บทที่14 ความสามารถของจางหรง
ช่วงพักกลางวัน
“หลงเทียนเรามาร่วมทีมกันไหม!?”
จางหรงที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ด้านตรงข้ามหลงเทียนพูดออกมาด้วยสายตาที่คาดหวัง
“เอาสิ! มีฉัน นาย และ หลงชิงเหยา ส่วนอีกคนเดี๋ยวค่อยหาเอา”
“เยี่ยม! ฉันว่าพวกเราจะต้องได้อันดับ1แน่นอน เมื่อมีราชาอ้วนคนนี้!”
“ง่ำ ง่ำ” จางหรงยกยอตัวเองก่อนจะกินซาลาเปาหลายลูกอย่างมูมมาม
“นายคิดว่าเราจะเชิญใครอีกคนดี!?”
หลงเทียนจ้องมองไปที่จางหรงอย่างเคยชิน หลังจากเรียนด้วยกันมา2เดือนทั้งคู่ก็ได้เป็นเพื่อนสนิทกัน ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่น่าเชื่อถือบ้างอย่างชอบจีบสาวสวยไปทั่วและยกยอตัวเองอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เป็นคนที่จริงใจอย่างมาก
“ไม่รู้สิ!? เราลองหาคนในห้องที่มีระดับพลังวิญญาณรองจากพวกเราก็ได้ พวกเราเป็นคนที่มีระดับพลังสูงที่สุดในห้องคงไม่มีใครปฎิเสธหรอก”
“อื้ม!” หลงเทียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“หลงเทียนนายดูสาวสวยคนนั้นสิ!” จางหรงมองไปที่ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งด้วยแววตาเปล่งประกายและพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
“อืม!”หลงเทียนตอบอย่างเฉยชา
“นายนี่เย็นชาชะมัด! ฉันไม่เคยเห็ยนายมองผู้หญิงคนไหนเลย!? อย่าบอกนะว่านายชอบผู้ชาย!”
จางหรงถอยห่างจากหลงเทียนทันที ก่อนจะเอามือกอดร่างกายราวกับปกป้องตัวเอง หลงเทียนที่เห็นแบบนั้นถึงกับคิ้วขมวดด้วยความโกรธทันที
“ชอบผู้ชายกับผีสิ!”
“ฉันแค่อยากมุ่งความสนใจไปที่การฝึกฝนก่อนเท่านั้น ส่วนผู้หญิงเอาไว้ที่หลัง!”
“ฉันล่ะแปลกใจมากกว่าว่าทำไมเด็กอายุ10ขวบอย่างนายนี่สนใจแต่เรื่องนี้แทนที่จะสนใจด้านการฝึกฝนพลังวิญญาณ” หลงเทียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์และไม่พอใจ
“ฉันก็ให้ความสนใจทั้งแฟนและการฝึกฝนพลังวิญญาณได้นิ ไม่เห็นจำเป็นต้องเลือกเลย! อีกอย่างเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเราก็มีแฟนกันหลายคนแล้ว” จางหรงพูดด้วยสีหน้าราวกับได้รับความไม่เป็นธรรม
“….”
