได้มีความรีบร้อนที่จะบรรลุขอบเขตเซียนให้ได้ เขาแค่ต้องการแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยก็ยังดี ดังนั้นไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่เขาก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจมากนัก
เย่ฟ่านศึกษาคัมภีร์โบราณแทบทุกเล่ม เขาต้องการค้นหาเส้นทางที่ถูกต้องจากแนวคิดของคนโบราณ เย่ฟ่านไม่ต้องการที่จะตัดเต๋า แต่เขาจะปราบปรามมันให้ยอมสยบด้วยกำลัง
ในตอนนี้เย่ฟ่านเริ่มฝึกฝนให้เสี่ยวซงอยากจริงจัง เขาไม่อยากฝืนธรรมชาติของมันมากนัก อย่างไรก็ตามหากมันต้องการติดตามเขาในอนาคตอย่างน้อยมันก็ควรจะมีความแข็งแกร่งมากกว่านี้
เจ้าตัวเล็กนั้นกลัวเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่า ดังนั้นสิ่งแรกที่เย่ฟ่านต้องทำคือพยายามลบล้างความกลัวนี้ออกไป
เย่ฟ่านเรียกสายฟ้าออกมา จากนั้นเขาก็สาธิตโดยการปล่อยให้ทะเลสายฟ้ากระแทกร่างกายของตัวเองอย่างว่าคลั่ง
ในความเป็นจริงเขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้ แต่เขาต้องการพิสูจน์ให้เสี่ยวซงเห็นว่าสายฟ้านั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ขอเพียงเจ้ามีความแข็งแกร่งมากพอเจ้าจะสามารถปราบปรามทุกสิ่งทุกอย่างได้ ต่อให้มันเป็นสวรรค์ก็ตาม
เนื้อตัวของเสี่ยวซงถูกฉีกเป็นชิ้นๆ จากการถูกสายฟ้าโจมตี มันหมดสติไปหลายครั้งและเต็มไปด้วยความหวาดกลัวในใจ แต่เมื่อมันตื่นขึ้นมาแล้วพบกับเย่ฟ่านมันก็กัดฟันและเผชิญหน้ากับสายฟ้าอีกครั้ง
เมื่อได้รับสายฟ้าเข้าสู่ร่างกาย ความเจ็บปวดของมันเริ่มเปลี่ยนเป็นความชินชา ในเวลาต่อมามันได้เปลี่ยนสายฟ้าเหล่านั้นให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย จนกระทั่งเปลี่ยนแปลงเป็นพลังให้กับตัวเอง
มันฝึกฝนไปอย่างช้าๆ และในที่สุดมันก็ไม่หวาดกลัวอีกต่อไป ไม่เพียงสายฟ้าธรรมดาจะไม่สามารถสร้างผลกระทบอะไรให้มันได้ แม้แต่ทัณฑ์สวรรค์ที่ว่าน่ากลัวมันก็ยังรับประทานลงท้องเหมือนลูกกวาดแสนอร่อย
“มีเพียงความกล้าหาญเท่านั้นจึงจะทำให้เจ้ายืนหยัดได้ ไม่จำเป็นต้องกลัวมัน เพราะในอนาคตเจ้าจะต้องเจอกับมันสักวัน การเผชิญหน้ากับมันในตอนนี้จะทำให้เจ้ามีรากฐานที่ดีมากขึ้น”
เย่ฟ่านมอบสมุนไพรล้ำค่าและเลือดสีทองของเขาให้เสี่ยวซง ความสำเร็จของกระรอกน้อยนั้นมาจากการผลักดันของเขาอย่างแท้จริง
หลังจากกลับมาที่โลกอีกครั้งเย่ฟ่านยังไม่เคยลืมมังกรเก้าตัวลากโลงศพแม้แต่ครั้งเดียว ทุกอย่างเริ่มต้นที่ภูเขาไท่ซาน เขาอยากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น และต้องการสำรวจแท่นบูชาห้าสีอย่างจริงจัง
เย่ฟ่านได้ยินจากซูฉงว่า เหตุการณ์นี้สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่าทางการได้ใช้กำลังคนและทรัพยากรมากมายเพียงใดในการปิดกั้นภูเขาไท่ซานไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปข้างในเป็นเวลาหลายปี
ตอนนั้นทุกฝ่ายต่างกดดัน แม้กระทั่งมหาอำนาจหลายประเทศก็ยังต้องการสำรวจสิ่งที่เกิดขึ้น ในเวลาเดียวกันศาสนจักรทั่วโลกต่างก็ส่งคนของพวกเขามาติดต่อขอสำรวจเรื่องนี้อย่างจริงจัง
แม้ว่าประเทศจีนจะเป็นหนึ่งในมหาอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานข้อเรียกร้องของนานาชาติได้
สุดท้ายการสำรวจครั้งใหญ่จึงเริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น อย่างไรก็ตามจนถึงปัจจุบันยังไม่มีข่าวคราวใดเล็ดรอดออกมาแม้เพียงเล็กน้อย แม้กระทั่งในหมู่ประชาชนก็ยังพูดถึงเรื่องนี้น้อยมาก
ซูฉงเป็นภรรยาของหยางเซียวซึ่งเป็นหนึ่งในนักโบราณคดีที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในภูเขาไท่ซาน
เธอบอกว่าด้านบนของภูเขาขนาดใหญ่ถูกขุดขึ้นแล้ว แต่ในการคนๆนั้นได้ทำให้ผู้คนมากมายเสียชีวิตลงอย่างปริศนา อย่างไรก็ตามยังมีสมบัติมากมายถูกขุดค้นออกมาจากด้านล่างของแท่นบูชาโบราณ
“สิ่งของเหล่านั้นครึ่งหนึ่งถูกเก็บไว้โดยทางการ ส่วนอีกครึ่งยังคงอยู่ในมือของเหล่านักวิชาการที่ต้องการค้นหาความลึกลับภายใน”
หยางเซียวยังเด็กมากในตอนนั้น เขาเพิ่งเรียนจบมาไม่กี่ปีและถูกเรียกเข้าไปเป็นผู้ช่วยในตอนนั้น แต่ในปัจจุบันมันกลายเป็นสถานที่ที่ไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าไปอีกแล้ว
“นั่นเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างมาก แม้จะผ่านไปหลายปีแล้วแต่ผมก็ยังรู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น”
แม้แต่ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างหยางเซียวก็ยังรู้สึกสับสน
ตอนนั้นเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะลงไปสำรวจด้านล่าง เขามีโอกาสได้ตรวจสอบสมบัติที่ขุดค้นขึ้นมาเท่านั้น
อย่างไรก็ตามอาจารย์ของเขามีโอกาสได้ลงไปขุดค้นกับทีมสำรวจและแม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปถึง 20 ปีอาจารย์ของเขาก็ยังมีความหวาดกลัวอยู่เสมอ
“อาจารย์ของผมที่เป็นนักโบราณคดีบอกว่าสิ่งที่เราเห็นในตอนนั้นจะต้องเป็นเทพโบราณอย่างแน่นอน”
…