หลงเทียนที่ได้ยินถึงกับพูดไม่ออก ในโลกนี้ความคิดและร่างกายของเด็กเติบโตกว่าโลกที่เขามาอย่างมาก อย่างหลงเทียนถึงแม้ตอนนี้จะอายุแค่10ขวบ แต่รูปลักษณ์เขาเหมือนเด็กอายุ15ในโลกที่เขาจากมา
“แต่คนๆนั้นสวยจริงๆนะ ฉันไม่เคยเห็นใครสวยขนาดนี้มาก่อน” จางหรงพูดพร้อมจ้องมองอย่างไม่ละสายตา
หลงเทียนที่เห็นแบบนั้นก็หันไปก่อนจะชะงักเล็กน้อยเพราะเขาเห็นร่างที่เขารู้จัก นั้นก็คือ ลู่หยินเหมย นั้นเอง เธอกำลังมองไปรอบๆราวกับค้นหาใครอยู่ ก่อนที่สบตากับหลงเทียนและวิ่งมาหาเขาทันที
" สวัสดี! พี่ชาย " ลู่หยินเหมยกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มที่งดงามซึ่งดึงดูดผู้ชายรอบด้าน
หลังจากที่หลงเทียนได้ช่วยเหลือลู่ไป๋ซวง หลงเทียนและหลงชิงเหยาก็ได้ไปทานอาหารที่ร้านของเธออยู่บ่อยครั้งทำให้ทั้งสองคุ้นเคยกัน ตอนแรกเขาแปลกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายเรียกเขาว่าพี่ชายแต่ไม่ได้พูดอะไร คงจะดีถ้ามีน้องสาวซักคน
“ลู่หยินเหมย เธอมาที่นี่ได้ไง!?” หลงเทียนถามอย่างสงสัย
“ฉันมาสมัครเรียนที่นี่นะ! หลังจากที่ท่านแม่หายแล้วสุขภาพก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก”
“ฉันเลยหายกังวลและตัดสินใจมาเรียนที่นี่ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปฉันถึงจะเข้าเรียน ดูเหมือนว่าเราจะกลายเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันแล้วนะ” ลู่หยินเหมยพูดออกมาอย่างร่าเริง เธอค่อนข้างผ่อนคลายกว่าแต่ก่อนมากเนื่องจากแม่เธอหายดีแล้ว
“อื้ม! ยินดีต้อนรับสู่ห้องเรียนล่ะ” หลงเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะจ้องมองจางหรงที่ยืนขึ้นอย่างกะทันหันด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“ฉันถึงว่าทำไมนายถึงไม่สนใจผู้หญิงคนไหนเลย”
“ที่แท้นายซุ่มเงียบไว้นี่เอง เจ้าสัตว์ร้าย!” จางหรงพูดและวิ่งออกไปด้วยน้ำตาที่ไหลเป็นสายเลือด
“……………..” หลงเทียน
_____
“นี่คือนักเรียนใหม่ที่พึ่งเข้ามากะทันหัน แนะนำตัวกับเพื่อนๆสิ” หมิงอี้หรันพูดและหันมือไปทางลู่หลินเหมยที่ยื่นอยู่หน้าห้องเรียน
“สวัสดีค่ะ! ฉันชื่อ ลู่หลินเหมย ปรมาจารย์กำเนิดวิญญาณระดับ25”
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ!”
ลู่หลินเหมยแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มและท่าทีสง่างาม เมื่อเพื่อนร่วมชั้นได้ยินก็ตกตะลึงอย่างมากทันที เพราะพวกเขาไม่เคยคิดว่าจะมีคนที่มีพลังวิญญาณสูงกว่าหลงเทียนและหลงชิงเหยามาก่อน หมิงอี้หรานเองก็มองไปที่ลู่หยินเหมยราวกับสมบัติเพราะหากทีมจากห้องไหนชนะการแข่งขัน ครูประจำชั้นจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น
ลู่หลินเหมยมองไปยังด้านหลังห้องที่มีหลงชิงเหยาโบกมือให้อยู่ ก่อนจะพยักหน้ายิ้มออกมาและเดินไปนั่งที่ข้างๆหลงชิงเหยาทันที หลังจากที่ลู่หลินเหมยนั่งแล้วหมิงอี้หรานก็ได้เริ่มการเรียนการสอน
………………..
หลังเลิกเรียนในสนามฝึกซ้อมที่กว้างขวาง มีร่าง4ร่างกำลังยืนอยู่ซึ่งก็คือ หลงเทียน หลงชิงเหยา ลู่หลินเหมย และจางหรง หลังจากมีการพูดคุยกันทั้ง4ก็ตกลงที่จะร่วมทีมกันโดยมีหลงเทียนเป็นหัวหน้า
“นั้นพวกเรามาเริ่มจากการแนะนำจิตวิญญาณการต่อสู้ของแต่ละคนก่อน”
“จิตวิญญาณของฉันคือ งูหยกสวรรค์และกระบี่ดารา จิตวิญญาณระดับสูง สายโจมตี”
“จิตวิญญาณของฉันคือ จิ้งจอก9หางอัคคี จิตวิญญาณระดับสูงสุด สายโจมตีเช่นกัน”
" จิตวิญญาณของฉันคือ ประตูอัญเชิญอสูร จิตวิญญาณระดับสูงสุด ฉันก็ไม่รู้เหมือนว่าจะเรียกสายโจมตีได้ไหม!?
ทั้งสามแนะนำจิตวิญญาณกันทีละคน จนมาถึงคราวของลู่หยินเหมย
“จิตวิญญาณของฉันคือ เทพธิดาหิมะ จิตวิญญาณระดับสูงสุด สายควบคุม”
“ส่วนจิตวิญญาณของฉันอีกอันคือ ฟินิกส์น้ำแข็งอมตะ จิตวิญญาณระดับราชัน สายโจมตี”
เมื่อได้ยินคำแนะนำของลู่หยินเหมยทั้งสามก็ตกตะลึงทันที หลงเทียนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงมีระดับพลังวิญญาณมากขนาดนั้น ปรากฎว่าเธอมีจิตวิญญาณการต่อสู้คู่และหนึ่งในนั้นเป็นจิตวิญญาณระดับราชัน
“ทุกคนแนะนำจิตวิญญาณการต่อสู้กันหมดแล้ว ถ้างั้นพวกเรามาประลองกันทีละคู่เพื่อทำความรู้จักจิตวิญญาณของแต่ละคนมากขึ้น โดยเริ่มจากคู่ฉันและจางหรงก่อนและตามด้วยคู่ของหลงชิงเหยากับลู่หยินเหมย”
ทั้งสี่ตกลงที่จะแยกฝึกฝนกันทีละคู่ หลงเทียนจ้องมองไปทีจางหรงที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าจริงจังและเรียกกระบี่ดาราออกมา
จางหรงเองก็เรียกจิตวิญญาณของเขาออกมาเช่นกัน ด้านหน้าของเขาปรากฎประตูสีขาวลวดลายสีทองขนาดใหญ่ที่ด้านในราวกับหลุมดำและมีพลังมิติเล็ดรอดออกมา
“อัญเชิญอสูร!”
ทันใดนั้นเองประตูก็ได้สั่นเทาอย่างรุนแรงและด้านในประตูเหมือนกำลังจะมีอะไรโผลออกมาทำให้หลงเทียนกำอาวุธแน่นขึ้นและสีหน้าจริงจังกว่าเดิม
“กะต้าก! กะต้าก!”
ร่างเล็กๆส่งเสียงออกมาก่อนจะเผยโฉมของมันซึ่งก็คือ ไก่! ไก่ปกติธรรมดาที่มีสีขนเป็นสีฟ้าซึ่งไม่มีพลังในการต่อสู้
“???” หลงเทียนจ้องมองอย่างงุนงง
“ฮ่าๆ ฮ่าๆ”
หลงชิงเหยาที่เฝ้ามองอยู่หัวเราะออกมาอย่างหนักทันที ขนาดลู่หยินเหมยที่มีนิสัยเย็นชาก็แอบหัวเราะออกมาเล็กน้อย จางหรงที่ได้ยินเสียงขำก็รู้สึกอับอายทันที
“เจ้าอ้วน! ไหนนายบอกจิตวิญญาณของนายอัญเชิญสัตว์วิญญาณได้ไง! ทำไมถึงกลายเป็นไก่ได้!?”
“ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา! ฉันไม่มีเงินซื้อจิตอสูรเลยทำให้สามารถเลือกสุ่มมาจากประตูมิติเท่านั้น” จางหรงพูดออกมาด้วยสีหน้าไม่มีความสุขเล็กน้อย พร้อมคิดในใจว่า คนยากจนช่างลำบากจริงๆ
“หมายความว่าถ้านายมีจิตอสูร นายสามารถอัญเชิญสัตว์วิญญาณของจิตอสูรตัวนั้นได้ใช่ไหม!?”
“ใช่! แต่มันก็มีข้อกำจัดอยู่ อย่างตอนนี้ฉันอยู่ระดับกำเนิดวิญญาณ ฉันสามารถเรียกสัตว์วิญญาณระดับ1ได้เท่านั้นและถ้าฉันมีระดับพลังวิญญาณสูงขึ้นฉันสามารถเรียกสัตว์วิญญาณในระดับที่สูงขึ้นได้”
หลงเทียนที่ได้ยินก็ครุ่นคิดเล็กน้อย ถึงแม้ตอนแรกจิตวิญญาณของจางหรงยังคงอ่อนแออยู่ แต่ในอนาคตมันจะแข็งแกร่งมาก ลองคิดดูสิ! สมมุติว่าจางหรงอยู่ระดับจักรพรรดิวิญญาณ เขาสามารถเรียกสัตว์วิญญาณระดับ10ขึ้นมาได้และเพิ่มพลังให้มัน มันจะแข็งแกร่งขนาดไหน!?
“จิตวิญญาณของนายมีข้อจำกัดอะไรอีกไหม!?”
“ก็พอมีอยู่! จิตวิญญาณของฉันสามารถกักเก็บจิตอสูรได้เพียงแค่ 10 อันเท่านั้นและไม่สามารถเปลี่ยนใหม่ได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือสามารถเก็บได้เพียงครั้งละอันเท่านั้นซึ่งขึ้นอยู่กับระดับพลังวิญญาณของฉัน”
"อย่างตอนนี้ฉันสามารถกักเก็บจิตอสูรได้แค่อันเดียวเท่านั้น ถ้าระดับพลังของฉันเพิ่มเป็นระดับหลอมรวมวิญญาณ ฉันสามารถเก็บได้2อัน หากในอนาคตฉันอยู่ระดับจักรพรรดิวิญญาณฉันถึงจะสามารถกักเก็บจิตอสูรได้10อันและเรียกสัตว์วิญญาณได้ถึง10ตัว!”
หลงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะประเมินความสามารถของจิตวิญญาณของจางหรงต่ำเกินไป เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าจิตวิญญาณของอีกฝ่ายจะเรียกสัตว์วิญญาณได้สูงสุดถึง10ตัว
“นายสามารถเรียกหลายตัวในเวลาเดียวกันได้ไหม”
“ไม่น่าได้! เพราะถ้าฉันเรียกหลายตัวพร้อมกันพลังวิญญาณของฉันจะถูกใช้จนหมดทันที ยกเว้นแต่สัตว์วิญญาณที่เรียกจะมีระดับพลังวิญญาณต่ำกว่าฉัน”
“แล้วถ้าในอนาคตนายไปสู่ระดับที่สูงขึ้น สัตว์วิญญาณที่นายจับไว้ตั้งแต่แรกจะอ่อนแอกว่าตัวที่นายจับไว้ที่หลัง นายจะทำยังไง!?”
“ฉันสามารถพัฒนามันได้โดยใช้สมบัติธรรมชาติต่างๆ”
“………..”
หลังจากพูดคุยกันอีกสักพัก หลงเทียนก็ได้ข้อสรุปว่า จิตวิญญาณของจางหรงนั้นทรงพลังอย่างมาก ถึงแม้มันจะเป็นจิตวิญญาณระดับสูงสุด แต่ความสามารถไม่ต่างจากจิตวิญญาณระดับราชัน
แต่มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ต้องหาจิตอสูรที่ทรงพลังและมีศักยภาพที่จะพัฒนาต่อไปได้ในอนาคต ซึ่งจิตอสูรเหล่านี้ต่างแพงเป็นอย่างมาก จิตอสูรระดับ1ก็มีราคาไม่ต่ำกว่า1000เหรียญทองแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาถ้าครอบครัวของจางหรงร่ำรวย แต่โชคร้ายที่ครอบครัวเขาอยู่ในฐานะปานกลาง
“ฉันคิดว่านายควรหาอาชีพเสริมเพื่อที่จะเก็บเงินซื้อจิตอสูรของนายนะ”
“ฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน มีอาชีพหนึ่งที่อยากทำอยู่พอดี”
“นายอยากทำอาชีพอะไรล่ะ!?”
“นักสร้างจิตอสูร!”